บท
ตั้งค่า

ตอนที่5 คุณเมามากแล้วนะ

น้ำสีอำพันเพียว ๆ มีเพียงน้ำแข็งที่เจือปนถูกเสิร์ฟมาทันใจคนสั่งทว่าไม่ทันจะได้คว้ามากรอกปากมือหยาบกร้านก็ถือวิสาสะเลื่อนมาขวางไว้เสียก่อน

“คุณเมามากแล้วนะ” เขาเตือนสั้น ๆ พร้อมกับส่ายหน้าสื่อให้รู้ว่าเธอควรจะหยุดได้แล้ว ถึงจะเสียใจหรือเจ็บใจแค่ไหนก็ตามการที่ผู้หญิงคนนึงมานั่งดื่มจนดึกดื่นแบบนี้มันไม่ใคร่ดีนัก แม้ว่าบนนี้จะเงียบ และแขกหลายคนนั่งกันแบบต่างคนต่างอยู่แต่ก็มีสายตาของพวกนักล่ามองมาที่เธอเช่นกัน  ถ้าเขาลุกออกไปเสือร้ายพวกนั้นต้องเข้ามาต้อนเหยื่ออย่างแน่นอน 

“ยังไม่เมาซ๊ากหน่อย”

“แบบนี้น่ะเรียกว่าเมาแล้ว...ผมโทรหาคนที่บ้านให้มารับดีมั้ย”

คนเมาส่ายหน้าไปมากับคำถามก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “อึก ม่ายมีหรอก ม่ายต้องโทร.”

“ไม่มี?”

“อื้อ ” เธอตอบรับสั้น ๆ ก่อนจะขยายความเมื่อสายตาคู่คมไม่ยอมละจากไปไหน “พ่อกับแม่ตายหมดแล้ว ญาติที่เรียกว่าดี ๆ ก็ม้ายมี มีน้องชายคนนึงก็เรียนอยู่ออสเตรเลียโน่นแหน่ะ มารับม้ายด้าย”

“งั้นเพื่อนล่ะ?”

คนเมาส่ายหน้าอีกครั้ง “ม่าย ฉ้านม้ายอยากให้เห็นสภาพตอนนี้”

“งั้นผมลงไปเปิดห้องให้มั้ย?”

“ม่าย ม่าย ม่ายเปิด เดี๋ยวเพื่อนเห็น” หญิงสาวพูดแล้วก็ส่ายหน้า สภาพที่ย่ำแย่แทบจะเดินไม่ตรงแบบนี้น่ะเธอไม่อยากให้เพื่อน ๆ เห็นหรอก และเจ้าของโรงแรมนี้เองก็เป็นคนนึงที่เธอไม่อยากให้เห็น

คนเสนอความคิดแทบอยากจะเกาหัว แล้วจะเอายังไงเนี่ย “โน่นก็ไม่ นี่ก็ไม่ คุณนี่ก็เป็นคนเข้าใจยากเหมือนกันนะ”

“ลองมาเป็นฉ้านสิ จาเข้าจาย”

 “เป็นได้ที่ไหนเล่า เอางี้ งั้นผมไปส่งคุณที่รถแล้วกัน ตรงนี้หลายคนมองคุณไม่น่าไว้ใจเท่าไหร่”

ทันทีที่เขาพูดจบหญิงสาวก็ยื่นหน้าาเข้ามาใกล้จนทำให้ชายหนุ่มต้องยืดคอหนีพร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงทะเล้น “คุณไว้จายด้ายเหร๊อ”

“ผมไม่มั่นใจนะ ไม่มีผู้ชายคนไหนน่าไว้ใจหรอก” รังสิมันตุ์ตอบไปตามตรงแต่แล้วหญิงสาวกลับยิ้มชอบใจ

“คุณแปลกดีนะ ม่ายมั่นจายก็บอกม่ายมั่นจาย หาม่ายค่อยได้แล้วผู้ชายแบบนี้ อึก”  หญิงสาวบอกเสียงยานคางพร้อม ๆ กับทิ้งตัวลงใส่ร่างกายแข็งแรงแทนที่จะหวาดระแวง รังสิมันตุ์ส่ายหน้าพรืดพร้อมกับพยายามยื่นหน้าออกห่าง ไม่ใช่ว่ารังเกียจเพียงแค่เห็นว่าใกล้ชิดเกินไปมันไม่ใคร่จะสมควร

“ว่าแต่ผมแปลก คุณเองก็แปลก ผมบอกว่าไม่มั่นใจ คุณก็ต้องพยายามตั้งสติสิ ไม่ใช่ล้มตัวมาพิงผมแบบนี้”

