๓ ดูแลไม่บกพร่อง 2
“ขอให้จริงเถอะ ไม่ใช่ว่าอยากจะเป็นเจ้าคนนายคนเลยใช้ทางลัดเอาเต้าไต่นะ หัดเจียมตัวเจียมกะลาหัวเอาไว้บ้าง คนรวยแบบนั้นถึงเขาเอาเราก็ไปเป็นของเล่น ไม่ได้คิดจะเอาออกสังคมเชิดหน้าชูตาหรอก ที่พูดก็เพราะหวังดี” คำเตือนของอีกฝ่ายใช่ว่าเธอจะไม่รู้ว่ากำลังด่าทอต่างหาก ใบหน้าหวานซีดเผือดแล้วก้มหน้าจัดเก็บของเข้าตู้โดยไม่ยอมตอบโต้
กลัวว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่แล้วถึงหูเจ้าของบ้าน…
“นังเพ็ญอย่าปากมาก เอาสากเคาะหัวสักทีดีไหม” น้าอีกคนพยายามปรามเอาไว้ แต่คนที่แอบชอบคุณผู้ชายกลับไม่ยอมเลิกราโดยง่าย ยังคงพูดต่อไปไม่สนว่าคนฟังจะหน้าซีดมากแค่ไหน
“พูดความจริงทั้งนั้นแหละน้า” ทำปากคว่ำใส่ราตรีโดยที่หญิงสาวไม่ทันได้มอง เธอจัดการเก็บข้าวของทุกอย่างเข้าตู้เย็นเรียบร้อย ก็ค้อมศีรษะแล้วบอกลาแม่บ้านที่เหลือ ก่อนเดินออกจากห้องครัวอย่างรวดเร็ว
“หนูไปทำงานก่อนนะคะ” ร้อนผ่าวที่กระบอกตา คล้ายกำลังจะร้องไห้แต่ก็พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ เดินเข้าห้องนอนของตัวเอง โดยไม่ทันฟังประโยคที่เพ็ญพูดไล่หลัง
“ร้องครางลั่นห้องขนาดนั้น แปลเอกสารอะไรของมัน อยากเป็นคุณผู้หญิงของบ้านสิไม่ว่า แต่ฟันธงได้เลยว่าคุณผู้ชายไม่เอามันหรอก แค่มีไว้แก้เหงาเท่านั้นแหละ” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความริษยา
มองตามแผ่นหลังบางที่เดินออกไปไกล คิดแล้วก็แค้นใจที่หญิงอายุน้อยกว่าได้ครอบครองคนที่หล่อนพยายามจับแทบตาย แต่สุดท้ายแม้เพียงห่างตาก็ไม่ถูกเขาแล
เรื่องของราตรีกับคุณผู้ชายยังคงถูกพูดถึงไม่ขาด ต่างเชื่อว่าอีกไม่นานหล่อนจะถูกเฉดหัวทิ้งอย่างแน่นอน
หญิงสาวทราบดีว่าเรื่องของเธอได้รับความสนใจจากคนในบ้านเป็นอย่างมาก ไม่มีใครอยู่เคียงข้างหล่อนสักคน สายตาที่ได้รับมีเพียงความดูแคลนและเกลียดชัง การอยู่บ้านหลังนี้จึงไม่ใช่ความสุขเสียทั้งหมดแต่ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นความทุกข์เสียทีเดียว
อย่างน้อยเธอก็ยังมีเขาผู้เป็นแสงสว่าง เหมือนพระอาทิตย์ดวงโตที่ส่องแสงให้คนที่อยู่กับความหนาวเหน็บมาตลอดได้พบความอบอุ่นเหมือนคนอื่นบ้าง
