4
“ตื๊ดดด” เสียงนี้ไม่ใช่เสียงเต้นของหัวใจแต่มีผลต่อจังหวะหัวใจของผู้จดจ่อ
“พ่อแก้วแม่แก้ว...” พร่ำไปด้วย ลุ้นตัวโก่ง ในเวลาใกล้สี่โมงเย็นที่แดดยังคงเข้มจัด
ตั้งแผงขายของยังไม่ทันจะแล้วเสร็จ วันที่ 1 ต้นเดือนที่ตรงกับวันหยุดเช่นนี้ผู้คนเริ่มที่จะขวักไขว่ แต่แม่ค้าผู้มีความฝันใหญ่กลับไม่มีเวลาที่จะสนใจเรียกลูกค้า
“สักรางวัลเถอะแม่เอ๊ย!” แม่ค้าสาวผู้หวังว่าพอจะมีเงินต่อชีวิตบ้างนั้น ยกมือไหว้ท่วมหัวลุ้นรางวัลว่าน่าจะพอเข้าอยู่บ้าง
‘รางวัลที่ 2 ครั้งที่ห้าได้แก่...’
6 0 5 4 0 1 ม่านฝันมองเห็นม่านของเงินเลือนรางมาจางๆ ไม่ไม่ได้รางวัลที่หนึ่งก็ขอรางวัลที่สอง ให้สมกับที่ซื้อมานับสิบกว่าใบ แต่เลขนี้คือเลขที่ซื้อมาสามใบ จะเข้ารางวัลไหนก็ขอให้เข้าเลขนี้
‘หก ศูนย์ ห้า สี่...’
“ศูนย์ หนึ่ง!”
‘ศูนย์ หนึ่ง รางวัลที่สองครั้งที่ห้า หก ศูนย์...’ แล้วเสียงกรีดร้องก็ดังลั่นไปทั่วตลาดนัดใจกลางเมืองขนาดใหญ่ ผู้คนผ่านมาผ่านไปหยุดชะงักมองมาที่เธอเป็นตาเดียว
“แม่เจ้าโว้ย อีม่านถูกหวยโว้ย อีม่านถูกหวย!!” แล้วเธอก็แทบจะเต้นแรงเต้นการับโชค
“จริงเหรอวะ รางวัลที่หนึ่งเหรอ!” แม่ค้าร้านข้างๆ รีบตะโกนถามเพราะวันนี้ไม่มีเวลาลุ้นหวยเหมือนกัน
“รางวัลที่สองจ้ะ เหนาะๆ สามใบ!”
“แล้วรางวัลที่หนึ่งออกอะไร? โอ๊ยดีใจด้วยเว้ยนังม่าน!”
“ยังไม่รู้เลยจ้ะป้า เดี๋ยวนั่งฟังต่อก่อนนะ” แล้ววันนั้นทั้งวันเธอก็ล้มเลิกการขายของ หอบทุกอย่างกลับบ้าน
“ขอบคุณแม่มากเลยนะจ๊ะที่มาให้หวยหนู โชคดีนะที่ไปปิดหนี้จ่ายค่าคงค้างได้บ้าง เหลือเงินไว้ใช้จ่ายสองแสนกว่าบาท ว่าจะเอาไปดาวน์รถมาขับไปขายของสักคัน รถสามล้อที่ยืมลุงพลมา แกก็ทวงซะแล้ว” พูดไปจัดเรียงผลไม้หน้าโต๊ะกราบไว้บูชาพ่อกับแม่ อย่างรู้สึกสบายใจ
อย่างน้อยเธอก็รักษาบ้านเอาไว้ได้ เพราะบารมีของแม่
“เหลือเงินตั้งสองแสน น้องขอหมื่นสองหมื่นแล้วไม่ให้ ผมจะฟ้องแม่เหมือนกันคอยดู”
แล้วบรรยากาศซาบซึ้งของเธอก็ได้จบสิ้นลง พร้อมตวัดสายตาไปมองน้องชายตัวดีที่เพิ่งจะกลับถึงบ้าน หายหัวไปหลายสัปดาห์ แต่รีบทักมาเพราะรู้ว่าพี่สาวถูกหวย
