ตอนที่4 ไม่ใช่ตัวเอก
ไม่ปล่อยให้ศศิรินทร์ได้สงสัยนานจนเกินไปทิพวรรณก็ออกมาพร้อมกับบรรดาช่างที่ถูกส่งมาดูแลเจ้าสาวโดยมีคณิตาเดินตามออกมาด้วยความไม่เข้าใจ
‘นี่มันอะไรกันคะคุณแม่ ทำไมถึงเรียกพวกช่างออกมา กี้ยังแต่งตัวไม่เสร็จเลย เดี๋ยวไม่ทันฤกษ์นะคะ’ คนจะได้เป็นเจ้าสาวหมื่นล้านถามทันทีด้วยความฉงน คุณหญิงศิกานต์ยิ้มใจเย็นก่อนจะปลายตามองเจ้าของคำถามด้วยสายตาดูแคลน
‘แต่งตัวไม่ทันฤกษ์ ก็คงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง...ไม่ใช่ตัวเอกของงานสักหน่อย’
‘อะ อะไรนะคะ ไม่ใช่ตัวเอกอะไร กี้เป็นเจ้าสาวนะคะคุณแม่’
‘เดี๋ยว ๆ เธอเข้าใจอะไรผิดแล้ว’ คนเป็นคุณหญิงร้องห้ามแล้วเมินดาราสาวหันมันสอบถามคนเป็นลูก ‘เกรซ ผู้หญิงคนนี้เขาเป็นเจ้าสาวของพี่เราเหรอ’
‘เปล่านี่คะ...ใครบอกว่าคนนี้เป็นเจ้าสาวละเนี่ย’ ภานิกาตอบอย่างฉะฉานด้วยใบหน้าตื่นตกใจแต่แอบซ่อนรอยยิ้มที่มุมปากเอาไว้ ศศิรินทร์มองน้องสาวอดีตแฟนหนุ่มที แม่ของอีกฝ่ายทีก่อนจะมองสถานการณ์ต่อเงียบ ๆ ไม่ได้เข้าไปมีบทบาทกับเรื่องที่กำลังเกิดขึ้น...เธอมาเพื่อเป็นผู้ชมละครฉากใหญ่สินะ
‘นั่นสิ ใครบอกเธอว่าพวกฉันจะยอมให้เธอมาเป็นเจ้าสาวของตากันต์’
‘อะไรนะ นี่มันอะไรกัน ก็คุณแม่...’
ไม่ทันที่คณิตาจะได้พูดอะไรต่อคุณหญิงศิกานต์ก็เบรกอีกฝ่ายเข้าอีกครั้งพร้อมกับคำพูดที่ชวนให้เจ็บแสบ ‘ฉันไม่ใช่แม่เธอ ไม่ต้องมานับญาติฉัน ฉันไม่ได้ให้ค่ากับของเล่นของลูกชาย’
‘ของเล่น?’