ปากอวบอิ่มยกยิ้มขณะเงยหน้ามองพระจันทร์ดวงโตที่ไร้หมู่ดาวล้อมรอบ ตอนอยู่บ้านเธอมักจะนั่งมองพระจันทร์กับดวงดาวเสมอเหมือนเป็นเพื่อนยามเหงา แต่เพราะเมืองหลวงมีแสงสว่างจากดวงไฟมากเกินไป ดาวที่แรงน้อยด้อยแสงจึงถูกความมืดมิดกลืนกิน มีเพียงพระจันทร์กลมโตที่ยังส่องสว่างอยู่เสมอ
“ทำอะไรน่ะ” เสียงที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้เธอต้องเหลียวมอง ก่อนจะยิ้มให้เขาเมื่ออีกฝ่ายเดินมานั่งที่ม้านั่งยาวข้างกัน เว้นที่ห่างระหว่างเราเพียงน้อยนิด
“มองดูพระจันทร์ค่ะ วันนี้กลมสวย...เสียดายที่นี่ไม่ค่อยเห็นดาว” แสดงความคิดเห็นของตัวเองแล้วเงยหน้ามองพระจันทร์ เขาเห็นอย่างนั้นก็เผลอมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเธอด้วยแววตาหลงใหล
พระจันทร์บอกท้องฟ้า ยังไม่น่ามองเท่าคนข้างกายของเขาเลย…
“ชอบดูพระจันทร์เหรอ” ชวนคุยทั้งที่ตัวเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำเช่นนี้ไปทำไม
เขาแค่นอนไม่หลับจึงคิดจะไปเรียกเธอมาบริการ เพียงแต่ยังไม่ทันได้เดินไปยังส่วนที่พักแม่บ้าน หางตาก็เห็นว่าเธอกำลังนั่งรับลมอยู่ตรงนี้ จึงได้เดินมาหาแล้วนั่งลงข้างกัน
“ค่ะ...มันเย็นตาดีนี่คะ แล้วก็สวยมากด้วย” พยักหน้าเพียงเล็กน้อย ค่อยถอนสายตามามองเขา ก่อนชะงักเมื่อเห็นว่าถูกชายหนุ่มจ้องอยู่ก่อนแล้ว ใบหน้าหวานแดงซ่านรีบหลบสายตาอย่างรวดเร็ว
ท่าทีเอียงอายทำให้คนมองนึกเอ็นดู ก่อนลุกยืนเต็มความสูงแล้วหาเหตุผลเพื่อพาราตรีออกจากตรงนี้ เขาต้องการอยู่ตามลำพังกับเธอในห้องนอนมากกว่า
“ฉันเมื่อยหลัง ขึ้นไปนวดให้หน่อยนะ”
“ค่ะ” พอจะรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร แต่เธอก็ไม่คิดจะปฏิเสธแต่แรกอยู่แล้ว จึงได้เดินตามร่างหนาเพื่อขึ้นไปยังห้องนอนของเขา ประตูไม้บานใหญ่ถูกปิดและล็อคทันที
ชายหนุ่มถอดเสื้อนอนออกแล้วสวมเพียงกางเกงขายาว ขึ้นนอนคว่ำบนเตียงโดยที่ร่างบางนวดตามแนวหลังที่เขาปวดเมื่อย ใช้ทักษะส่วนตัวทำจนคนปวดเมื่อยแทบเคลิ้มหลับ
“อือ เธอนวดได้เก่งดี ไปเรียนจากไหนมาหรือเปล่า” เอ่ยชมไม่ขาดปาก เธอได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มเล็กน้อย แล้วตอบเขาไปตามความจริง เพราะคุณครูของเธอก็คือย่าที่ล่วงลับไปแล้วนั่นเอง
“ย่าเป็นหมอนวดก็เลยเรียนจากย่ามานิดหน่อย แต่ก็แค่พอให้หายเมื่อยไม่ได้นวดเก่งเท่าไหร่หรอก คุณอนิลจะให้นวดตรงไหนอีกไหมคะ” เธอใช้เวลานวดให้เขาเกือบสิบนาที คิดว่าชายหนุ่มคงจะรู้สึกดีขึ้นบ้างแล้ว แต่ก็ยังถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