“เหอะ ฉันก็เอาเงินไปใช้หนี้ให้แกหมดแล้วไง แกจะมาเอาอะไรอีก”
“หนี้ก็ส่วนหนี้ดิ คนก็ต้องกินต้องใช้ไปข้างหน้าเหมือนกันเปล่า”
“โคตรหน้าด้านเลยไอ้หมอก อยากมีกินมีใช้ก็ต้องทำงานเปล่าวะ ไม่ใช่มาแบเงินขอฉันแล้วมาพูดแบบนี้!” ม่านหมอกส่ายหน้าให้พี่สาวเพียงคนเดียว ก่อนวางของฝากเล็กๆ น้อยๆ ที่ตัวเองหยิบติดมือมาเชิงมอบให้
“ผมเพิ่งเรียนจบนะพี่ มันก็ต้องอยู่ในช่วงค้นหาตัวเองอยู่ป่ะ ทำงานเยอะเดี๋ยวจะโทรมเหมือนพี่ ไม่เอาด้วยหรอก” ม่านหมอกเพิ่งเรียนจบทั้งๆ ที่อายุปาเข้าไป 25 ปี เพราะว่ามัวแต่ติด F จนต้องคอยแก้ให้ผ่าน ซึ่งใช้เวลาเรียนซ้ำต่ออีกสองสามปี
“ไอ้หมอก! มึงอยากตายมากใช่มะ!”
“แม่คร้าบ ช่วยหมอกด้วยคร้าบบ...” ว่าพร้อมวิ่งไปยกกรอบรูปแม่ลงมากอดเอาไว้ เพราะรู้ดีว่าพี่สาวหวงกรอบรูปบิดาและมารดายิ่งกว่าสิ่งอื่นใดในชีวิต
“ไอ้หมอก มึงวางลงเดี๋ยวนี้เลยนะ อย่าเล่นรูปแม่!” แล้วก็กลายเป็นการวิ่งไล่กันพัลวัน จนมีเสียงออดหน้าบ้านดังเท่านั้นแหละ ที่ทำให้คนสองคนหยุดวิ่งไล่กันลงได้
“ใครมากัน” ไม่ทันที่จะได้หันไปมองหน้าน้องชายตัวดี รายนั้นก็วิ่งด่วนจี๋ขึ้นห้องไปเสียก่อน
ปล่อยให้ม่านฝันเดินออกไปหน้าบ้านเพื่อดูว่าใครกันที่มาหาถึงนี่
“สวัสดีค่ะ” เสียงเจื้อยแจ้วสดใสพร้อมกับกิริยาอ่อนน้อมยกมือไหว้ จากเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารัก ผิวขาวราวกับหยวก แต่งตัวเหมือนตุ๊กตา ทำเอาม่านฝันไม่แน่ใจว่าเด็กผู้นี้มาผิดบ้านหรือเปล่า
“มาหาใครหรือเปล่าจ๊ะ” เอ่ยถามอย่างใจดี ฉีกยิ้มกว้างให้จนผู้มาเยือนรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้าง
“เอ่อคือว่า...” ทีท่าไม่สบายใจและเต็มไปด้วยความอึดอัดของไอยรา หันซ้ายแลขวาเพราะกลัวว่าจะมีใครมาเห็นตัวเองเข้า
“มาหาคนชื่ออะไร คนในซอยนี้รู้จักกันหมดแหละจ้ะ เดี๋ยวพี่บอกทางให้” ย้ำอีกหนอย่างรู้สึกสงสารคนประหม่า ดูท่าจากการแต่งตัวและผิวพรรณ เหมือนจะไม่ใช่คนละแวกนี้และฐานะน่าจะดีพอสมควร
