5 แผนชิงยอดขาย
สองนายบ่าวตามฮัวจิงอวี๋ไปจนถึงที่หมาย อาคารสองชั้นขนาดสามคูหาที่ฮัวหยางทำสัญญาเช่าเอาไว้นั้น ช่างอยู่ในทำเลที่ดีจนหลัวเผิงเผิง รู้สึกหนักใจ
‘หากว่าพวกเขาเปิดโรงหมอที่นี่สำเร็จ ผู้คนต้องหลั่งไหลเข้ามารักษากันอย่างมากแน่ๆ’
“คุณหนูขอรับ แถวนี้ยังไม่มีโรงหมอและมีคนต่างถิ่นแวะมาพักอยู่มาก เห็นทีโรงหมอสกุลฮัวต้องเป็นที่นิยมแน่อน”
“นั่นสิ ข้าก็กำลังหนักใจอยู่”
หลัวเผิงเผิง มองโรงเตี๊ยมหลายแห่งที่เพิ่งผุดขึ้นใหม่ นางเป็นเจ้าหน้าที่จัดเก็บภาษีร้านค้าและกิจการต่างๆ จึงรู้ว่าในตรอกแถวนี้มีที่พักรายคืนและบ้านเช่ามากมายที่พวกพ่อค้าและคนเดินทางจากต่างเมืองและต่างแคว้นมักจะเข้ามาพักอาศัย
“หากเราคิดจะตั้งโรงหมอแข่งกับเขาในยามนี้ คงไม่ทันแน่ คงต้องอาศัยความสามารถผู้อื่นเพื่อดันตนเองเสียแล้วล่ะ”
“คุณหนูหมายถึง...”
“ไปติดต่อหมอที่เก่งๆ ให้มาอยู่ในสังกัดร้านหวนเจี่ยอย่างไรเล่า”
ฮัวจิงอวี๋รู้สึกว่ามีคนตามสะกดรอยจึงย่องออกไปประตูหลังของโรงหมอ แล้วอ้อมไปดักรอบุรุษสองคนที่เขารู้สึกว่าลอบตามเขามาได้สักพักแล้ว
แต่พอเห็นคนทั้งสองจริงๆ ชายหนุ่มกลับชะงัก คนหนึ่งก็คือสตรีที่สวมเสื้อผ้าอย่างบุรุษ นางคือคนเมื่อเช้าที่เขาเห็นอยู่ข้างกำแพงฝั่งตรงข้าม
ใบหน้านั้น คุ้นเคยอย่างยิ่ง แต่อาจจะเป็นเพราะเวลาผ่านมาหลายปี เป็นช่วงที่นางเติบโตขึ้นจึงได้ดูเปลี่ยนไป
‘หรือว่านางจะเป็น.....’
ท่านหมอหนุ่มเดินออกไปขวางหน้า “คุณชายน้อย เจ้าชอบข้ามากหรือ เหตุใดจึงได้ตามข้า”
หลัวเผิงเผิงชะงัก เมื่อเห็นฮัวจิงอวี๋มาหยุดยืนตรงหน้า ห่างจากนางเพียงสองก้าว ใบหน้าของเขางดงามประดุจเทพเซียนลอยลงมาจากฟากฟ้า
หญิงสาวแทบจะหยุดหายใจ เมื่อสบตากับแววตาหงส์ล้ำลึกคู่นั้น ยิ่งตอนที่เขาเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้น นางถึงกับลืมตัวก้าวเท้าเข้าไปหาเขาคล้ายกับถูกรั้งเข้าไป
“อะ แฮ่ม คุณชาย!” เสียงเสี่ยวไป๋ดังขึ้นด้านหลัง ทำให้นางได้สติขึ้นมา
หลัวเผิงเผิงกระพริบตาถี่ ยามนี้นางกำลังเงยหน้าขึ้นสบตากับชายหนุ่มรูปงามที่สุดเท่าที่เคยมีในเมืองหลวงแห่งนี้
“ข้า....”