‘ใช่...ของเล่นของพี่กันต์’ ภานิการับไม้ต่อจากผู้เป็นแม่ทันทีในขณะที่คณิตายังคงงุนงง ทายาทสาวของบ้านพงศ์พิริยากรยิ้มเยาะก่อนจะพูดต่อ ‘นี่เธอ เธอไปเอาความมั่นหน้ามั่นโหนกมาจากไหนว่าพี่กันต์จะคว้าเอาผู้หญิงอย่างเธอมาเป็นเมียตบเมียแต่ง อย่างเธอน่ะ เขาก็แค่เล่นด้วยชั่วคราวเท่านั้นแหละ...โง่จังเลย แค่นี้ก็ไม่รู้’
‘หมอเกรซพูดถูก ฉันจะบอกอะไรเธอให้นะคณิตา ต่อให้เธอจะพยายามจนตากันต์พลาดจากหนูโซ่ ก็ไม่ได้หมายความว่าตากันต์จะคว้าผู้หญิงที่มาแบให้เอาง่าย ๆ มาเป็นคู่ชีวิตหรอกนะ ถึงจะทำผิดไปบ้างแต่ตากันต์ก็รู้...ว่าใครควรค่า ใครแค่...ของเล่น’ ประโยคที่ร้ายกาจถูกเอื้องเอ่ยออกมาทำเอาคณิตาหน้าซีดเผือดแต่นั่นก็ยังไม่จบ คุณหญิงศิกานต์ยังยกยิ้มมาดร้ายก่อนจะพูดต่ออย่างชัดถ้อยชัดคำ
‘ฉันจะพูดชัด ๆ เลยนะวันนี้เจ้าสาวของลูกชายฉัน...ไม่ใช่เธอ’
“ไม่จริง คุณกันต์จะแต่งงานกับกี้ คุณแม่ทำเรื่องพวกนี้ลับหลังคุณกันต์ใช่มั้ยคะ” คนที่วาดฝันจะเป็นสะใภ้หมื่นล้านส่ายหน้าพรืด ไม่ยอมรับในสิ่งที่ได้รับฟังราวกับคนเสียสติ ศศิรินทร์ที่เริ่มเข้าใจทุกอย่างแล้วปลายมองก่อนจะส่ายหน้าอย่างสมเพช
เหมือนมีคนจะตกจากสวรรค์ที่ปีนป่ายขึ้นไปเสียแล้วสิ
‘คุณแม่ทำลับหลังคุณกันต์แน่ ๆ กี้จะโทรไปถามคุณกันต์’
“โธ่ ยังโง่อยู่อีก จะบอกอะไรให้นะ...’ ภานิกาที่หัวเราะอย่างมีจริตพูดแล้วก็โน้มหน้าไปใกล้ ๆ หูของคณิตาก่อนจะพูดด้วยเสียงดังฟังชัด ‘พี่กันต์น่ะเป็นคนบอกคุณแม่เองว่าให้คุณแม่หาเจ้าสาวให้ พี่เขาไม่เคยบอกเลยนะว่าจะให้เธอมาเป็นเจ้าสาว’
‘ละ แล้วที่คุณแม่บอกว่างานนี้ต้องพึ่งกี้ล่ะ’
‘ก็พอดีว่าเจ้าสาวของพี่กันต์เนี่ยเขาเลือกไม่ค่อยเก่ง งานก็ยุ่งมากจนปลีกตัวมาทำอะไรพวกนี้ไม่ได้ พวกเราก็เลยหวังพึ่งให้เธอเลือกชุดแต่งงานและเลือกทุกอย่างให้ไง เจตนาเราแค่นี้ นอกนั้นเธอทึกทักไปเองจ้า’ ภานิกาตอบแล้วก็ยักไหล่ ก็นะ ทุกอย่างมันก็เป็นแผนการของเธอกับคุณแม่ที่ทำให้คนตรงหน้าเข้าใจว่าจับพี่ชายเธอได้สำเร็จ ปล่อยให้อีกฝ่ายเลือกชุดแต่งงานสวย ๆ เครื่องประดับสวย ๆ อย่างย่ามใจเพื่อรอวันกระชากให้ตื่นจากฝันจริง ๆ แต่ก็ไม่ได้พูดว่าจะให้อีกฝ่ายเป็นเจ้าสาวสักหน่อย แค่ให้เลือกชุดให้เจ้าสาวของพี่ชายที่คุณแม่ของเธอเตรียมไว้ให้เท่านั้น
ก็...ทึกทักไปเองชัด ๆ