“ฉ้านไว้จายคุณ” น้ำเสียงหวานของคนเมาบอกก่อนจะกอดร่างกายแข็งแรงเอาไว้แน่นราวกับลูกน้อยอ้อนพ่อแม่อย่างไรอย่างนั้น รังสิมันตุ์หายใจเข้าสึก ๆ ควบคุมตัวเองไม่ให้สติเตลิดไปก่อนจะส่งสายตากับบาร์เทนเดอร์หนุ่มเพื่อให้คิดเงินจากนั้นจึงพยุงพาหญิงสาวที่ทำตัวเป็นลูกสาวไปยังประตูโดยไม่สนสายตาที่มองตามอย่างเสียดายของใครหลาย ๆ คน

การมีหญิงสาวติดสอยห้อยตามออกมาด้วยค่อนข้างจะทุลักทุเลเพราะสาวเจ้าเมามากแต่ก็ป่วนมากเช่นกัน เขาจะไปทางซ้าย เธอดันจะไปทางขวา เขาพาเดินหน้า เธอกลับเซถอยหลัง กว่าจะลงจากชั้นดาดฟ้ามายืนรอรถที่หน้าโรงแรมได้ก็เล่นเอาเหงื่อตก

“หยุดทามมายเหรอ” คนที่แทบจะไม่มีสติพึมพำถามเมื่อเห็นว่าคนแปลกหน้าที่คุยกันถูกคอหยุดเดินทั้งที่ก่อนนี้ยังพาเธอเดินไปเดินมาตั้งนาน

รังสิมันตุ์มองไปยังเส้นทางที่มักจะมีรถแท็กซี่ผ่านไปผ่านมาอยู่เสมอพร้อมกับตอบกลับ “ก็หาแท็กซี่น่ะสิ”

“หาทามมาย”

“ก็พาคุณไปส่งไง”

“ม่าย ๆ รถฉ้านอยู่ทางน้าน” หญิงสาวปฏิเสธพร้อมกับชี้ไปมั่ว ๆ แต่แล้วก็ต้องชะงัก “ทางหนายหว่า อะ ทางนี้ต่างหาก”

“ทางไหนก็จอดไว้อย่างนั้นแหละคุณ เมาไม่ขับ มันอันตราย” 

“แล้วรถฉ้านจะโดนคาโมยเปล่า”

“ไม่น่านะ โรงแรมหรูแบบนี้ระบบรักษาความปลอดภัยน่าจะดี” พูดจบก็หันไปเห็นรถแท็กซี่กำลังมุ่งหน้ามาพอดีชายหนุ่มจึงยื่นมือออกไปโบกรถและกลับมาประคองคนตัวเล็กกว่าเอาไว้ไม่ให้ไปเถลไถลที่ไหนซะก่อนที่รถจะจอด

ครู่เดียวรถแท็กซี่ที่เรียกก็มาจอดอยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มประคองหญิงสาวเข้าไปนั่งด้านหลัง สายตาคู่คมมองสำรวจชายคนขับแท็กซี่ก่อนที่จะเข้าไปนั่งกับหญิงสาวแทนที่จะทิ้งคนเมาให้บอกทางกลับเอง เกิดเขาปล่อยไปแล้วสาวเจ้าเจอเรื่องร้ายคงเป็นตราบาปไปตลอดชีวิต

ถึงคนขับแท็กซี่คนนี้จะดูซื่อ ๆ ไม่ได้น่าสงสัยก็เถอะ

“ไปไหนครับพี่”

“เดอะชายน์ แกรนด์ โอเรียนเต็ล” ไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้ตอบคนเมาก็ตะโกนตอบแล้วก็เอนตัวมาพิงร่างกายแข็งแรง กอดแขนเอาไว้ราวกับกอดแขนตุ๊กตา รังสิมันตุ์ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะช็อคกับการกระทำของหญิงสาวหรือว่าคำตอบของเธอกันแน่

ตอบชื่อโรงแรมไปเนี่ยนะ เดี๋ยวคนขับก็คิดว่าไปทำอะไรต่อมิอะไรกันต่อพอดี แม่คุณเอ้ย

“อ่า เดอะชายน์ แกรนด์ โอเรียนเต็ลนะครับพี่” คนขับแท็กซี่ทวนสถานที่พร้อมกับยิ้มกรุ่มกริ่ม รังสิมันตุ์มองรอยยิ้มที่โผล่ในกระจกก่อนจะถอนใจ เขาขอถอนความคิดที่คิดว่าไอ้หมอนี่หน้าตาซื่อ ๆ ไอ้นี่มันไม่ซื่อสักนิด

