ตอนที่ 14
“คิม คิม คิม!”
“หือ?” คิมหันต์สะดุ้งกับเสียงเรียกชื่อตนเอง พร้อมกับมองหน้าคนที่เรียกเขา
“เหม่ออะไรน่ะ? ฉันเรียกตั้งนานแล้วนะ” ออยเฟ่ย์มีสีหน้าบึ้งตึงเมื่อรู้ว่าชายหนุ่มไม่ได้ตั้งใจฟังสิ่งที่เธอพูดเลยแม้แต่น้อย
“เปล่านี่ ว่าแต่เธอพูดเรื่องอะไรนะ” คิมหันต์ปฏิเสธเสียงเรียบ
“เชอะ! ไม่พูดด้วยแล้ว”
ออยเฟ่ย์สะบัดเสียงใส่คิมหันต์พร้อมกับหยิบกระเป๋านักเรียนและลุกขึ้นจากโต๊ะในร้านซิลเวียร์ ร้านขายไอศกรีมชื่อดังของย่านนั้น และเดินออกจากร้านไปอย่างรวดเร็ว
ชายหนุ่มส่ายหน้าพร้อมกับรีบลุกขึ้น ไปจ่ายเงินที่เค้าท์เตอร์ และออกจากร้านไปโดยไม่รอเงินทอน พร้อมกับวิ่งตามออยเฟ่ย์ด้วยความเร็ว
“เดี๋ยวสิ ออยเฟ่ย์!”
ชายหนุ่มวิ่งตามหญิงสาวมาทัน คว้าแขนของเธอเอาไว้ แต่ทว่าออยเฟ่ย์สะบัดแขนออก คิมหันต์จึงทิ้งเป้สะพายลงกับพื้นและรวบตัวหญิงสาวเข้ามาไว้ในอ้อมกอด พร้อมทั้งหันหน้าของเธอให้มาเผชิญหน้ากับเขา
“งอนมากนัก เดี๋ยวไม่สวยหรอก” คิมหันต์แซวออยเฟ่ย์ที่หน้าตาบูดบึ้งด้วยความไม่พอใจและดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดของเขา
“ฮึ”
ออยเฟ่ย์สะบัดหน้าไปทางอื่นอย่างเง้างอนและไม่ยอมพูดกับชายหนุ่ม คิมหันต์อมยิ้มอย่างเอ็นดูกับท่าทางของหญิงสาว
“ไม่ยอมคุยด้วยใช่มั้ย?”
คิมหันต์ยิ้มกรุ้มกริ่มพร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มออยเฟ่ย์อย่างรวดเร็ว ทำให้หญิงสาวตกใจและหันหน้ามาทางเขา
ชายหนุ่มถือโอกาสฉวยจูบเข้าที่ริมฝีปากบางเฉียบของเธอทันที หญิงสาวดิ้นขลุกขลักอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยอมโอนอ่อนผ่อนตามให้เขาจูบเธอได้ตามใจชอบ
“จะคุยกับฉันได้รึยัง?”
คิมหันต์ถอนจูบออกมาพร้อมกับยิ้มให้กับออยเฟ่ย์ที่หน้าแดงระเรื่อด้วยความเขินอายอยู่ในอ้อมกอดของเขา
“ตาบ้า” ออยเฟ่ย์ก้มหน้าบ่นอุบอิบพร้อมกับทุบเบาๆ ที่หน้าอกของชายหนุ่มแก้เขิน
“ฮึฮึ หรือว่าไม่ยอมคุยด้วยอีก?”
คิมหันต์หัวเราะเบาๆ พร้อมกับถามหญิงสาวออกมาและอมยิ้มกรุ้มกริ่ม
“คุยย่ะ” หญิงสาวรีบบอกทันทีเพราะกลัวว่าจะมีใครเดินผ่านมาเห็น
“เอ้า ว่ามาสิ งอนฉันเรื่องอะไรน่ะ”
คิมหันต์ปล่อยตัวออยเฟ่ย์ออกจากอ้อมกอด และเก็บเป้สะพายของเขาขึ้นมาสะพายไว้บนไหล่ แต่ยังคงจับมือออยเฟ่ย์เอาไว้ และจูงมือเดินไปเรื่อยๆ ตามข้างทาง
“หมู่นี้เธอใจลอยไม่ค่อยฟังที่ฉันพูดเอาเสียเลย มัวแต่คิดถึงใครอยู่งั้นเหรอ”
ออยเฟ่ย์ตัดพ้อชายหนุ่มอย่างน้อยใจ เพราะตั้งแต่งานกีฬาสีจบ คิมหันต์ดูเหมือนเปลี่ยนแปลงไป จากปกติมักตั้งใจฟังสิ่งที่เธอพูดเสมอ แต่พักหลังดูเขาเหม่อลอย และครุ่นคิดถึงเรื่องอะไรบางอย่างตลอดเวลา จนแทบไม่สนใจฟังคำพูดของเธอเลย
คิมหันต์อึ้งไปกับสิ่งที่ออยเฟ่ย์พูด เพราะเขารู้สึกตัวเหมือนกันว่า หมู่นี้ เขามักครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องของมิยาเกะ เซร่าที่ป่วยเป็นโรคหัวใจบ่อยเกินไป จนแทบไม่ได้สนใจสิ่งรอบตัวเลย
ชายหนุ่มสลัดหัวไล่ความคิดเล็กน้อย ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นหญิงสาวจ้องมองเขาอย่างคาดคั้น
“บ้าน่ะ คิดมากไปแล้วยัยซุ่มซ่าม” คิมหันต์เอานิ้วชี้จิ้มไปที่หน้าผากของหญิงสาวเบาๆ พร้อมกับหัวเราะกลบเกลื่อน
“คิม”
“หืม?”
