3 ผู้ดูแลโรงหมอ
ฮัวจิงอวี๋ถูกเชิญไปยังเรือนนอนของฮัวหยาง พ่อบ้านฝูได้บอกกล่าวแก่คุณชายคนใหม่ว่าฮัวหยางออกไปพักอยู่กับภรรยาที่เรือนปรุงยาด้านหลัง เรือนนี้จึงมีไว้สำหรับต้อนรับญาติๆ ที่เดินทางมาจากแดนไกล
“ถ้าอย่างนั้น เสี่ยวหยางก็คงจงใจจัดไว้ต้อนรับข้า”
“เป็นเช่นนั้นขอรับ ตั้งแต่คุณชายใหญ่เขียนจดหมายไปหาท่านก็ดูจะแน่ใจว่าท่านต้องมาแน่ จึงได้สั่งให้ข้าน้อยจัดเรือนนี้เอาไว้”
“ข้ารู้เพียงว่าเสี่ยวหยางแต่งงานแล้ว แต่ว่าน้องสะใภ้เป็นคนเช่นไร ข้ายังไม่รู้เลย พ่อบ้านฝูเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่ ”
“น้องสะใภ้ของท่านเป็นมือปราบในสำนักมือปราบหน่วยที่หกขอรับ ฮูหยินน้อยเป็นคนซื่อตรง ใจดี มีเมตตาเพียงแต่...”
“เพียงแต่อันใดหรือ”
ฮัวจิงอวี๋แสดงสีหน้าแปลกใจออกมาเล็กน้อย เขาไม่คิดว่าญาติผู้น้องจะชอบสตรีห้าวหาญที่เป็นมือปราบ
“ครอบครัวของฮูหยินน้อยค่อนข้างยากจนขอรับ แต่ตอนหลังนายท่านรู้ว่านางเป็นบุตรสาวของสหายเก่าจึงยินยอมให้แต่งงานกัน”
“ท่านอากับท่านอาสะใภ้กลุ้มใจเรื่องการแต่งงานของเสี่ยวหยางมานานแล้วนี่ ได้ยินว่าเขาไม่เคยสนใจสตรีเลย”
“ขอรับ ก่อนหน้านี้นำรูปคุณหนูมาให้เลือกกว่าห้าสิบคนแล้ว แต่คุณชายรองก็ไม่ชอบใจเสียที”
“อืม...” ฮัว จิงอวี๋หัวเราะเบาๆ “ดีๆ ข้าชักอยากจะเห็นน้องสะใภ้ผู้นี้เสียแล้ว”
ฮัวหยางกลับมาพร้อมกับอู๋จือหลังตะวันตกดิน สองสามีภรรยาเดินจับมือกันเข้ามายังห้องรับประทานอาหาร คนในครอบครัวที่กำลังนั่งรอหันกลับไปมอง
ฮัวหยางมองเห็นญาติพี่ผู้ก็ยิ้มกว้างเอ่ยทัก “พี่จิงอวี๋ ท่านมาถึงเสียที ข้ารอมาหลายวันแล้ว”
ฮัวจิงอวี๋มองดูญาติผู้น้องแล้วยิ้มกว้าง จริงอย่างที่ทุกคนบอก ใบหน้าของฮัวหยางละม้ายกับเขาหลายส่วน หากมองไกลๆ อาจจะคิดว่าเป็นคนเดียวกัน
“ข้ากับเจ้า เหมือนกันมากจริงๆ ด้วย”
อู๋จือถึงกับตะลึง นอกจากสามีของตนที่หล่อเหลารูปงามแล้ว ญาติผู้พี่ของสามีนามฮัวจิงอวี๋ก็มีรูปลักษณ์เลอเลิศแพ้กัน
“ข้าเร่งเดินทางเพราะห่วงว่าเจ้าจะรอนานน่ะสิ” สายตาของฮัวจิงอวี๋หันไปมองสตรีในชุดเครื่องแบบสีแดงเลือดหมูที่ยืนอยู่ข้างๆ ฮัวหยาง
“นี่ล่ะสินะ น้องสะใภ้ของข้า ดูแล้วเหมาะสมกับเจ้ามาก เจ้าสองคนเป็นคู่สวรรค์สร้างจริงๆ”
อู๋จือประสานมือยอบกาย “ขอบคุณญาติผู้พี่”
ฮัวหยางหัวเราะร่วน “ในจดหมายที่เขียนไป ข้าลืมเล่าเรื่องจือจือให้ท่านฟังเสียสนิท มัวแต่ห่วงเรื่องการตั้งโรงหมอ”
“ไม่เป็นไร ข้าแอบสอบถามจากพ่อบ้านฝูมาแล้ว”ฮัวจิงอวี๋ยิ้มน้อยๆ
