8
“ทำไมไม่ปิดประตูล่ะ รถก็ออกได้แล้ว...ขับไปเรื่อยๆ มานั่งแบบนี้อึดอัดออก แอร์ก็ไม่ได้เปิด...”
“จะพูดดีๆ หรือจะให้ง้างปาก” ม่านฝันฉีกยิ้มกว้าง จับต้นขาของเขาเชิงบอกให้ใจเย็น
“ถ้าฉันสวยกว่านี้คุณคงจะเอะอะจูบ เอะอะจูบไปแล้วแน่ๆ ก็ได้ๆ ฉันจะยอมให้คุณขู่ว่าจะง้างปากด้วยปืนก็ได้ ดิบไปนิดแต่ก็มีผลต่อจังหวะหัวใจได้ไม่แพ้กัน”
“ไม่ได้ขู่ เอาจริง”
“โอเคๆ ฉันยอมพูดกับคุณแล้ว แค่อยากจะนั่งรถชมวิวไปด้วยก็เท่านั้นเอง” ตอนนี้รถตู้คันสีดำได้ทำตามที่เธอพูดเพราะเจ้านายให้สัญญาณทางแววตามาแบบนั้น ออกแล่นไปตามท้องถนน เพราะซอยบ้านเธอทะลุต่อไปยังซอยอื่นอีกได้
เอกสิทธิ์ขยับตัวเล็กน้อย เมื่อเธอยังไม่ยอมที่จะปล่อยมือออกจากต้นขา
“ฉันเองก็ยอมรับนะ ว่าตัวเองเลี้ยงน้องมาแบบผิดๆ ตามใจจนเกินไป ไม่ฝึกให้เขาอยู่ได้ด้วยตัวเอง...” เอกสิทธิ์ฟังเธอพูดอย่างตั้งใจ แต่ยังคงแสดงทีท่านิ่งขรึม แววตาคมดุมองตรงเชิงทื่อ ไม่ได้มีจุดลงจอดที่ชัดเจน
“แต่ในข้อเสียมันก็ยังมีข้อดี คือไม่ว่าจะมีปัญหาอะไร ไอ้หมอกมันก็จะบอกฉันตลอด”
“แน่สิ ถ้าไม่บอกแล้วใครจะแก้ปัญหาให้มันล่ะ”
“แต่ฉันก็ยินดีนะ ที่จะได้ช่วยแก้ปัญหาให้มัน ดีกว่าปล่อยให้มันเผชิญด้วยตัวเองอย่างโดดเดี่ยว” มาถึงประโยคนี้...เหมือนได้ทะลวงเข้าไปในจิตในใจของผู้ฟังอย่างเต็มที่ แววตาคมดุกระตุกเล็กน้อย หากแต่ก็ยังคงนิ่ง
“ฉันยินดีที่จะช่วยมันหาทางออก ดีกว่าให้มันปิดบังฉันจนไปทำเรื่องที่ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้แล้ว แล้วคุณล่ะเลี้ยงลูกคุณมาแบบไหน เขาถึงไม่ได้ยอมบอกคุณทุกเรื่อง” ม่านฝันรู้ว่าการพูดออกไปตรงๆ แบบนี้เขาอาจจะง้างปืนขึ้นมายิงเธอให้ตายไปเลยก็ได้
แต่มันคือความจริงนี่...การเลี้ยงใครสักคนมันไม่ได้ง่ายและมันไม่ได้มีสูตรสำเร็จเสียด้วย มันไม่มีวิธีที่ดีที่สุด แต่ทุกวิธีมันก็ต้องปรับใช้ตามสถานการณ์
“ฉันไม่ได้จะสอนคุณหรอกนะ...”