“คือว่า...น้องไอซ์มาหาพี่หมอกน่ะค่ะ”
“ฮะ...ใครนะจ๊ะ” กลิ่นความไม่ดีคลุ้งขึ้น จนม่านฝันคิดว่าตัวเองคงจะหูอื้อไป
“พี่ม่านหมอกค่ะ พี่เขาชื่อม่านหมอก”
ชัดเลย
“อ้อ จ้ะ”
“ที่นี่ใช่บ้านพี่ม่านหมอกรึเปล่าคะ” คลื่นจับสัญญาณความหายนะที่แสนจะว่องไว ของผู้หญิงที่ชีวิตเต็มไปด้วยเครื่องหมายอัศเจรีย์นั้น ไม่ทันจะเสพสุขได้พอสามวัน ความทุกข์ก็เหมือนจะมาเคาะประตูถึงหน้าบ้าน
“ใช่จ้ะ เข้ามาก่อนสิจ๊ะ” แม้จะรู้สึกไม่ดีเพียงใด แต่ก็พยายามบอกตัวเองให้มองโลกในแง่ดี พยายามที่จะทำตัวให้เป็นปกติ ฉีกยิ้มจนเกือบจะถึงรูหูให้เด็กสาวได้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง
ปกติ...ม่านหมอกไม่เคยพาผู้หญิงคนไหนเข้าบ้านมาก่อน แม้ครั้งนี้จะไม่ใช่การพาเข้ามา แต่เป็นผู้หญิงมาเองก็เถอะ
ในฐานะลูกผู้หญิงเหมือนกัน ม่านฝันเชื่อว่าหากไม่ใช่เรื่องร้อนใจจริงๆ ผู้หญิงคงไม่บุกไปเคาะประตูหน้าบ้านผู้ชาย ยิ่งไปกว่านั้นเธอรู้จักนิสัยน้องชายดี ว่าไม่เคยจริงจังกับใคร
ผู้หญิงคนนี้น่าจะไม่ใช่แฟนของม่านหมอก ร้ายไปกว่านั้นที่เธอมาที่นี่อาจจะเป็นเพราะพยายามติดต่อม่านหมอกแล้ว แต่ติดต่อไม่ได้ก็ได้
ม่านฝันต้อนรับแขกด้วยน้ำดื่มเย็นๆ มาวางให้ และรอยยิ้มที่ซ่อนความหวาดหวั่นได้อย่างแนบเนียน
“ดื่มน้ำดื่มท่าก่อนนะจ๊ะ”
“ขอบคุณค่ะ น้องไอซ์ต้องขอโทษด้วยนะคะที่มารบกวนพี่ถึงที่บ้าน พอดีว่าน้องไอซ์ติดต่อพี่หมอกไม่ได้จริงๆ ค่ะ” ไอยราพอจะทราบมาบ้างว่าม่านหมอกอาศัยอยู่กับพี่สาวแค่สองคน แม้เขาจะไม่ได้เล่ารายละเอียด...แต่ก็เดาได้ไม่ยากว่าผู้หญิงคนนี้น่าจะเป็นพี่สาวของเขา
เดาไม่เคยพลาด...สมกับที่ถูกหวยมาหมาดๆ จริงเชียวเรา
แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะมาภูมิใจมั้ย!
“จ้ะ ไม่รบกวนเลย...ว่าแต่น้องไอซ์มีธุระอะไรกับพี่หมอกเขาเหรอจ๊ะ”
“คือว่า...” มือเรียวขาวเหมือนน้ำนม บีบไปมา จนคนสังเกตทีท่าอยู่ตลอดนั้น อยากจะเอามือตัวเองมาบีบบ้าง
ขออย่าให้เป็นเรื่องร้ายจนต้องเสียเงินเสียท้องเลยนะ เพี้ยง!