ดูก็รู้แล้วว่าคิดไปไกล ผับผ่าสิ

“เอ แต่เดอะชายน์อยู่ไกลเลยนา ใกล้ ๆ นี่มีโรงแรมนึงนะครับพี่ เปลี่ยนใจมั้ยครับ”

เปลี่ยนใจกับผีน่ะสิ ไอ้โรงแรมที่ว่านั่นมันม่านรูด

“เปลี่ยนใจมั้ยครับพี่ แยกข้างหน้าก็ถึงแล้วนะ” ชายคนขับแท็กซี่ที่คิดไปไกลแล้วถามย้ำอีกครั้งพร้อมกับมองมาทางกระจกด้วยสายตาที่ผู้ชายส่วนใหญ่รู้กันโดยไม่ต้องพูด

รังสิมันตุ์มองออกแต่ก็ไม่ได้เออออกับอีกฝ่าย เขาไม่ได้คิดจะทำเรื่องเกินเลยกับสาวเจ้าสักหน่อย จะเปลี่ยนใจแวะเข้าม่านรูดทำไมกัน

“ไปเดอะชายน์ แกรนด์ โอเรียนเต็ล”

“แหม่พี่ เดอะชายน์ก็เดอะชายน์ ไม่ต้องเสียงเข้มขนาดน๊าน”

ชายหนุ่มถอนใจไม่ต่อความยาวสาวความยืดปล่อยให้อีกฝ่ายขับรถไปเงียบ ๆ ทั้งที่อยากจะอธิบายเหลือเกินว่าไอ้สิ่งที่คิดกับความเป็นจริงนั้นมันไม่เหมือนกัน

แต่พอลองคิดไปแล้วก็ไม่เห็นความจำเป็นต้องอธิบาย เรื่องบางเรื่องต่อให้อธิบายจนปากฉีกถึงหูก็ใช่ว่าจะเข้าใจ จะคิดว่าเป็นการแก้ตัวไปซะเปล่า ๆ

ก็มันแปลกตั้งแต่ยืนรอรถหน้าโรงแรมเพื่อไปอีกโรงแรมแล้วแต่ไอ้คนขับมันไม่เห็นจะเอะใจ ดังนั้นพูดอะไรไปมันก็คงไม่ฟัง

แววตาอ่อนลงจากปกติหลายเท่าก้มมองคนที่กอดแขนเขาไว้และหลับไปราวกับไม่มีความกังวลใด ๆ ทั้งที่เพิ่งเจ็บช้ำใจมาแท้ ๆ แต่กลับหลับไปอย่างไม่เจ็บปวดหรือหวาดเกรงใด ๆ

ไม่กลัวถูกพาไปทำมิดีมิร้ายหรือไงกันนะ

หลายนาทีต่อมา

เดอะชายน์ แกรนด์ โอเรียนเต็ลเป็นโรงแรมระดับห้าดาวที่เรียกได้ว่าหรูเกินกว่าที่นายตำรวจเงินเดือนน้อยอย่างรังสิมันตุ์จะกล้าเหยียบย่างเข้ามาก็ว่าได้ ที่นี่หรูยิ่งกว่าโรงแรมณิวาลัยที่เป็นต้นทางของการเดินทางซะอีก ทันทีที่เข้ามาภายในโถงทางเดินของโรงแรมชายหนุ่มก็ต้องพิจารณาแล้วพิจารณาอีก เป็นคนระดับไหนกันนะ ถึงได้คิดจะพักในโรงแรมหรูระดับไฮโซแบบนี้

ส่งไว้แค่นี้ดีมั้ยเนี่ย ที่นี่มันช่างไม่เข้ากับเขาเอาซะเลย...

แต่ถ้าปล่อยไว้แล้วมีใครมาพาไปทำเรื่องไม่ดีล่ะ...

แบบนั้นไม่ดีแน่...

ขณะที่กำลังคิดไม่ตกคนที่ชายหนุ่มเป็นกังวลถึงก็ลืมตาขึ้นมามองทั้งที่ยังไม่ส่างดีและพึมพำถาม “งืม...ที่หนายเนี่ย”

“เดอะชายน์ แกรนด์ โอเรียนเต็ลไง”

“เหรอ...งืม ขี่หลังหน่อย” คนเมาตอบอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะพยายามปีนป่ายขึ้นหลังอีกฝ่าย รังสิมันตุ์ร้องเสียงหลงแต่สุดท้ายก็ยอมให้สาวเจ้าขี่หลังและเดินเข้าไปในโรงแรมอย่างเสียมิได้