ยิ่งได้ฟังคณิตาก็ยิ่งคล้ายจะควบคุมสติไม่อยู่ เธอส่ายหน้าไปมาอย่างคนไม่ยอมรับความจริงและพุ่งเข้าไปหาชุดเจ้าสาวที่ถูกช่างแต่งตัวถือเอาไว้ก่อนจะกระชากมากอดเอาไว้แน่น ‘ไม่ ต้องไม่ใช่แบบนี้ คิดว่าทำแบบนี้แล้วจะขัดขวางกี้ได้เหรอ ไม่มีทางหรอก ชุดนี้เป็นของกี้’
‘ก็กอดแต่ชุดไปก็แล้วกัน’ คุณหญิงศิกานต์พูดแค่นั้นบอดี้การ์ดร่างสูงใหญ่ก็โผล่เข้ามารวบร่างของคณิตาและดึงอีกฝ่ายเข้าไปภายในห้อง
‘ช่วยอยู่ในนั้นจนกว่าบ่าวสาวเขาจะเข้าหอก็แล้วกันนะคณิตา อ้อ ...จะบอกว่าชุดหรูที่เธอกอดอยู่กับงานอาฟเตอร์ปาร์ตี้ที่เธอเลือกน่ะ ลูกสะใภ้ฉันบอกว่าไม่เอา ไว้เธอไปจ่ายค่าชุดกับค่าจัดงานด้วยนะ นั่นของของเธอ’ คุณหญิงศิกานต์บอกเล่าก่อนจะยกยิ้มอย่างมาดร้าย คิดจะมาจับลูกชายของเธอ แล้วคิดว่าเธอจะยอมง่าย ๆ หรือ
ไม่มีทางซะหรอก!
‘อ้อ...เกือบลืมเรื่องสำคัญแหน่ะ’ ราวกับเพิ่งนึกเรื่องสำคัญได้คุณหญิงศิกานต์ก็หันกลับไปหาและยกยิ้มเลือดเย็นส่งให้ ‘รูปกับบรรดาเสี่ยเลี้ยงเก่า ๆ ของเธอน่ะ อยู่ในมือฉันหมดแล้ว ถ้าเธอออกจากห้องนี้ไปทำให้ลูกชายฉันเสียหายล่ะก็ ฉันจะส่งคลิปพวกนี้ให้นักข่าวทั้งหมด’
‘เลือกเอานะคณิตา จะอยู่ในห้องเงียบ ๆ แล้วยังมีที่ยืนในวงการ หรือจะออกไปทำลายตัวเอง’
รูปที่คณิตากำลังคลอเคลียอยู่กับเสี่ยใหญ่วัยกลางคนหลายต่อหลายคนถูกบอดี้การ์ดยื่นมาให้ดูทำเอาคนในภาพไม่กล้าที่จะก้าวออกจากประตูอีก แม้มันจะเป็นอดีตเมื่อนานมาแล้วแต่ถ้านักข่าวรู้ แฟนคลับได้เห็น ชีวิตในวงการของเธอพังแน่
คุณหญิงศิกานต์หัวเราะเย้ยหยันในลำคอก่อนจะหันมาหาศศิรินทร์ที่ยังคงยืนมองอยู่ตลอดเวลา ‘เข้าไปในงานดีกว่าหนูโซ่ ทางนี้ให้สองคนนี้จัดการ...แม่นี่ไม่มีทางได้สมหวังหรอก’
ศศิรินทร์มองคนที่ถูกขวางไม่ให้ออกมาจากห้องที่กำลังอยู่ในอาการคล้ายคนสติแตกก่อนจะกระตุกยิ้มน้อย ๆ ไม่ได้รู้สึกสะใจมากมายนักหรอก แต่สมเพชซะมากกว่า คุณหญิงศิกานต์เอาคืนได้แสบสันจริง ๆ เล่นเอาแม่คนฉลาดชอบแทงข้างหลังคนอื่นถึงกับสติแตกเชียว
‘เข้าใจถึงความรู้สึกตอนโดนหักหลังหรือยังล่ะ โอกาสของเธอยังไม่ถึงกับหมดหรอกนะคุกกี้ถ้าเธอไม่ทำลายตัวเองในวันนี้...’ หญิงสาวทิ้งทายก่อนจะตบไหล่เพื่อนที่ต่อจากนี้เธอไม่คิดจะสนใจอีก ‘ขอให้เธอสนุกกับการฝ่าฟันเป็นสะใภ้พงศ์พิริยากรล่ะ ฉันหวังว่าเธอจะมีความสุขมาก ๆ จนจุกอกนะเพื่อนรัก’
‘กรี๊ด!!!’