“คุณกำลังสอนอยู่” เขาว่าดักขึ้น หากแต่ในน้ำเสียงไม่ได้มีความขุ่นเคืองใดๆ ปะปน
“เออ ยอมรับก็ได้ว่าสอน คือวันนั้นที่คุณสอนฉัน ฉันก็ไม่ได้โกรธเลยนะ ฉันรู้สึกดีด้วยซ้ำอ่ะ ที่มีคนมาเตือนสติและก็ให้ข้อคิดในสิ่งที่ฉันทำอยู่
คนเลี้ยงน้องมาคนเดียวอย่างฉัน ไม่ได้มีบ่อยหรอกนะ ที่จะมีคนมาคอยสะท้อนให้ว่าฉันทำถูกหรือผิด บางครั้งเราก็ไม่สามารถที่จะประเมินสิ่งที่ตัวเองทำได้ทั้งหมด นั่นคือเหตุผลที่เราจะต้องรู้จักฟังคนอื่นไม่ใช่เหรอ” เหมือนม่านฝันได้ถือโอกาสระบาย เพราะที่ผ่านมา...เธอพยายามแสดงความเข้มแข็ง จนแทบจะไม่ได้มีเวลาพร่ำบ่นให้กับใครสักคนฟังมาก่อน
เอกสิทธิ์เงียบไป เขาเลือกที่จะไม่โต้ตอบหากแต่ม่านฝันก็สังเกตได้ว่า แววตาของเขาที่กำลังทอดมองตรงไปข้างหน้าอยู่นี้ กำลังคิดตามในสิ่งที่เธอพูด
“ฉันไม่รู้หรอกนะ ว่าคุณมีวิธีเลี้ยงลูกของคุณยังไง แต่ฉันก็เชื่อว่าคุณทำมันได้ดีที่สุดในแบบของคุณนั่นแหละ แต่สิ่งที่ฉันอยากให้คุณลองนำไปปรับใช้ก็คือ...ลองเปิดใจคุยกับแกดีๆ ดูมั้ย ถอดความเข้มแข็ง ถอดกรงล้อมที่คุณพยายามจะวางมันไว้รอบตัวลูกออกไปก่อน แล้วฉันจะยอมให้คุณเจอลูก”
“ยอมรับแล้วสิ ว่าคุณซ่อนตัวน้องไอซ์เอาไว้จริงๆ” เขาเข้าใจในสิ่งที่เธอพูดทุกอย่าง หากแต่ก็ต้องไว้เชิงวางท่า...ตามประสาคนไม่ยอมลงให้ใครง่ายๆ
“ทำไมคุณถึงอยากจะให้น้องไอซ์เอาเด็กออกล่ะ” เรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้ว เธอคิดว่าตัดสินใจพูดออกไปตรงๆ เลยก็น่าจะดีกว่า
แววตาคมสะดุดเล็กน้อยก่อนที่จะแปรเปลี่ยนเป็นเรียบเฉย ความงุนงงชั่วขณะพร้อมเข้าใจถึงบางอย่าง...ทำให้เขาแทบจะเผลอพยักหน้า
แต่ด้วยความที่อยากจะรู้จักผู้หญิงคนนี้ให้ดีขึ้นอีกนิด เขาก็เลยเลือกที่จะปล่อยเลยตามเลย
“ฉันรู้ว่าการมีลูกมันทำให้คุณรู้สึกว่าลูกสาวที่น่ารักของคุณจะต้องเสียอนาคต แต่สมัยนี้โลกมันเปิดกว้างแล้วคุณ ท้องแค่ 9 เดือน พอคลอดแล้วก็ค่อยไปเรียนก็ได้ ฉันอาสาเลี้ยงเด็กให้เลยเอา หลานคนเดียวฉันเลี้ยงได้แน่นอนอยู่แล้ว!”