เจ้าตัวพยักหน้า ค่อยพลิกกายนอนหงาย แล้วคว้าร่างบางมากกอดไว้แน่นจนเธอเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าเขาจะใช้วิธีนี้ ทั้งยังยื่นหน้ามากระซิบข้างหูอีก
“ไม่ต้องนวดแล้ว นาบเลยดีกว่า” คนที่สุภาพมาตลอดเปลี่ยนเป็นหื่นได้อย่างไรหล่อนไม่เข้าใจเลยสักนิด ทำหน้ายู่แล้วถูกเขาลอกคราบอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานเธอก็นอนอยู่บนเตียงกว้างโดยมีร่างหนาทาบทับเอาไว้
“อ่ะ” จุดแรกที่เขาครอบครองคือเต้านุ่มทั้งสองข้าง เหมือนชายหนุ่มจะชอบเสียเหลือเกิน สูดดมและดูดกลืนราวไม่รู้จักเบื่อหน่าย หล่นเองก็แอ่นกายหาเขาเพื่อจะได้ทำถนัด
เราสองคนต่างช่วยกันและกันปลดปล่อยความต้องการ ในห้องนอนขนาดใหญ่มีเพียงเสียงร้องครวญครางของชายหญิงที่กำลังกอดรัดกันอยู่บนเตียง
กว่าไฟราคะจะมอดดับ หญิงสาวก็เหนื่อยจนเกือบผล็อยหลับไปก่อนเขาแล้ว แต่เธอยังคงลืมตามองไปยังโซฟาที่ติดกับหน้าต่างบานกว้าง นอนหันหลังให้คนร่วมเตียงที่กอดร่างบางแล้วหลับด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข
“คุณอนิลคะ” ดวงตาหวานยังคงเหม่อลอย เรียกชื่อของเจ้านายโดยตรงของตัวเองเสียงเบาจนเขาแทบไม่ได้ยิน คนทำงานหนักง่วงจนแทบหลับ แต่กลับโดนเธอปลุกด้วยประโยคคำถามที่เขาไม่มีอารมณ์จะตอบ
“อือ”
“ตอนนี้หนู...หนูต้องดูแลคุณแบบนี้ไปเรื่อยๆ เลยเหรอคะ” เพราะไม่รู้เมื่อไหร่เรื่องของเราจะจบลง เธอจึงอยากรู้ให้แน่ชัดว่าเขาจะยังคงให้ตนดูแลไปอีกนานหรือเปล่า
ยิ่งอยู่ใกล้มากเท่าไหร่ ก็เหมือนจะถูกความร้อนแผดเผามากเท่านั้น หล่อนเหมือนแมงเม่าที่บินเข้ากองไฟ เกรงว่าอีกไม่นานจะถูกไฟแผดเผากายเสียเอง
“เธอหวังอะไรอยู่หรือเปล่า” ดวงตาคมยังคงหลับสนิท แขนหนาพาดไว้บนเอวคอด ถามกลับคล้ายเป็นเรื่องทั่วไป ไม่ได้มีความสำคัญกับเขาแม้แต่นิดเดียว
“เปล่าค่ะ หนูแค่ถามเฉยๆ” พูดจบก็นิ่งเงียบรอฟังคำตอบจากเขา แล้วอนิลก็ไม่ทำให้ผิดหวัง พูดตามความรู้สึกของตัวเองออกมาราวเป็นเรื่องธรรมดา
“ตอบตามตรงว่าฉันไม่ได้คิดเรื่องของเรา อย่างที่บอกไปว่าคนที่ฉันจะแต่งงานด้วยต้องเป็นคนที่สามารถช่วยแบ่งเบางานของฉัน ฐานะทัดเทียมสามารถออกงานสังคมด้วยกันในฐานะภรรยาได้” พูดเพื่อตัดความหวังของหญิงสาว เธอจึงทำได้เพียงเค้นยิ้มสมเพชตัวเอง