ปัจจุบัน
เสียงกรี๊ดร้องด้วยความเจ็บใจและคับแค้นของคณิตายังคงก้องอยู่ในหัวยามที่เผลอคิดไปถึงสิ่งที่ได้รู้ได้เห็นในวันนี้
ถ้าเปรียบเป็นละครเรื่องหนึ่งก็คงเป็นละครน้ำเน่าเรื่องยาวที่ยังไม่จบบริบูรณ์แต่ก็ต้องมีตัวละครใดตัวละครหนึ่งถูกขีดฆ่าออกไปจากเรื่อง เพื่อจบตอนเท่านั้น และเธอขอเป็นตัวละครที่ถูกนักเขียนขีดฆ่าออกจากเรื่องก็แล้วกัน
ละครเรื่องนี้จะยังคงดำเนินต่อไป ภานุกานต์ยังคงต้องวุ่นวายกับเรื่องของคณิตาอีกนานเพราะสาวเจ้าไม่น่าจะเป็นคนที่ยอมแพ้ง่าย ๆ
และนั่นก็คงเป็นผลของการนอกใจไม่ซื่อสัตย์ต่อกัน
ละครชีวิตเรื่องนี้จะเป็นอย่างไรต่อก็แล้วแต่บุญนำกรรมแต่งของแต่ละคนก็แล้วกัน บทบาทของเธอมันจบแล้ว...จบกันที
ศศิรินทร์ยกแก้วขึ้นดื่มอีกครั้งและบอกเล่าให้คนรอฟังอยู่ได้รับรู้ “สุดท้ายเขาก็แต่งกับคนอื่นที่เขาและครอบครัวมองว่าเหมาะสมกว่ายัยนั่น”
“มันก็สะใจนะที่ยัยนั่นไม่สมหวัง แต่ก็ไม่สุด ใจนึงฉันคิดว่าฉันรักเขามากก็เลยเสียใจ แต่อีกใจมันก็ต่อต้านว่าฉันไม่ได้พูดเพื่อให้เขาง้อ แต่ต้องการจะตัดขาดจริง ๆ ฉันรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้อยากได้เขา แต่ก็รู้สึกไม่ยินยอมที่เห็นเขายิ้มหน้าระรื่นควงคนอื่น...คุณว่าฉันผิดมั้ย” หญิงสาวบอกเล่าแล้วก็หันมาอย่างมีคำถามที่ก็รู้แก่ใจดีว่าคนนอกคงไม่สามารถให้คำตอบได้ดีเท่าเธอให้คำตอบตัวเอง
จริง ๆ แล้วความรู้สึกตอนที่เห็นเจ้าสาวคนใหม่มันเป็นอะไรที่ทำให้เธอสับสน การได้เห็นสิ่งที่คุณหญิงศิกานต์ทำกับคณิตาในวันนี้เธอควรจะโล่งใจ สบายใจที่ยัยเพื่อนทรยศไม่สมหวัง แต่เธอกลับรู้สึกน่าหงุดหงิด จะว่าเสียใจ เสียดาย หรือขัดใจดีก็ยังเรียกไม่ถูก...เหมือนมันรวม ๆ กันไปหมด
มันไม่คล้ายหวงก้าง แต่มันก็ไม่ใกล้เคียงกับคำว่ายินดี...เธอผิดหรือไม่ที่รู้สึกอย่างนั้นทั้งที่ปฏิเสธภานุกานต์ไปเอง
“ไม่ผิดหรอก”
