4 คู่แข่งการค้า
นายท่านผู้เฒ่าผู้เป็นบิดาของคหบดีฮัวเป็นหมอผู้ลึกลับ เร้นกายอยู่บนภูเขา ผู้คนเรียกขานกันว่า ‘หมอเทวดาฮัว’ บุตรชายคนโตคือคหบดีฮัวทำการค้าร้านสมุนไพร บุตรชายคนรองเป็นหมอที่เก่งกาจชอบอยู่บนภูเขา ส่วนบุตรคนเล็กเป็นจอมยุทธ์พเนจร
ตอนฮัวหยางยังเด็ก เขาเคยติดตามท่านลุงรองขึ้นไปเรียนวิชาแพทย์กับท่านปู่บนเขาหลายปี หลังจากลงจากเขา ท่านลุงรองยังวนเวียนตามมาเยี่ยมเยือนคอยสอนวิชาแพทย์ให้เขาที่เรือนปรุงยาอยู่หลายคราว
“ได้ขอรับ ข้าว่าพอเราประกาศออกไปว่าจะตั้งโรงหมอสกุลฮัว น่าจะมีหมอหลายคนอยากจะมาสมัครทำงานด้วย” ฮัวหยางยิ้ม
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปลงประกาศในจดหมายข่าวของสำนักข่าวนกกระจิบ เพื่อให้คนทั่วแคว้นได้รับรู้เรื่องนี้” ฮัวซุ่นซียิ้มกว้าง “และเป็นการทำให้หมอทั้งหลายที่อยากจะร่วมงานกับสกุลฮัวได้มาแสดงตัวด้วย”
“เช่นนั้นก็ดี” คหบดีฮัวพออกพอใจ “วันหน้ากำไรเรามาก เราก็ได้ช่วยคนยากไร้มากขึ้นด้วย”
ณ คฤหาสน์สกุลหลัวเจ้าของร้านยาหวนเจี่ย
หลัวเผิงเผิงขยำจดหมายข่าวปาลงพื้นด้วยความหัวเสีย นางอุตส่าห์เข้าไปเป็นขุนนางในกรมคลังเพื่อหวังช่วยผลักดันการค้าสกุลหลัว ผ่านมาหลายปีนางรู้ถ่องแท้ในกฎหมายภาษี ทำให้ร้านค้าสมุนไพรหวนเจี่ยลดการจ่ายภาษีได้มาก แต่ก็ยังสู้กิจการร้านยาเฉี่ยนซือของสกุลฮัวไม่ได้
“เสี่ยวเผิงเผิง มีข่าวอันใดทำให้เจ้าไม่พอใจหรือ ”
“พวกสกุลฮัว น่ะสิเจ้าคะ”
“สกุลฮัว ทำไมหรือ” คหบดีฮัวไม่ค่อยได้ออกไปข้างนอกมากนัก ระยะนี้กำลังสนใจในการสวดมนต์และนั่งสมาธิ จึงมิได้รู้ว่าข้างนอกเกิดความเปลี่ยนแปลงอันใดบ้าง
“พวกเขากำลังจะตั้งโรงหมอ โดยการเชิญหมอเทวดาฮัวจิงอวี๋มาจากเขาหลงเฟยซาน เดิมทีชื่อเสียงของฮัวหยางก็โด่งดังจากยาหลายสิบขนานที่เขาปรุงออกมาจำหน่ายอยู่แล้ว ยามนี้หากตั้งโรงหมอสกุลฮัว ขึ้นมาอีก ร้านหวนเจี่ยของเราก็คงจะตกที่นั่งลำบาก”
“เสี่ยวเผิงเผิง ร้านเรามีถึงห้าสาขาในเมืองหลวงแล้ว ตอนนี้พี่น้องของเจ้ายังเปิดร้านสาขาที่เมืองไท่หยางกับเมืองฉู่จิ้งอีก นับว่ากิจการของสกุลหลัวก้าวหน้าไปอีกขั้น เจ้ายังไม่พอใจอีกหรือ”
“ท่านพ่อเจ้าคะ ยอดขายของเราระยะนี้กำลังเติบโตก็จริง แต่เมื่อเทียบกับยาลูกกลอนของท่านหมอฮัวแห่งร้านเฉี่ยนซือนับว่ายังห่างไกล”
หลัวเผิงเผิง รู้ว่าบิดาของนางระมัดระวังเรื่องการเงินมาโดยตลอด สาขาใหญ่ทั้งหลายค่อยๆ ขยับขยายมาตามลำดับ