“น้องไอซ์ท้องกับพี่หมอกน่ะค่ะ”
“ฮะ!!!” หญิงผู้มีเครื่องหมายอัศเจรีย์เป็นสัญลักษณ์ประจำตัวนั้น ถึงกับต้องใช้พร้อมกันทั้งสามอัน...เพื่อยืนยันความตกอกตกใจ
“หมายถึงท้อง...ท้องเสียท้องผูกหรือท้องแฟบอะไรแบบนั้นหรือเปล่าคะหนู พี่ขอดมยาแปบ” ไอยรายิ่งมือสั่นขึ้นเมื่อเห็นทีท่าตกใจสุดฤทธิ์ของพี่สาวของม่านหมอก
ดวงตาแกงก่ำสั่นไหว มีน้ำใสๆ เอ่อคลอมาอย่างน่าสงสาร
“น้องไอซ์ก็อยากจะให้มันเป็นแค่นั้นค่ะ น้องไอซ์ติดต่อพี่หมอกเขาไม่ได้ น้องไอซ์เลยไม่รู้ว่าจะทำยังไงดีน่ะค่ะ” คนที่สูดยาดมไปเต็มๆ หลอด แต่ก็ไม่ได้รู้สึกดีขึ้นได้เลยนั้น พยายามตั้งสติ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ และพ่นออกทางริมฝีปากช้าๆ
“น้องไอซ์ใจเย็นๆ นะลูก ตั้งสติ...พี่ก็พยายามจะตั้งสติเหมือนกัน” เมื่อเห็นว่าแม่สาวตุ๊กตากำลังจะร่ำไห้ สะอื้นหนัก ก็รีบว่าเชิงปลอบเอาไว้ก่อน
“น้องไอซ์ไม่กล้าบอกคุณพ่อเลยค่ะ ถ้าคุณพ่อรู้...คุณพ่อจะต้องผิดหวังในตัวน้องไอซ์มากแน่ๆ ค่ะ”
“จ้ะพี่เข้าใจ ค่อยๆ คิดแก้ปัญหากันนะ” ว่าเชิงปลอบพร้อมเข้าโอบกอดอย่างเห็นใจ ม่านฝันก็อย่างนี้...เธอเป็นคนขี้ใจอ่อน เห็นใจคนอื่นเขาไปเรื่อย น้องชายตัวดีถึงไม่เคยจะได้รับโทษจากเธอจริงจังเลยสักครั้ง
ว่าจะไม่...แต่ก็หาให้ได้ตลอด!
“ใช่ลูกพี่แน่เหรอไอซ์ ลูกคนอื่นรึเปล่า” ม่านหมอกผู้ถูกลากตัวลงมาจากที่นอนพูดจาไม่น่าฟังและไม่มีความรับผิดชอบจนม่านฝันต้องใช้หมอนทุบน้องชายแสกกลางหน้า!
“แกพูดจาหมาๆ แบบนี้ได้ยังไงวะไอ้หมอก!”
“พี่ม่าน! ผมเป็นน้องชายพี่นะเว้ย”
“ก็เพราะว่าแกเป็นน้องชายฉันนี่แหละ ฉันถึงต้องเดือดร้อน แกมีความรับผิดชอบหน่อยดิวะ” ม่านหมอกมองไปยังหญิงสาวที่ร้องไห้จนตาบวมช้ำ ด้วยความรู้สึกเบื่อหน่าย
“ไม่น่าไปยุ่งให้เดือดร้อนเลยว่ะ”
“พี่หมอกก็รู้ว่าพี่คือคนแรกของน้องไอซ์นะคะ” ม่านหมอกเบือนหน้าหนี ส่ายหัวเชิงไม่ใส่ใจ
“พี่ก็บอกให้ไอซ์กินยาคุมฉุกเฉิน ไอซ์ได้ไปซื้อกินรึเปล่า”
“กินค่ะ”
“กินแล้วทำไมยังท้องได้ พี่ไม่ได้ติดต่อไอซ์มาสองสามอาทิตย์กว่า ไม่ใช่ว่าไปมั่วกับคนอื่นมาแล้วขอให้พี่รับผิดชอบนะ”
“ไอ้หมอก!” หมอนถูกทุบเข้าที่กลางศีรษะของน้องชายตัวดีอีกครั้ง พร้อมรีบเข้าไปกอดปลอบเด็กสาวผู้น่าสงสารที่ร่ำไห้จนตัวโยน
ไอยราเล่าเรื่องราวความรักและภักดีที่ตัวเองมีต่อม่านหมอกให้ม่านฝันฟังเธอก็ยิ่งรู้สึกสงสาร รักใครไม่รัก...มารักคนอย่างไอ้หมอก!