ก็เล่นล็อคไว้แบบนี้จะทิ้งไว้ก็คงไม่ได้

เอาวะ กระเป๋าฉีกก็ต้องยอมแล้วล่ะ

“ปายที่ลิฟต์ ทางน้าน” คนที่เริ่มส่างบ้างแล้วแต่ก็ยังไม่ถึงกับประคองสติได้ดีพึมพำก่อนจะชี้ไปที่ลิฟต์อย่างคนรู้จักมักคุ้นกับสถานที่เป็นอย่างดี

สิ่งที่ชายหนุ่มรู้คือที่นี่คือโรงแรมหรูราคาระดับไฮโซ แต่สิ่งที่ไม่รู้ก็คือคนที่ขี่หลังอยู่ก็คือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของโรงแรมแห่งนี้ที่มักจะใช้ในการถ่ายละครและจัดงานแถลงข่าวเปิดตัวละครของบริษัทที่ร่วมมือกับสถานีโทรทัศน์ช่องดังที่อยู่ในย่านเดียวกัน ที่นี่ศศิรินทร์มีห้องสำหรับพักอยู่แล้วโดยที่ไม่ต้องเปิดห้องให้เสียเวลา

ทั้งที่ไม่รู้อะไรแต่ชายหนุ่มก็ทำตามอย่างว่าง่ายเพราะคนเมาไม่เพียงแค่ชี้ไปที่ลิฟต์ยังคงดึงคอเขาให้หันไปทางนั้นแทนที่จะตรงไปยังเคาน์เตอร์ ขืนไม่ไปตามสาวเจ้าบอกเห็นทีได้ตายเพราะหายใจไม่ออก

เข้ามาภายในลิฟต์ไม่ทันจะสอบถามใด ๆ หญิงสาวก็กดเลือกชั้นซะแล้วและก็ดิ้นลงจากหลังมาคุ้ย เอ้ย ค้นหาของในกระเป๋าโดยที่เขาได้แต่มองด้วยความไม่เข้าใจ

จะบอกว่ามีห้องอยู่แล้วอย่างนั้นหรือ?

และแล้วเขาก็ได้คำตอบเมื่อคีย์การ์ดแผ่นสีทองบ่งบอกระดับวีไอพีถูกหยิบขึ้นมาด้วยใบหน้าภาคภูมิใจเป็นที่สุด

“ในที่สุดก็เจอ คิกคิก”

ได้เห็นคนเมายิ้มภูมิใจกับเรื่องเล็ก ๆ และได้เห็นใบหน้าของหญิงสาวชัด ๆ เต็ม ๆ ตาชายหนุ่มก็ชะงักนิ่งไปราวกับถูกสาป โลกทั้งใบราวกับถูกหยุดเวลาไว้ชั่วขณะ

ความรู้สึกที่จางหายไปหลายปีก็ค่อย ๆ กลับมาอีกครั้งพร้อมกับชื่อของใครคนนึงจะชัดเจนขึ้นในใจ

ซอโซ่?

ชายหนุ่มขมวดคิ้วเป็นปมครู่นึงก่อนจะเปลี่ยนเป็นส่ายหน้า...ไม่ดีแล้วสิ ขืนไม่แยกตัวไปตอนนี้ไม่ดีแน่

ทำไมถึงมาเจอกันในสภาพนี้นะ

เราควรเจอกันในสถานการณ์ที่ดีกว่านี้...ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงจะดี

ชายหนุ่มมองท่าทีของหญิงสาวอีกครั้งอย่างไม่วางตา ภาวนาอยากให้เวลาที่อยู่ในลิฟต์มันนานสักชั่วโมงสองชั่วโมงเพื่อที่จะได้พิจารณาเธอชัด ๆ ทว่าความคิดเพ้อเจ้อก็ถูกขัดขวางด้วยเสียงสัญญาณแจ้งเตือนของลิฟต์ที่ดังขึ้นในชั่วพริบตาต่อมา

ติ่ง!

ถึงชั้นที่ต้องการแล้ว และก็ถึงเลาที่ต้องแยกจาก เขามองใบหน้าแดงระเรื่อเพราะฤทธิ์น้ำเมาก่อนจะตัดใจ

“ผมส่งคุณตรงนี้นะ”

“อืม” คนเมาตอบรับแล้วก็ก้าวเดินออกจากลิฟต์ ทว่าแค่ก้าวแรกก็เซจนเสียหลักซะแล้ว ท่อนแขนแข็งแรงรีบยื่นไปรับไว้ก่อนที่คนเมาจะได้ลงไปกองกับพื้น เพียงชั่ววินาทีนั้นความรู้สึกราวกับโลกทั้งใบหยุดอยู่ตรงนั้นก็เกิดขึ้นกับทั้งเขาและเธอ

ศศิรินทร์แทบลืมหายใจเมื่อถูกโอบเอวเอาไว้ ความอบอุ่นราวกับแสงแดดในเช้าที่อากาศกำลังพอดีทำให้หญิงสาวแทนจะคิดอะไรไม่ออก สติสตังค์ที่ไม่เต็มร้อยยังคงไม่เต็มร้อยอยู่เช่นเดิม

ติ่ง!