ท่านปู่ของหลัวเผิงเผิง เป็นพ่อค้าสมุนไพรมาจากเมืองไท่หยางซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองหลวงอยู่ใกล้ชายแดนแคว้นเหลียน เริ่มปักหลักในเมืองหลวงโดยการก่อตั้งร้านค้าเล็กๆ จนถึงรุ่นบิดาก็ขยายร้านค้าขึ้นหลายคูหากลายเป็นร้านใหญ่และมีสาขาที่สองตามมา
ท่านปู่ของหลัวเผิงเผิงสอนเสมอว่า ‘กิจการค้าความมั่นคงทางการเงินสำคัญพอๆ กับการเติบโต ขอเพียงมีเงินเก็บใช้ในครัวเรือน และมีเงินทุนในกิจการมากเพียงพอ วันหน้าหากเกิดปัญหาขึ้น ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ก็สามารถแก้ไขได้’
มาถึงวันนี้ กิจการร้านยาสมุนไพรหวนเจี่ยนับว่าเป็นที่รู้จักของชาวเมืองและชาวแคว้นมากขึ้น แต่...หลัวเผิงเผิงยังไม่พอใจ นางอยากทำให้ร้านหวนเจี่ยกลายเป็นขายยาสมุนไพรอันดับหนึ่งในแคว้นหมิง
นี่คือ...หนทางที่จะทำให้ผู้อาวุโสในตระกูลยอมรับในความสามารถของนาง และยินยอมยกตำแหน่ง ‘หัวหน้าตระกูล’ ให้นางสืบทอด
“แต่เราไม่ควรปล่อยให้พวกเขาทำอย่างราบรื่นเกินไป สาขาที่ห้าของเราเพิ่งเปิดได้ไม่นาน ข้าหวังไว้ว่าในปีนี้เราจะเปิดสาขาที่หก” หลัวเผิงเผิงไม่นับกิจการร้านยาที่ญาติๆ ขอเปิดในหัวเมืองอื่นอีกสองสาขาเพราะนั่นเป็นการแบ่งปันให้พวกเขาได้มีโอกาสลืมตาอ้าปาก
“แล้วเจ้าคิดทำอย่างไร ”
“ท่านพ่อ ข้าจะต้องไปสืบเรื่องนี้และลงมือให้เร็ว ไม่ให้สกุลฮัว ทำสำเร็จเจ้าค่ะ” สีหน้าของหลัวเผิงเผิงเคร่งเครียด
“เจ้าจะทำสิ่งใดกับคนตระกูลนั้นก็ระวังสักหน่อย แม้ฮัวซุ่นซีจะเป็นคนซื่อ ตรงไปตรงมา แต่ฮัวหยางกลับมิใช่”
“เจ้าค่ะท่านพ่อ ข้าจะระวังตัว คงต้องสืบเรื่องของ ฮัวจิงอวี๋ให้ละเอียดเสียก่อนจึงค่อยลงมือ ได้ยินว่าหมอฮัวผู้นี้เป็นญาติของฮัวหยาง สมญานามหมอเทวดาคงไม่ได้มาเพราะตั้งเอาเองเป็นแน่”
“สกุลฮัว ขึ้นชื่อลือชาเรื่องความสามารถทางการแพทย์อยู่แล้ว แค่ฮัวหยางคนเดียวก็ทำให้ร้านเฉี่ยนซือเป็นอันดับหนึ่ง หากมีฮัวจิงอวี๋เพิ่มมาอีกคน เห็นทีชาวเมืองคงจะซื้อแต่ยาร้านนั้นแน่”
“นี่ล่ะเจ้าค่ะ ข้าว่าพวกเราควรจะรีบขยับตัวให้เร็ว”
คหบดีหลัวพยักหน้ารับ “เจ้าจะทำสิ่งใดก็ไปทำเถิด พ่อเชื่อมั่นในความสามารถของเจ้า”
หลัวเผิงเผิง ส่งสายสืบของตนไปด้อมๆ มองๆ อยู่หน้าคฤหาสน์สกุลฮัวหลายวัน พอได้ยินว่าท่านหมอฮัว ผู้พี่เป็นบุรุษรูปงามไม่ต่างจากท่านหมอฮัวหยางผู้น้องก็นึกอยากจะเห็นด้วยตาตนเอง
“เจ้าแน่ใจนะว่าไม่ได้มองผิด นั่นอาจจะเป็นฮัวหยางก็ได้ ฮัวซุ่นซีเป็นน้องแท้ๆ ของฮัวหยางแม้จะถือว่าหน้าตาดีแต่กลับมิได้รูปงามราวเทพเซียนอย่างน้องชาย แล้วญาติผู้พี่จะเหมือนได้อย่างไร”