คนทำหน้าที่รับฟังตอบก่อนจะยกมือสั่งเครื่องดื่มเพิ่มและหันกลับมาพูดต่อราวกับมองเห็นเข้าไปลึกถึงจิตใจข้างในของคนปรับทุกข์ “คุณเพียงแค่เจ็บใจที่เห็นเขาลอยหน้าลอยตายิ้มระรื่น คุณไม่แต่ง หนึ่งเพราะคุณทำใจไม่ได้ สองคุณอยากให้เขาขายหน้าให้สมกับที่ทรยศคุณ แต่เขาดันไม่ยกเลิก ซ้ำยังแต่งกันคนอื่นขายผ้าเอาหน้ารอดไปได้ คุณก็เลยเจ็บใจ...ลึก ๆ คุณก็แค่รู้สึกว่า ทำไมคนที่หักหลังคุณถึงไม่ได้รับผลอะไรทั้งที่คุณเจ็บปวด”
“เชื่อผมมั้ย คุณไม่ได้รักเขาหรอก คุณเพียงแค่ผูกพันแล้วคิดว่ามันคือความรักก็เลยอิน สมองมันเลยสั่งการว่านี่คือความเสียใจจากการเสียเขาไป ทั้งที่จริง ๆ แล้วมันเป็นแค่การเสียใจที่ถูกหักหลังจากคนที่ไว้ใจ และเจ็บใจที่คนที่ทำกับคุณยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้”
“ทำไมคิดว่าฉันไม่ได้รักเขา” ถามไปแล้วหญิงสาวก็นิ่งคิดตาม ทำไมคำพูดของผู้ชายคนนี้มันถึงได้เหมือนกับแทงใจดำกันก็ไม่รู้สิ
หรือเธอไม่ได้รักภานุกานต์จริง ๆ
ชายหนุ่มแปลกหน้าที่รับฟังหญิงสาวปรับทุกข์มานานยักไหล่เล็กน้อยก่อนจะตอบไปตามที่ตนคิด “ถ้าคุณรักเขา...คุณจะให้อภัยเขาได้แม้ว่าเขาจะทำผิดแค่ไหนก็ตาม”
“ถ้าคุณรักเขา ท่าทีของคุณต้องแย่มากกว่านี้ และคุณมีเวลาตั้งนานกว่าจะถึงวันแต่งงาน แต่คุณไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนใจ นั่นก็เพราะคุณไม่ได้รักเขาจนถึงขั้นขาดเขาไม่ได้...แต่ผมก็แค่คาดเดาเท่านั้น เราจะรู้จักว่าความรักจริง ๆ มันเป็นยังไง ก็ต่อเมื่อเราเจอคนที่เราพร้อมจะตายแทนเขาได้โน่นแหละ”
“ก็คงจะจริง” คนคิดตามพึมพำก่อนจะจมไปกับความคิดของตัวเองจนได้ข้อสรุปกับตัวเองจึงได้พูดต่อ “พอลองคิดเล่น ๆ ว่ามีคนเอาปืนมาจ่อหัวฉันกับเขา ให้ฉันเลือกว่าจะให้ใครรอด ฉันก็คงเลือกตัวเองอย่างไม่ลังเลเลย เฮ้อ...พอคิดได้แบบนี้ค่อยโล่งหน่อย”
“ใช่มั้ยละ คิดเสียว่าก็แค่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป อย่าไปคิดมากกว่านี้เลย”
“ใช่...ฉันเดินผ่านตรงนั้นมาแล้ว ฉันไม่ต้องไปคิดอะไรเกี่ยวกับจุดที่ผ่านมาแล้วอีก”
“ใช่ เขาพูดว่าอะไรนะ อืม...” เขาครุ่นคิดก่อนจะดีดนิ้วเมื่อคิดคำที่วัยรุ่นชอบพูดกันได้ “อ้อ มูฟออน มูฟออนได้แล้ว”
“อึก ใช่ ฉันต้องมูฟออนไปข้างหน้า จะรักไม่รักหรืออะไร ไม่ต้องไปสนใจ สนใจชีวิตตัวเองดีกว่า” คนคิดได้พูดแล้วก็ยกยิ้มอย่างคนตัดใจได้
