2 หมอฮัวคนใหม่
อีกฝ่ายหนึ่งก็ว่าเรื่องที่เตียวซืออินคบชู้ ใต้เท้าหลัวทราบดีและนางก็ตัดหางปล่อยวัดเขาไปนานแล้ว
กระทั่งข่าวซุบซิบล่าสุด ยิ่งรุนแรงมากยิ่งขึ้น คนส่วนหนึ่งพูดกันว่าใต้เท้าหลัวรู้ว่าสามีหนีออกจากคฤหาสน์เพื่อนัดพบกับบุรุษอื่น จึงได้ส่งคนไปตามฆ่าสามีของตนและชู้รักจนเสียชีวิต
ต่อให้ข่าวลือจะมากมายสักเพียงใด หลัวเผิงเผิงผู้เป็นภรรยาของหนึ่งในผู้ตายก็ยังคงเก็บตัวเงียบ
ไม่นานข่าวลือพวกนี้ก็กระพือเร็วยิ่งกว่าการรายงานข่าวอย่างถูกต้องของสำนักข่าวนกกระจิบ ชาวเมืองทุกตรอกซอกซอยต่างพูดเรื่องนี้กันทั้งนั้น
จางเจิ้งจีทำการสืบคดีนี้อย่างรอบด้าน และนำไปรายงานให้กับรองผู้บัญชาการโหยวได้ทราบ
“เตียวซืออินผู้นี้เป็นบุตรของขุนนางขั้นหกกรมมหาไทขอรับ ใต้เท้าเตียวติดหนี้คหบดีหลัว จึงได้มอบบุตรชายของตนให้แต่งเข้าสกุลหลัวเป็นการล้างหนี้ คุณชายเตียวผู้นี้เติบโตอยู่ไท่หยาง เป็นบัณฑิตที่สอบได้อันดับหนึ่งของปีก่อน
คหบดีหลัวเห็นว่าหน่วยก้านดีจึงยื่นข้อเสนอให้แต่งงานกับหลัวเผิงเผิงบุตรสาวเพราะหวังว่า ปีนี้คุณชายเตียวจะสอบเป็นจอหงวนได้”
“อืม...แล้วเบื้องหลังเล่า” โหยวอีเลิกคิ้ว เขาทำคดีมานับไม่ถ้วน เรื่องเบื้องหน้าพวกนี้ เป็นแค่เรื่องทั่วไปที่คนรู้
“เบื้องหลังก็คือ เตียวซืออินเป็นต้วนซิ่วขอรับ เขาเคยคบหากับบัณฑิตหน้าตาดีในเมืองไท่หยางก่อนจะเดินทางมาเมืองหลวง
มาถึงเมืองหลวงก็คบหากับบุรุษอีกคนหนึ่งที่อยู่ละแวกบ้าน หลังจากนั้นมาคบหากับซุยจี้เซิง กระทั่งแต่งงานกับหลัวเผิงเผิงจึงได้เลิกรากันไป แต่ทั้งสองก็ยังแอบพบปะกันเป็นบางครั้งขอรับ”
“อืม...ชัดเจนแล้วว่าทั้งสองเป็นคู่รักกัน เช่นนั้น เรื่องซุบซิบที่ข้าได้ยินก็ไม่ผิด”
จางเจิ้งจีทำตาโต “ท่านได้ยินว่าอย่างไรหรือขอรับ”
“ได้ยินมาว่าหลังจากแต่งงานพวกเขาก็ไม่เคยร่วมห้องหอ นอนแยกห้องกันมาตลอด คหบดีหลัวไม่พอใจแต่ก็ทำอันใดไม่ได้เพราะอยากมีลูกเขยเป็นขุนนางจึงต้องอดทน แต่ลูกเขยกลับเป็นฝ่ายทนไม่ได้ เขาแอบนัดพบกับชู้รักเก่า และคิดจะหนีไปด้วยกัน”
“ใต้เท้าโหยว ท่านรู้ลึกรู้ดีจริงๆ ขอรับ”
โหยวอียิ้มน้อยๆ “ข่าวใหญ่เช่นนี้ ข้าต้องใช้คนสืบทุกด้าน จะได้ไม่ถูกชาวเมืองประณามว่าทำคดีมักง่าย”
จางเจิ้งจีค้อมศีรษะ “ขอรับ”
ขบวนของมือปราบพากันไปยังคฤหาสน์สกุลหลัวเพื่อขอพบกับหลัวเผิงเผิง ระหว่างที่กำลังรอนางอยู่นั้น โหยวอีก็เตือนคนของตน
“ข้าได้ยินว่าหลัวเผิงเผิง เป็นขุนนางที่เฉลียวฉลาดและยังเจ้าเล่ห์เพทุบาย พวกเจ้าจะสืบสวนสอบถามสิ่งใดก็ควรกระทำอย่างระมัดระวัง”
ไม่นานนัก หญิงสาวเรือนร่างระหง ใบหน้างดงาม ท่วงท่างามสง่าในชุดสีเทาปักลวดลายใบไม้และนกน้อยก็ย่างเท้าเข้ามาในห้องโถงของคฤหาสน์ คนทั้งหมดรู้สึกถึงความคมกริบของสายตาสตรีผู้นี้
...นางงดงาม สง่า และเยือกเย็นจนชวนหวาดหวั่น...