เรื่องราวของหมอเทวดาฮัวจิงอวี๋ ฮัวหยางนอนเล่าให้ภรรยาฟังบนเตียงมาหลายคืนแล้ว ครั้นได้พบตัวจริง อู๋จือคิดว่าฮัวหยางมิได้พูดเกินเลยไปแต่อย่างใด
ญาติผู้พี่ของสามีช่างเป็นผู้ที่สวรรค์โปรดปรานเสียนี่กระไร รูปร่างหน้าตางดงามไร้ที่ติ แต่...แววตากลับดูเศร้าสร้อยอย่างประหลาด
“มาๆ พวกเจ้ามาก็ดีแล้ว รีบมานั่งกันเถอะ ทุกคนหิ้วท้องรอเจ้านานแล้ว” คหบดีฮัวมองเห็นคนทั้งสามเดินเข้าก็รีบเรียก
ในโต๊ะนั้นมีคหบดีฮัว ฮัวฮูหยิน ฮัวซุ่นซีน้องชายของฮัวหยาง ภรรยาของฮัวซุ่นซี และเด็กชายตัวน้อยอีกสองคน
ฮัวจิ้นกับฮัวปินปินบุตรชายตัวน้อยของฮัวไห่เทาผู้เป็นอาในตระกูลสายรองของฮัวหยางได้รับอนุญาตให้มานั่งร่วมโต๊ะอาหารโดยมีมารดาคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ
พอเห็นพี่สะใภ้อย่างอู๋จือ เด็กน้อยทั้งสองก็สงบเสงี่ยมขึ้นมาทันทีทันใด
ฮัวฮูหยินที่ลอบสังเกตอยู่หัวเราะออกมาเบาๆ “พวกเจ้าตัวเล็ก เจอมือปราบประจำบ้านเราทีไรก็ทำตัวดีตลอด”
“ท่านแม่ อย่าเย้าอย่างนั้นสิเจ้าคะ พวกเขาแค่อยู่ในระเบียบวินัยแค่นั้นเอง” อู๋จือรีบแย้ง นางกลัวเด็กชายสองคนจะไม่สบายใจเพราะนางเคยจับผิดพวกเขาได้ เมื่อครั้งเล่นฝังสมบัติของท่านย่าจนเกิดเรื่องวุ่นวายโกลาหลในคฤหาสน์
ฮัวจิงอวี๋มองตามสายตาของท่านอาสะใภ้ก็เห็นว่าญาติผู้น้องจอมซนทั้งสองเมื่อครู่ยังนั่งกินอาหารอย่างไม่ค่อยสำรวมนัก ทว่าพอเห็นอู๋จือทรุดตัวลงนั่งข้างๆ เด็กทั้งสองก็มีท่าทีระมัดระวัง
“มีมือปราบอยู่ในครอบครัวก็ดีอย่างนี้เอง พวกเด็กซนทั้งหลายกลัวจะถูกจับเข้าคุกจึงต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่” คหบดีฮัว พูดพลางยิ้มเอ็นดูหลานๆ
“ที่แท้ เด็กสองคนก็เกรงใจน้องสะใภ้นี่เอง”
ฮัวซุ่นซียิ้มกว้าง ในขณะที่ภรรยาของฮัวซุ่นซีสาละวนกับการคีบอาหารเอาใจมารดาของสามี
“เขากลัวกันมานานแล้วขอรับพี่จิงอวี๋ ทุกวันนี้หากจะสั่งสอนอันใดก็ต้องมอบให้เป็นหน้าที่ของพี่จือ”
ฮัวจิงอวี๋พยักหน้าหงึกหงัก เขารู้สึกดีใจแทนอู๋จือผู้เป็นน้องสะใภ้ที่ได้รับการยอมรับในครอบครัวของสามี และเข้ากับทุกคนได้ดี
โดยทั่วไปในครอบครัวที่ร่ำรวยมหาศาลอย่างสกุลฮัว ยากนักที่ลูกสะใภ้จากสกุลยากจนจะอยู่อย่างมีความสุขได้ อาจจะเป็นเพราะฮัวหยางรักใคร่ภรรยามาก ทำให้คนทั้งเรือนพลอยเอ็นดูน้องสะใภ้คนนี้ด้วย
หลังรับประทานอาหาร อู๋จือพาหลานๆ ไปเดินเล่นที่สนามหญ้าหน้าเรือนใหญ่ นางสอนพวกเขาตวัดกระบี่สองสามท่าพอได้ออกกำลังให้อาหารในท้องได้ย่อย