“ข้าชื่อฮัวจิงอวี๋ แล้วเจ้าเล่า” เขายิ้มน้อยๆ
เสี่ยวไป๋เห็นท่าทางเลื่อนลอยของเจ้านายของตนแล้วก็ตะลึง เขารีบยื่นมือไปดึงแขนของหลัวเผิงเผิงให้ถอยหลัง
“เอ่อ...ขออภัยท่านด้วย พวกเราต้องรีบไปแล้ว”
“เดี๋ยวก่อน เจ้ายังไม่บอกชื่อข้าเลย” ฮัวจิงอวี๋ท้วง
หญิงสาวกระพริบตาถี่ นางจึงนึกขึ้นได้ว่าตนเองกำลังแอบตามสอดส่องฮัวจิงอวี๋อยู่ แต่ยามนี้กลับทำท่าเหมือนจะผวาเข้าไปหาเขา หญิงสาวพลันนึกละอายแก่ใจ
“ไปกันเถอะเสี่ยวไป๋” ใบหน้าของนางแดงก่ำแล้ววิ่งหนีนำหน้าเสี่ยวไป๋
“ช้าก่อน!” ฮัวจิงอวี๋ตะโกนไล่หลัง น่าเสียดายที่เขาตามนางไม่ทัน
สองนายบ่าวหลบหายไปท่ามกลางผู้คน ปล่อยให้ท่านหมอหนุ่มถอนหายใจด้วยความเสียดาย
ฮัวจิงอวี๋กลับถึงคฤหาสน์ก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้กับญาติผู้น้องและน้องสะใภ้ฟัง
อู๋จือสอบถามรูปลักษณ์ของหญิงสาวที่แต่งกายเป็นบุรุษผู้นั้น พอฮัวจิงอวี๋บอกเล่ารายละเอียดเสร็จ นางก็ยิ้มออกมา
“น่าจะเป็นใต้เท้าหลัวเจ้าค่ะ หลัวเผิงเผิงบุตรสาวคนโตของร้านยาหวนเจี่ย”
ได้ยินชื่อนั้น ฮัวจิงอวี๋ก็ตกตะลึง
อู๋จือเห็นญาติผู้พี่ของสามีคล้ายจะสนใจใต้เท้าหญิงผู้นั้นจึงเล่าต่อ “นางเป็นขุนนางหญิงที่อายุน้อยและมีความสามารถมาก ฉายาของนางคือ จิ้งจอกขาว”
“จิ้งจอกขาว เหตุใดจึงเรียกเช่นนั้น” ฮัวจิงอวี๋ขมวดคิ้ว
“นางงดงามราวกับเซียนจิ้งจอก ฉลาดและเจ้าเล่ห์ยิ่ง นางทำหน้าที่เก็บภาษีร้านค้าในเมืองหลวงเจ้าค่ะ”
ฮัวจิงอวี๋หัวเราะนึกถึงท่าทางแก่นแก้วของหญิงสาวที่แต่งตัวเป็นบุรุษผู้นั้น “แสดงว่านางต้องรีดเอาภาษีทุกร้านได้หมดสินะ เถ้าแก่และคหบดีทั้งหลายจึงตั้งฉายาให้นางเช่นนั้น”
อู๋จือพยักหน้ารับ “เจ้าค่ะ นางแม่นเรื่องกฎหมายการเก็บภาษี นางทำให้ร้านค้าต้องยอมจ่ายภาษีเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่กลับทำให้ร้านยาหวยเจี่ยของสกุลตนเองได้จ่ายภาษีน้อยลง”
“หือ ทำเช่นนั้นได้ด้วยหรือ”
“เจ้าค่ะ ผู้คนถึงเรียกว่า จิ้งจอกขาว เพราะนางทำทุกอย่างให้ตนเองได้เปรียบ โดยไม่ผิดกฎหมาย พี่จิงอวี๋มาเมืองหลวงได้หลายวันแล้ว ไม่ได้ยินคดีของสามีใต้เท้าหลัวหรือเจ้าคะ”
คราวนี้ฮัวจิงอวี๋รู้สึกคล้ายวิญญาณจะหลุดออกจากร่าง “สามีนางหรือ...นาง...นางแต่งงานแล้ว”
“ใช่เจ้าค่ะ ใต้เท้าหลัวแต่งงานแล้ว ก่อนหน้านี้ท่านจะมาถึง สามีของนางกับชู้รักนัดพบกันแล้วเสียชีวิตทั้งคู่”
“นางงดงามถึงเพียงนั้น เหตุใดสามีจึงกล้ามีชู้”
“อันที่จริง นางกับสามียังไม่เคยเข้าหอกันเลยเจ้าค่ะเพราะคุณชายเตียว สามีของใต้เท้าหลัวเป็นต้วนซิ่ว เขามีคู่รักอยู่แล้ว ที่แต่งกับนางก็เพราะต้องการปลดหนี้ให้ครอบครัว”