หลัวเผิงเผิงเป็นสตรีที่แฝงไปด้วยกลิ่นอายความน่าเกรงขาม ไม่เพียงสอบคัดเลือกได้ลำดับห้าในระดับแคว้น แต่ยังมีครอบครัวทำกิจการค้าจึงมีความถนัดในการทำบัญชี การที่นางได้ทำงานในกรมคลังจึงเหมาะอย่างยิ่ง
“ใต้เท้าโหยว ขอบคุณที่ท่านอุตส่าห์มาเยือนถึงบ้าน” หลัวเผิงเผิง ค้อมศีรษะคารวะอย่างไว้ตัว
“ข่าวดังถึงเพียงนี้ อย่างไรก็ต้องสอบสวน ขออภัยที่ต้องมารบกวนใต้เท้าหลัวในช่วงที่ท่านยังไม่ค่อยสะดวก แต่ข้าก็จำเป็น หวังว่าท่านคงเข้าใจ”
“มิได้เจ้าค่ะ ท่านก็ทำตามหน้าที่เถิด”
เตียวซืออินยังคงอยู่ในฐานะสามีแต่งเข้าของหลัวเผิงเผิง ทว่าหลังข่าวอัปยศดังกล่าวทำให้บิดาของหลัวเผิงเผิง โมโหจนต้องให้บุตรสาวหย่าขาดกับผู้ตาย
ศพของเตียวซืออิน จึงมิได้ถูกหามเข้ามาในสกุลหลัวให้ระคายความรู้สึกของท่านผู้เฒ่าแต่ถูกนำไปส่งที่จวนสกุลเตียวซึ่งเป็นบ้านเดิมแทน
“อย่าได้เกรงใจ ข้ารู้ว่าท่านจะต้องเชิญข้าไปสอบสวนแน่ เพียงแต่รอให้บิดาของข้าอาการดีสักวันสองวันแล้วจะเข้าไปสำนักมือปราบ”
“เช่นนั้นก็ขอบคุณท่าน” โหยวอีค้อมศีรษะ
ในคดีนี้หลัวเผิงเผิง ยังไม่มีหลักฐานบ่งชี้ว่านางเป็นคนกระทำ แต่ก็มองข้ามนางมิได้ เพราะนางมีโอกาสจะเป็นผู้สั่งฆ่าสามีที่เล่นชู้
โหยวอีในฐานะรองผู้บัญชาการสำนักมือปราบเมืองหลวงไม่กล้าสรุปคดีใหญ่อย่างนี้ว่าผู้ตายทั้งสองฆ่าตัวตายจนกว่าจะมีหลักฐานพยานมาเพิ่มได้
ครอบครัวของเตียวซืออิน มาคุกเข่าอยู่หน้าสำนักมือปราบอยู่ค่อนวัน เพราะเชื่อว่าบุตรชายของตนถูกฆาตกรรม ทำให้รองผู้บัญชาการโหยวกับหัวหน้ามือปราบจาง ไม่กล้าสรุปคดีสุ่มสี่สุ่มห้า
ฮัวจิงอวี๋เดินทางมาถึงเมืองหลวงปุ๊บก็ตระเวนไปรอบๆ เมืองเพื่อดูกิจการโรงหมอหลายแห่ง จากนั้นค่อยเข้าไปยังคฤหาสน์สกุลฮัว
พอเห็นชายหนุ่มรูปงามยืนอยู่หน้าซุ้มประตู บ่าวรับใช้ก็รีบเข้าไปต้อนรับ ใบหน้างดงามของผู้มาเยือนละม้ายคล้ายกับคุณชายใหญ่ของตนมา เท่านั้นบ่าวรับใช้ก็รีบเอ่ยปากต้อนรับ
“ท่านคือคุณชายฮัวจิงอวี๋ใช่หรือไม่ขอรับ ”
“เจ้ารู้จักข้าด้วยหรือ ”