ออยเฟ่ย์หยุดเดินพร้อมกับจ้องมองคิมหันต์ด้วยสายตาจริงจัง
“เหตุผลที่ฉันเข้าเรียนที่นี่เธอก็รู้ดีอยู่แล้ว ฉันเสียคนที่ฉันคิดว่า……..จะเป็นกำลังใจให้กับฉันไปแล้วคนนึง ฉันหวังว่า ฉันคงไม่เสียเธอไปอีกคนหรอกนะ ใช่มั้ย คิม?”
ออยเฟ่ย์ถามคิมหันต์ด้วยแววตาจริงจัง ความรู้สึกเจ็บปวดของการเสียเหมันต์ไปนั้น ยังคงอยู่ภายในใจของเธอตลอดเวลา หากต้องเสียคิมหันต์ไปอีกคน เธอคงทนไม่ได้แน่
คิมหันต์นิ่งอึ้งไป เขาเข้าใจดีว่าเธอต้องการพูดอะไร
“ต่อให้เกิดอะไรขึ้นก็ตาม ฉันจะอยู่เคียงข้างเธอเสมอ” คิมหันต์ยืนยันกับออยเฟ่ย์ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แววตาจริงจัง
“จริงนะ!”
ออยเฟ่ย์ยิ้มออกมาอย่างดีใจพร้อมกับโผเข้ากอดชายหนุ่มด้วยความลืมตัว ก่อนจะผละออกมาเมื่อนึกขึ้นได้ และเกาแก้มเล็กน้อยความเขิน
ชายหนุ่มมองท่าทางที่น่ารักของหญิงสาวอย่างเอ็นดู เขาจับมือเธอแน่นขึ้นและเดินต่อไปเพื่อตรงกลับบ้าน
ภายในห้องนั่งเล่นที่โอ่โถง บนผนังมีภาพของจิตกรชื่อดังของฝรั่งเศสแขวนเอาไว้เรียงรายอย่างเป็นระเบียบ รวมไปถึงเขากวางและเขาสัตว์มากมายแขวนเรียงรายเอาไว้ใกล้เคียงกัน บ่งบอกถึงรสนิยมของผู้อยู่อาศัยได้เป็นอย่างดี
โซฟาภายในห้องมีร่างของชายวัยกลางคนกำลังนั่งไขว่ห้าง มือด้านขวาถือซิการ์ที่จุดแล้วเอาไว้ 1 มวน ส่วนมือด้านซ้ายที่ถือแก้วเชมเปญเอาไว้กำลังเขย่าแก้ววนไปมาเบาๆ
สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความครุ่นคิด ถัดไปเล็กน้อยมีชายหน้าตาฉกรรจ์ใส่สูทสีดำยืนสงบนิ่งอยู่ตรงมุมห้องเยื้องไป
ตู๊ด ~~ ตู๊ด ~~
“สวัสดีครับ”
ชายใส่สูทสีดำรับโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ และพูดจาอยู่ซักครู่หนึ่ง โดยมีสายตาของชายวัยกลางคนที่จ้องมองราวกับสิงโตกำลังจะตะครุบเหยื่อ
ชายใส่สูทสีดำปิดโทรศัพท์มือถือลงเมื่อจบการสนทนา และเดินตรงมายังชายวัยกลางคน
“ว่าไง สมิธ” ชายวัยกลางคนถามชายใส่สูทราวกับรู้ว่า
“ชาร์ลบอกว่า จะลงมือในช่วงงานพิธีครับท่าน”
ชายนามว่า “สมิธ” สมุนมือขวาของเขารายงานสั้นๆ แต่ก็เพียงพอแล้ว ชายวัยกลางคนมีสีหน้าพึงพอใจอย่างมาก
“ดีมาก คราวนี้ล่ะ จะได้รู้ว่าระหว่างบริษัทกับลูกชายคนสำคัญของมัน อะไรจะสำคัญกว่ากัน ฮ่า ฮ่า”
ชายวัยกลางคนหัวเราะออกมาอย่างสะใจหลังจากที่ได้รับรู้ว่าแผนการของเขากำลังดำเนินไปได้ด้วยดี