เอกสิทธิ์หันไปมองหน้าเธอแบบเต็มตา ผู้หญิงหน้าตาธรรมดา ดูเผินๆ ก็ติดไปทางเรียบ เครื่องหน้าก็ไม่ได้มีส่วนไหนโดดเด่น ดวงตารีเล็ก จมูกโด่งเป็นสันพอดูได้ คิ้วก็รกไร้ระเบียบ แถมหน้าผากยังกว้าง พื้นผิวก็มันวับ...ขรุขระและเต็มไปด้วยรอยสิว
“คุณกำลังจะสนับสนุนให้เด็กมีลูกตอนไม่พร้อมอย่างนั้นเหรอ” เขาลองแหย่ดู เพราะอยากจะรู้แง่มุมความคิดของผู้หญิงที่ดูธรรมดามากที่สุดคนนี้
“ไม่ใช่อย่างนั้นเลยคุณ การมีลูกตอนไม่พร้อมมันไม่ควรเลยอย่างยิ่ง...แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้น มันคือการยอมรับความจริงให้ได้รึเปล่า เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วเราจะทำอะไรได้ เราก็ต้องเดินหน้าต่อไป ไม่ใช่เหรอ”
“แล้วเรื่องทำแท้งถูกกฎหมายพวกนี้ ก็ไม่น่าสนับสนุนอย่างนั้นน่ะสิ” เขาว่าในเชิงลึกเข้าไป จนนักกฎหมายที่ไม่มีตำแหน่งนิ่งขึ้น
“อันนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และการตัดสินใจส่วนบุคคล กรณีของคุณนี้น้องไอซ์เขาอยากเก็บเด็กเอาไว้ คุณก็ไม่มีสิทธิที่จะไปบังคับเขาให้ทำในสิ่งที่เขาไม่อยากทำ”
“น้องไอซ์ยังเด็ก อนาคตแกยังอีกไกล แกไม่รู้หรอกว่าในอนาคตแกจะต้องเผชิญกับอะไรอีกบ้าง” พูดไปด้วย สังเกตทีท่าของคนบางคนไปด้วย
“อนาคตไกลของคุณหมายถึงอายุเท่าไหร่กันล่ะ ฉันเองก็เป็นลูกผู้หญิง ตอนที่ฉันเคยมีแฟนเนี่ย ฉันไม่ยอมมีอะไรกับใครเลยเพราะฉันคิดว่าฉันยังเด็ก อนาคตอีกยาวไกล ฉันจะเก็บพรหมจารีของตัวเองเอาไว้ให้กับคนที่คู่ควร
แล้วเป็นไงอนาคตอันแสนยาวไกลของฉันเนี่ย...ไกลมากๆ ไกลจนไม่มีใครเดินมาถึงกันแล้วอ่ะ ปูนนี้ฉันก็เคยคิดนะ ว่าไม่ต้องต้องแต่งงานอยู่กินกันก็ได้ แค่ทำให้ฉันมีลูกได้ ฉันนี่เอาเลยนะ!” ม่านฝันหัวเราะลั่นขึ้นแบบดังๆ จนลืมไปเลยว่าเขาไม่ใช่คนที่เธอจะมาเล่าความในใจของตัวเองให้ฟังแบบสนิทใจได้ขนาดนี้
“อินว่างั้นเถอะ” เขาแอบแซวเข้าให้ แถมยังผุดรอยยิ้มจางๆ ออกมา จนเกิดเป็นประกายออร่า...พุ่งเข้าตาจนม่านฝันมองเขาแบบค้างๆ ไปพักใหญ่
“คุณก็ลองคิดดูสิ สมมติถ้าน้องไอซ์ทำแท้งตอนนี้ แล้วในอนาคตข้างหน้า น้องไอซ์ตั้งใจจะมีลูกแต่ก็แท้งตลอดหรือท้องยากบลาๆ คุณจะไม่นึกเสียใจแล้วมานั่งคิดว่า...คุณไม่น่าให้ลูกทำแท้งในวันนี้เลย”
เอกสิทธิ์พยักหน้าเชิงยอมรับในความคิดของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ไม่ได้มีโอกาสเป็นแม่คน แต่กลับทำหน้าที่มันได้ดีไม่แพ้ใคร
“ผมไม่เคยคิดที่จะให้น้องไอซ์ทำแท้ง”
“อ้าว! ไม่คิดได้ไง เมื่อกี้คุณยังยอมรับอยู่เลย”
“น้องไอซ์น่าจะเข้าใจผิดไปเอง ว่าผมหมายความว่าแบบนั้น” สาวใหญ่หน้างอง้ำเข้า นี่เขาหลอกให้เธอพูดนั่นพูดนี่ให้เขาฟังไปอย่างนั้นเองหรอกเหรอ!