ฮัวจิงอวี๋ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “อืม ถ้าอย่างนั้น นางก็คงจะทุกข์ตรมมากเลยทีเดียว แต่งงานทั้งทีแต่กลับได้สามีเป็นต้วนซิ่ว”
อู๋จือส่ายหน้า “ข้าว่าไม่นะเจ้าคะ ได้ยินว่าใต้เท้าหลัวมีอาการป่วยที่ไม่เปิดเผยเจ้าค่ะ”
“ป่วยอันใด”
“อดีตคนรับใช้ผู้หนึ่งบอกว่า นางแตะเนื้อต้องตัวบุรุษไม่ได้ จะรู้สึกคลื่นไส้อาเจียนออกมาทันที”
“แต่ที่ข้าเห็น นางมีคนรับใช้เป็นบุรุษคอยติดตามอยู่ผู้หนึ่งมิใช่หรือ”
“อ้อ เสี่ยวไป๋ ได้ยินว่าเป็นบ่าวรับใช้ที่อยู่กันมาตั้งแต่เด็ก แต่ก็แตะต้องตัวนางไม่ได้อยู่ดีเจ้าค่ะ” อู๋จือรีบยืนยัน “หน่วยของข้าเป็นคนทำคดีคุณชายเตียวและบัณฑิตซุย ดังนั้น ข้าจึงรู้เรื่องตื้นลึกหนาบางของใต้เท้าหลัวอยู่มาก แต่ก็ยังไม่รู้ว่าเหตุใดนางจึงป่วยเป็นโรคประหลาดนั้น”
ฮัวจิงอวี๋นั่งนิ่ง คิดถึงวงหน้างดงามของหลัวเผิงเผิง
“หัวหน้าจางเชิญตัวนางไปสอบสวนแล้วเจ้าค่ะ เพียงแต่ไม่มีหลักฐานว่านางเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”
“ถ้าอย่างนั้น นางก็เท่ากับเป็นหม้ายแล้วน่ะสิ”
“เจ้าค่ะ”
“แต่หัวหน้าจางก็ยังไม่สรุปว่านางบริสุทธิ์นะเจ้าคะ ในเมื่อใต้เท้าหลัวเป็นสามีของผู้ตาย ไม่แน่ว่าคนที่ลงมือฆ่าสามีกับชู้อาจจะเป็นนาง เพียงแต่ตอนนี้ยังหาพยานหลักฐานไม่พบ”
“อ้อ” ฮัวจิงอวี๋พยักหน้าเบาๆ “หากเป็นสตรีทั่วไปที่สามีตายด้วยเหตุเช่นนี้ก็น่าจะมีความเศร้าโศก แต่ใต้เท้าหลัวผู้นี้กลับดูไร้ทุกข์ไร้กังวล”
“เจ้าค่ะ นี่ยิ่งเป็นเหตุให้ครอบครัวของคุณชายเตียวคิดว่าใต้เท้าหลัวเป็นคนทำ”
ฮัวจิงอวี๋มีสีหน้าสลับกันคล้ายจะโกรธเคืองและดูเศร้าสร้อย อู๋จือได้แต่นึกสงสัยว่า...ญาติผู้พี่ของสามีอาจจะรู้จักกับใต้เท้าหลัวมาก่อน
หลัวเผิงเผิง ติดตามดูฮัวจิงอวี๋จนมืดค่ำค่อยกลับคฤหาสน์ของตน พอลงจากรถม้านางก็จามออกมาหลายหน
“ฮัดเช้ย! ผู้ใดนินทาข้าอีกแล้ว”
“คุณหนูขอรับ คนนินทาท่านกันทั้งเมือง เห็นทีท่านคงไม่ทำอันใดแล้ว ต้องจามทั้งวันทั้งคืนแน่”
หญิงสาวทำตาเขียวใส่บ่าวรับใช้ “เสี่ยวไป๋ คำดีๆ เจ้าไม่คิดจะเอ่ยออกมาหรือไร”
เสี่ยวไป๋หัวเราะแหะๆ เขาอายุมากกว่าคุณหนูใหญ่สามปี รับใช้นางตั้งแต่เด็กจนโตจึงชินกับท่าทางและนิสัยที่ดูห้าวหาญเกินสตรีของนาง
หลัวเผิงเผิงตรงเข้าไปหาบิดาเรือนสวดมนต์ที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่ สองพ่อลูกปรึกษากันว่าสกุลหลัวคงต้องไปติดต่อกับโรงหมอสักแห่งเพื่อสนับสนุนให้เกิดการใช้ยาสมุนไพรที่มาจากร้านหวยเจี่ยซึ่งเป็นร้านของสกุลหลัวเท่านั้น
******************