“คุณชายขอรับ ข้าเคยเห็นหมอฮัวหยาง อยู่ไม่กี่ครั้งก็จริงแต่ก็จดจำใบหน้าได้แม่นยำอยู่ หมอฮัวจิงอวี๋สูงกว่าหมอฮัวหยางขอรับ ใบหน้าค่อนไปทางจะงามมากกว่าหล่อ”
ขุนนางหญิงขมวดคิ้วขณะมองบ่าวรับใช้คนสนิท“ออกไปทางงาม อย่างนั้นหรือ หากเจ้ายืนยันเช่นนั้น ข้าก็จะไปดูเขาด้วยตนเอง”
เสี่ยวไป๋ยิ้มน้อยๆ คุณหนูของเขายังคงมีนิสัยโผงผางอย่างบุรุษ และยังนิยมคนงามเช่นเดิม น่าเสียดายต้องยอมแต่งงานกับเตียวซืออินผู้นั้นเพราะแรงกดดันจากเหล่าผู้อาวุโสในสกุล
ฮัวจิงอวี๋ที่ย่างเท้าลงจากบันไดประตูหน้าคฤหาสน์เหลือบไปเห็นคนที่ซ่อนตัวอยู่หลังกำแพงก็ขมวดคิ้ว ร่างของหลัวเผิงเผิงโผล่ออกมาแวบหนึ่ง
หลัวเผิงเผิงมักจะแต่งกายเป็นคุณชายน้อย แต่ใบหน้าที่เกลี้ยงเกลางดงามนั้นก็ทำให้ดูออกได้ไม่ยากว่านางเป็นสตรี ทว่าฮัวจิงอวี๋กลับเห็นไม่ถนัดตาจึงคิดว่ามีบุรุษมาด้อมๆ มองๆ ตน ในใจจึงรู้สึกขุ่นมัว
ขณะเดียวกันสตรีหลายคนก็เดินนวยนาดผ่านมาพอดี ฮัวจงอวี๋หันไปมองพวกนาง พลันเขาจึงได้เห็นสายตาตกตะลึงแกมชื่นชม หญิงสาวเหล่านั้นพากันเขินอายชายหนุ่มรูปงามจนใบหน้าแดงก่ำ
หลัวเผิงเผิง ได้เห็นฮัวจิงอวี๋เต็มตาก็นิ่งอึ้งไปเช่นกัน นางไม่คาดคิดมาก่อนจะว่าจะมีบุรุษที่ดูงดงามยิ่งกว่าอิสตรีเช่นนี้ในเมืองหลวง
“คุณหนู ท่านเห็นหรือไม่ หมอฮัวใหญ่ผู้นี้เป็นคนรูปงามล้ำอย่างที่ข้าบอกจริงๆ นะขอรับ”
หลัวเผิงเผิงมองเขาด้วยดวงตาเลื่อนลอย คนผู้นี้รูปงามราวกับมิได้มีอยู่จริง ดวงตาหงส์งดงามกับคิ้วกระบี่ที่หางเฉียงขึ้นเล็กน้อยนั่น ทำให้นางถึงกับเคลิ้มไปชั่วขณะ
“อืม...จริงอย่างที่เจ้าบอก คนผู้นี้รูปงามยิ่ง”
“วันนี้หมอใหญ่ฮัวน่าจะไปดูการตกแต่งโรงหมอแห่งใหม่นะขอรับ”
เสี่ยวไป๋หมายถึงอาคารบนถนนร่ำสุข ที่สกุลฮัวเพิ่งไปทำสัญญาเช่ามาจากสกุลเจิ้งเมื่อไม่กี่วันก่อน
“ข้าลืมไปได้อย่างไร ใต้เท้าเจิ้งกับข้าก็สนิทสนมกันดี หากรู้ว่าฮัวหยางคิดจะเช่าอาคารนั้นล่ะก็ ข้าไปยับยั้งก่อนก็สิ้นเรื่องแล้ว” หลัวเผิงเผิงเอ่ยด้วยความเสียดาย
“ท่านไม่ได้รู้ล่วงหน้านี่ขอรับ พวกเขาตกลงกันไปแล้ว ท่านจะไปหักหาญได้อย่างไร”
หลัวเผิงเผิง เม้มปาก “ถ้าหากรู้ก่อน ข้ามีวิธีจะจัดการไม่ให้ฮัวหยางเช่าได้ก็แล้วกัน”
เสี่ยวไป๋ชะงัก “ข้ารู้ขอรับว่าคุณหนูเป็นคนเจ้าเล่ห์ เอ๊ย! เจ้าแผนการ แต่ตอนนี้ข้าว่า คุณหนูควรขัดขวางไม่ได้พวกเขาตกแต่งโรงหมอได้สำเร็จจะดีกว่า”
“จริงของเจ้า ขัดขวางพวกเขาก่อน แล้วข้าค่อยไปดำเนินแผนขั้นต่อไป” หลัวเผิงเผิงพยักหน้าเห็นด้วย
*******************