มือปราบหญิงหาซื้อกระบี่ไม้ที่มีขนาดเหมาะกับฮัวจิ้นและฮัวปินปินคนละอัน พร้อมทั้งสอนวิชากระบี่ให้ด้วย เด็กสองคนจึงติดพี่สะใภ้อย่างมากและใฝ่ฝันอยากจะเป็นมือปราบเลื่องชื่อ
คหบดีฮัวกับลูกหลานไปนั่งอยู่โต๊ะที่ระเบียงกว้างปรึกษาหารือเรื่องการตั้งโรงหมอในเมืองหลวง
ฮัวหยางมองญาติผู้พี่ “ที่ข้าเขียนจดหมายไปเชิญท่านพี่มาก็เพราะเห็นว่ายามนี้ร้านยาสมุนไพรของสกุลฮัว มีถึงสิบสาขาแล้ว ข้าเองก็คิดค้นและปรุงยาใหม่ๆ ออกมาหลายสิบขนาน เหลือเพียงการตรวจรักษาโรคที่ข้ายากจะทำด้วยตนเองได้ไหว”
คหบดีฮัวรีบสำทับ “อาเองเห็นว่าเจ้ามีความสามารถจนถูกเรียกขานว่า หมอเทวดา ควรจะได้ใช้ความรู้ช่วยเหลือผู้คนอย่างเต็มที่ โรงหมอสกุลฮัวที่เราจะตั้งขึ้นนี้ อาตั้งใจจะช่วยเหลือคนยากไร้ไปด้วยส่วนหนึ่ง ที่ผ่านมาหากคนจนเจ็บป่วยหนักยากนักที่พวกเขาจะมีเงินมารักษา สุดท้ายก็ต้องเสียชีวิตไปอย่างน่าอนาถ”
ฮัวจิงอวี๋ยิ้มให้กับท่านอาและญาติผู้น้อง
“เป็นเพราะพวกท่านบอกกล่าวเช่นนี้ ข้าจึงได้ยอมลงจากเขามาเพื่อช่วยพวกท่านตั้งโรงหมอ ที่ผ่านมาข้าเองก็ลงไปที่หมู่บ้านเชิงเขาเป็นบางครั้งเพื่อช่วยตรวจรักษาให้คนยากคนจนโดยไม่เก็บค่ารักษา แต่ยาหลายอย่างต้องใช้เงินซื้อ นี่เป็นข้อจำกัดที่สำคัญข้อหนึ่ง”
ฮัวซุ่นซียิ้มน้อยๆ “ท่านพี่ไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ ข้ากับภรรยาดูแลบัญชีรายได้ทั้งหมดของร้านเฉี่ยนซือ พวกเราแบ่งกำไรส่วนหนึ่งเอาไว้เพื่อสนับสนุนค่ายาให้กับโรงหมอเพื่อให้ท่านได้ช่วยเหลือคนยากไร้อย่างเต็มที่”
“ขอบใจนะ เสี่ยวซุ่นซี ได้ยินเช่นนี้ข้าก็สบายใจ”
“ไม่ได้มีแต่ค่ายาของคนจนนะขอรับ ยังมีเบี้ยหวัดของท่านด้วย โรงหมอสกุลฮัว ของเรามีปณิธานคือจะดูแลรักษาคนรวยเพื่อเอาเงินมาช่วยคนจน”
ฮัวจิงอวี๋ยิ้มกว้าง “ดีๆ ถ้าอย่างนั้นข้าก็สบายใจ”
ฮัวหยางยื่นมือมาจับแขนญาติผู้พี่ “โรงหมอสกุลฮัว มอบให้ท่านเป็นผู้ดูแล ข้าเชื่อมั่นว่าชื่อเสียงในการรักษาของท่านจะทำให้ยาในร้านเฉี่ยนซือขายดีมากยิ่งขึ้น นั่นหมายถึงเราจะได้ช่วยเหลือคนยากไร้ได้มากขึ้น”
“เสี่ยวหยาง เจ้าเองก็ต้องเจียดเวลามาช่วยข้าตรวจโรคให้คนป่วยด้วยเล่า ทิ้งไว้นานจะลืมวิชาเสียเปล่า”
ฮัวหยางมองหน้าญาติผู้พี่ “จริง ข้าเองก็คิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ถ้าโรงหมอมีท่านอยู่เป็นหลัก ข้าก็จะแวะเวียนไปช่วยตรวจคนไข้เป็นครั้งคราว”
*************