“คุณชายใหญ่สั่งเอาไว้แล้วว่าท่านจะเดินทางมาถึงช่วงเวลานี้ ท่านเองก็หน้าตาเหมือนกับคุณชายใหญ่มาก แค่เห็นหน้าก็รู้แล้วขอรับ”
“อ้อ! อย่างนั้นหรือ”
“เชิญคุณชายข้างในเถิดขอรับ”
ฮัวฮูหยินเห็นฮัวจิงอวี๋ก็ยิ้มกว้าง รีบหันไปสั่งสาวใช้เอาของว่างกับน้ำชามาต้อนรับหลานชายที่เดินทางมาจากแดนไกล
“พวกเจ้าเร็วหน่อย หลานชายข้าเดินทางมาไกลคงจะหิวแย่แล้ว” ฮัวฮูหยินโบกพัดสั่งการสาวใช้ให้วุ่น “เจ้านั่งก่อน จิงอวี๋ ไม่พบกันเสียนาน เจ้าโตขึ้นมาทีเดียว”
ฮัวจิงอวี๋ ควักเอาจดหมายของท่านพ่อออกมายื่นให้กับอาสะใภ้ “นี่ขอรับท่านอา จดหมายของท่านพ่อที่ฝากมาให้พวกท่าน”
“เจ้าเดินทางมาไกล ข้าสั่งให้คนครัวเตรียมสำรับแล้ว ประเดี๋ยวค่อยไปโต๊ะอาหาร จิบน้ำชา กินขนมเสียก่อน”
ฮัวฮูหยินรับเอาจดหมายแล้วเปิดอ่าน นางยิ้มน้อยๆ ให้กับหลานชายที่ไม่พบกันนาน
บนจดหมายมีตราประทับของสกุลฮัว ทำให้แน่ใจได้ว่านี่คือฮัวจิงอวี๋ตัวจริง
“ข้าไม่เห็นเจ้ามาตั้งนาน ไม่น่าเชื่อว่าพอโตขึ้นพวกเจ้าจะหน้าคล้ายเสี่ยวหยางมากถึงเพียงนี้ น่าแปลกเสียจริง” ฮัวฮูหยินมองแล้วมองอีก
จะว่าไปฮัวจิงอวี๋ผู้นี้ก็หน้าตาคล้ายกับฮัวหยาง บุตรชายคนโตของนางมากจริงๆ แต่ตอนที่ฮัวจิงอวี๋ยังเด็กดูแล้วละม้ายคล้ายฮัวซุ่นซีบุตรชายคนรองของนางมากกว่า
ฮัวหยางเพิ่งแต่งงานกับมือปราบหญิงอู๋จือ ส่วนฮัวซุ่นซีน้องชายของฮัวหยางเพิ่งแต่งงานและมีลูกเล็กๆ อยู่หนึ่งคน
“เหมือนมากเลยหรือขอรับ ”
“เจ้าคอยดูหน้าเขาเองก็แล้วกัน อีกสักครึ่งชั่วยามก็คงกลับมาแล้ว ตอนนี้เสี่ยวหยางกำลังสาละวนกับยาตัวใหม่ที่เพิ่งผลิตออกมาวางจำหน่ายได้ไม่นาน ส่วนเสี่ยวซุ่นซีดูแลบัญชีและตรวจตราร้านค้า คงจะกลับตอนเย็นโน่นล่ะ เจ้าก็ไปพักผ่อนอาบน้ำให้สบายใจก่อนเถิด ถึงตอนนั้นท่านอาของเจ้าก็คงจะตื่นนอนพอดี เมื่อคืนเขานอนไม่ค่อยหลับ ข้าจึงได้บังคับให้เขานอนกลางวัน”
พอคุยกันเสร็จ ฮัวฮูหยินก็พาหลานชายไปรับประทานอาหาร จากนั้นจึงให้พ่อบ้านพาเขาไปเรือนพัก
***************