“ก็พี่หมอกไม่ยอมใส่ถุงยางเองนี่คะ”
“ก็มันไม่ได้ฟีล มันไม่ชอบ”
“พอๆ พอกันทั้งคู่เลย ถึงยังไง เรื่องมันเกิดมาถึงขนาดนี้แล้ว ยังไงแกก็ต้องรับผิดชอบ” ม่านฝันว่าเชิงจริงจัง จนม่านหมอกถึงกับเอามือยีหัวตัวเอง
“ขอตังหน่อยสิห้าพัน จะไปจัดการให้จบๆ” ม่านฝันแทบจะไม่อยากเชื่อหูตัวเอง มองหน้าน้องชายที่ตัวเองคิดว่าเลี้ยงมันมาอย่างดีที่สุดแล้ว ว่ามันใช้ชีวิตเหลวไหลแล้ว ก็ไม่คิดว่าคนอย่างมันจะคิดอะไรชั่วๆ แบบนี้ได้
“ไอ้หมอก! แกเป็นขนาดนี้เลยเหรอวะ”
“แล้วพี่จะให้ผมทำยังไง ถ้าไม่เอาออก พี่คิดว่าคนอย่างผมมันจะไปเลี้ยงใครได้วะ”
“ใช่! ถ้าแกรู้ตัวแบบนี้ แกก็ควรที่จะจัดการได้ดีกว่านี้ ไม่ใช่พลาดแล้วมาปัดความรับผิดชอบ” เมื่อหมดหนทางที่จะแก้ตัว หนุ่มเต็มวัยอายุ 25 ปี ก็เลือกที่จะสงบปาก ไม่โต้เถียงพี่สาวผู้ที่เมื่อเอาจริงเมื่อไหร่ เขาจำต้องยอมทุกที
“พี่ม่านคะ น้องไอซ์ไม่อยากเอาลูกออกนะคะ น้องไอซ์กลัวค่ะ น้องไอซ์ไม่อยากฆ่าคนค่ะ” ไอยราร่ำไห้กอดม่านฝันแน่น ตามประสาเด็กที่ไม่เคยมีมารดา มีคุณย่า...ก็เหมือนจะไม่ได้รักเธอสักเท่าไหร่
พอมาเจอม่านฝัน...เธอยอมรับเลยว่าความอบอุ่นที่เธอโหยหา ผู้หญิงคนนี้มีครบพร้อมแบบไม่เคยพานพบมาก่อนในชีวิต
“ใจเย็นๆ นะน้องไอซ์ ตั้งสติค่ะ...ยังไงพี่ม่านก็จะไม่มีวันให้น้องไอซ์ไปทำเรื่องแบบนั้นเด็ดขาด”
“แล้วพี่จะทำยังไง พี่จะมีปัญญาไปรับผิดชอบเหรอ” ม่านหมอกโวยขึ้น อย่างรู้สึกขัดใจ
“ถึงไม่มีฉันก็จะหามันจนได้นั่นแหละ และไม่ใช่แค่ฉันคนเดียวหรอกที่จะต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ ตัวแกเองก็ไม่มีวันจะได้ลอยนวลเหมือนที่ผ่านมาแน่!”