“แล้วคุณจะเอายังไง ฉันจะขอให้น้องชายฉันรับผิดชอบคุณก็ไม่ตอบรับอะไร คุณจะปล่อยให้ลูกคุณท้องโตแบบที่ไม่ได้แต่งงานอย่างนั้นน่ะเหรอ”
“แล้วเรื่องนี้คุณคิดว่ายังไง” คนที่ตั้งใจจะอ้าปากอธิบายสะดุดกึก
“นี่ตั้งใจจะหลอกให้ฉันเปลืองน้ำลายอีกใช่มั้ย”
“ไม่เลย ที่พูดมาทั้งหมดเป็นประโยชน์อย่างมาก” ม่านฝันแทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง คนอย่างเขาเนี่ยนะเหรอ...ที่พูดว่าเธอมีประโยชน์
“ลองพูดมาหน่อยว่าคุณคิดเห็นยังไงกับเรื่องนี้” ม่านฝันถอนหายใจเฮือกใหญ่ อย่างพยายามตั้งหลัก
“อันนี้ฉันพูดในมุมตัวเองนะ...มันจริงแหละที่การจัดงานแต่งงานบางทีมันก็การันตีอะไรไม่ได้ โดยเฉพาะงานแต่งงานที่คนสองคนเขาไม่ได้รักกัน”
“แต่ก็ต้องยอมรับนะ ว่าตราบใดที่เราอยู่ในสังคมที่มีคนรู้จักเราและเราก็รู้จักเขา ถ้าวันหนึ่งเราจะต้องตั้งท้องแล้วไม่ได้แต่งงานอย่างถูกต้องตามประเพณี ก็จะมีเสียงครหามากมายเกิดขึ้นอยู่แล้ว ใครไม่สนใจได้ก็ดีไป...แต่จะมีสักกี่คนกันล่ะที่จะไม่สนใจได้จริงๆ”
คนตั้งใจฟังยื่นกระป๋องน้ำอัดลมที่เปิดแล้วพร้อมเสียบหลอดส่งให้ เชิงบอกให้เธอพักดื่มเพราะน่าจะคอแห้ง และเธอก็รับไปดื่มแต่โดยดีเพราะไม่ได้รู้สึกว่าต้องระแวงอะไรเขาอีกต่อไป
“ฉันก็เลยคิดว่าควรที่จะจัดงานแต่งงานบังหน้า เพื่อรักษาหน้ารักษาตาวงศ์ตระกูลของคุณ แล้วก็ความรู้สึกของน้องไอซ์เขาด้วย”
“แต่ผมไม่เห็นด้วยแบบนั้น”
“ว่าในมุมคุณมาสิ ฉันอยากจะฟังดูเหมือนกัน” เอกสิทธิ์เลือกที่จะเงียบ
“ผมไม่ใช่คนช่างพูด”
“อ้าว ไหงเป็นงั้นอ่ะ คุณคิดจะโกงฉันเหรอ” เขาส่ายหน้าเหมือนไม่ได้ใส่ใจ
“สำหรับผมเรื่องงานแต่งงานมันจะเป็นความหมายแบบไหนก็ได้ แล้วแต่ผู้จะนิยาม...แต่มันต้องเกิดจากความสมัครใจของคนสองคน ถ้าเขาสองคนคิดว่าจะแต่งแค่บังหน้าแล้วแยกย้ายผมก็จะยอมรับ แต่ถ้าไม่...งานแต่งงานก็จะไม่มีวันเกิดขึ้นอย่างแน่นอน” ม่านฝันถึงบางอ้อ...หากแต่ก็เตรียมท้อรอก่อนเลย
ถ้าจะให้ขึ้นอยู่กับคนสองคนแล้วล่ะก็ แน่นอนว่าคนอย่างม่านหมอกไม่มีวันที่จะยอมแต่งแน่ ส่วนไอยราก็คงจะยอมตามใจน้องชายของเธอทุกอย่าง
แต่ม่านฝันไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้น ในฐานะที่เธอเป็นลูกผู้หญิง การอุ้มท้องโดยไม่มีพ่อในวัยที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มันคงจะเป็นเหมือนฝันร้าย
แต่เธอจะทำยังไงดีล่ะ...เธอจะทำยังไงดี