จากนี้ไปก็แค่สนใจชีวิตตัวเองก็พอสินะ
คนเราคิดน่ะมันคิดง่าย แต่ทำนั้นมันยาก ศศิรินทณ์ถอนใจอีกครั้งกับความคิดที่วนเวียนมาก่อกวน “ฉันคิดว่ามูฟออนก็ดีนะ...แต่ก็ยังเจ็บใจ อยากแก้แค้นอยู่ดี...แต่ก็ไม่อยากเปลืองแรง”
รังสิมันตุ์มองใบหน้าที่ยิ่งมองก็ยิ่งแดงก่ำเพราะฤทธิ์น้ำเมาครู่นึง ก่อนจะพูดเสนอความคิดที่ตนคิดได้ในตอนนี้ “ผมมีวิธีแก้แค้นโดยไม่ต้องเปลืองแรงนะ อยากฟังมั้ย”
“ทำยังไง”
“ยิ้มให้มาก ๆ ให้เวลากับความสุขตัวเองให้เยอะ ๆ และรักตัวเองเข้าไว้ ไม่ต้องไปทำอะไรคนพวกนั้นหรอก”
“แล้วมันจะเป็นการแก้แค้นตรงไหน” รักตัวเองมันจะเป็นการแก้แค้นได้อย่างไรกัน เขาเมากว่าเธอแล้วหรือไงนะ
“สมัยนี้เขาไม่ได้วัดกันที่ชัยชนะ เขาวัดกันที่ความสุข ใครมีความสุขกว่าคนนั้นคือคนที่ชนะอย่างแท้จริง อดีตเพื่อนคนนั้นลึก ๆ เขาอิจฉาคุณ เขาเลยอยากแย่งคนของคุณและทำให้คุณทุกข์ใจ เขาเห็นคุณร้องไห้ก็คงจะมีความสุขและคิดว่าตัวเองชนะ แต่ถ้าคุณทำให้เห็นว่าเขาทำไม่สำเร็จ คุณยังมีความสุข แฮปปี้ในทุก ๆ วัน ความอิจฉาคงได้จุกอก”
พูดแค่นั้นชายหนุ่มก็ส่งยิ้มที่เต็มไปด้วยกำลังใจมาให้พร้อมกับพูดต่อ “จำไว้นะ ยิ้มเข้าไว้ แล้วทุกอย่างจะดี”
สิ่งที่ผู้ชายแปลกหน้าพูดถูกใจศศิรินทร์เป็นที่สุด และทั้งที่ไฟมีเพียงแสงสลัวทำให้มองเห็นไม่ชัดแต่เธอกลับรู้ว่าเขากำลังยิ้มมาให้อย่างอบอุ่น มันทำให้หญิงสาวตาพร่าไปครู่ใหญ่แต่แล้วหญิงสาวก็พยายามดึงสติของตัวเองเอาไว้พร้อมกับเลื่อนแก้วที่ยังเหลือน้ำสีอำพันอยู่กว่าครึ่งไปชนแก้วทันที “อึก ฟังดูดี คุณแนะนำได้ดีมาก มา ๆ ชนแก้ว ๆ”
“มา ๆ ดื่มกัน” เธอพูดแล้วก็กรอกเหหล้าลงคอราวกับน้ำเปล่าก่อนจะหันไปสั่งบาร์เทนเดอร์
ชายหนุ่มถอนใจน้อย ๆ ทั้งที่บอกให้รักตัวเองแท้ ๆ แต่คนตรงหน้าก็เหมือนจะไม่รักตัวเองเอาซะเลย พักใหญ่ ๆ แล้วที่เธอสั่งแบบออน เดอะ ร็อคเหมือนเขามาดื่ม และมันก็ทำให้เธอเมาเร็วกว่าบลู กามิกาเซ่เป็นเท่าตัว และตอนนี้ก็ดูเหมือนจะเมาจนการพูดจาไม่เหมือนเดิมแล้ว
จะไหวมั้ยเนี่ยแม่คุ๊ณ