แล้วเสียงแจ้งเตือนของลิตฟ์ก็ดังขึ้นอีกครั้งเรียกสติให้คนทั้งคู่ให้กลับมา...แม้ว่าจะยังไม่เต็มร้อยเพราะฤทธิ์ของน้ำสีอำพันก็ตาม

“เอ่อ...ให้ไปส่งที่ห้องมั้ย?”

“แหะ ๆ” เธอไม่ตอบ ทำเพียงหัวเราะแห้ง ๆ และยื่นแขนมาคล้องคอชายหนุ่มเอาไว้และบอกเล่าออกไป “เดินไม่หวาย”

ตอนแรกชายหนุ่มคิดลังเลว่าจะไปส่งให้ถึงห้องดีหรือเปล่าหรือว่าควรแยกไปดี แต่แล้วก็ต้องลบความคิดที่จะแยกกลับเมื่อการกระทำและคำพูดของคนเมาไม่ได้มีท่าทีจะให้เขาแยกไปเลย

ผับผ่าสิ ไม่รักษาเนื้อรักษาตัวเอาซะเลย

ไว้ใจอะไรเขาขนาดนั้นกัน...เขายังไม่ไว้ใจตัวเองเลย

นายตำรวจหนุ่มถอนหายใจอย่างคนหมดหนทางก่อนจะช้อนอุ้มคนเมาก้าวออกจากลิฟต์ ก้าวเดินไปจนถึงประตูห้องที่มีหมายเลขอยู่บนคีย์การ์ด เขาเปลี่ยนจากการอุ้มมาเป็นวางหญิงสาวให้ลงยืนและใช้คีย์การ์ดเปิดประตูห้องให้ก่อนจะหันกลับมามองคนที่อาศัยลำตัวซีกซ้ายของเขาเป็นหลักพิงกาย

รังสิมันตุ์สูงถึงหนึ่งร้อยแปดสิบหกเซนติเมตรผู้หญิงหลายคนเมื่อยืนเทียบก็สูงไม่ถึงไหล่ของเขาทว่าเธอคนนี้กลับมีส่วนสูงที่เทียบเท่ากับนักกีฬาทำให้เมื่อหันมอง ใบหน้าแดงระเรื่อของเธออยู่ใกล้แค่คืบมินำซ้ำดวงตาคู่นั้นยังจ้องมองมาที่เขาไม่ยอมละไปไหน

ดวงตาสองคู่สบประสานกันในจังหวะที่ต่างฝ่ายก็ต่างมอง วินาทีนั้นราวกับทุกอย่างบนโลกหายไปจากความคิดอีกครั้ง มีเพียงห้วงความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย

นิ้วเรียวสวยยื่นขึ้นมาสัมผัสริมฝีปากหยักเข้ารูปที่ก่อนหน้านี้เคยยิ้มส่งกำลังใจให้เธอแต่เธอมองเห็นได้ไม่ชัดพลางลูบไล้เคล้าคลึงริมฝีปากนุ่มแต่อุ่นร้อนราวกับพบเจอของเล่น

ทำไมริมฝีปากสวยจัง...

เห็นแล้วอยาก...จูบจังเลยแฮะ

ไม่คิดเปล่าสองแขนยังยื่นขึ้นไปประคองใบหน้าคมให้โน้มลงมาก่อนจะยื่นเรียวปากจิ้มลิ้มไปทาบทับจูบดั่งที่ใจคิด

รังสิมันตุ์ชะงักนิ่งทว่าเพียงไม่กี่อึดใจก็เปลี่ยนเป็นฝ่ายประกบจูบราวกับกำลังละเลียดชิมของหวาน อ่อนโยน แผ่วเบาแต่ก็แฝงไปด้วยความร้อนแรง

ความนุ่มนุ่มจากริมฝีปากสีสวยกำลังทำให้รังสิมันตุ์ควบคุมตัวเองไม่ได้ เขารีบถอนจูบในทันทีเมื่อขบคิดขึ้นได้ถึงความไม่ถูกไม่ควร

“ผมต้องกลับแล้ว ลากะ...”

 

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel