ตอนที่สอง จะออกไปอีกแล้วหรือ
ตอนที่สอง
จะออกไปอีกแล้วหรือ
ซูลี่เจินเป็นถึงบุตรสาวแม่ทัพใหญ่ จึงถูกเลี้ยงและเติบโตคล้ายเด็กชายคนหนึ่ง หากมิใช่ว่ามีใบหน้างดงามเรือนร่างเย้ายวน
เมื่อเริ่มแตกเนื้อสาวจึงโดนจับให้แยกจากเพื่อนสนิทหลายคนแล้วส่งไปฝึกการเป็นกุลสตรีกับญาติฝ่ายมารดาที่ต่างเมือง
ด้วยนิสัยโผงผางตรงไปตรงมาอีกทั้งโดนเอาใจจนเคย เมื่อฝึกฝนได้ไม่กี่ปี ซูลี่เจินจึงหนีกลับมาที่จวนแม่ทัพพร้อมยืนยันเสียงแข็งที่จะไม่กลับไป
“หากเจ้ายังเป็นเช่นนี้ แล้วพ่อจะเบาใจได้อย่างไรเล่า เจินเอ๋อร์ เจ้าเป็นสตรี วันวันเอาแต่ขลุกอยู่กับชายหนุ่มมากหน้าหลายตา ไม่ทำตัวอ่อนหวานดั่งสตรีในห้องหอ อีกหน่อยจะมีชายใดมาสู่ขอไปเป็นภรรยา พ่อเองไม่มีเวลาดูแลเจ้า หวังเพียงให้ได้แต่งงานมีครอบครัวที่ดี”
ซูไท่ลี่พร่ำบ่นด้วยความห่วงใย
แม้จะไม่เห็นด้วยที่ต้องพึ่งพาสามี แต่เพื่อให้บิดาไม่บังคับเคี่ยวเข็ญนาง เมื่อเฉิงฮุ่ยออดอ้อนบอกว่าชื่นชอบและขอนางแต่งงาน หญิงสาวจึงไม่คิดให้มากตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
บุรุษผู้มีหน้าตาดี มีการค้าใหญ่โต อีกทั้งไม่มีพ่อแม่สามีให้ยุ่งยาก จะมัวรอช้าอยู่ได้อย่างไร ในเมื่อมีโอกาสย่อมต้องคว้าเอาไว้
แม้นางจะไม่ได้ชอบเฉิงฮุ่ยอย่างเช่นชายหนุ่มหญิงสาว แต่พวกเขาเคยเล่นด้วยกันมาตั้งหลายปี ความสนิทสนมนี้ทำให้อยู่ร่วมกันได้ไม่ยาก
หลังจากแต่งงาน ซูลี่เจินพยายามทำตัวอ่อนหวานว่าง่ายอย่างที่ญาติฝ่ายมารดาเคยสั่งสอน ไม่ออกฤทธิ์เดชหรือขัดขวางการค้าของเขาเพื่อสามารถใช้ชีวิตร่วมกันอย่างราบรื่นแม้จะฝืนใจไปบ้าง
อย่างเช่นการร่วมรักเมื่อครู่
สามีของนางเอาแต่โหมแรงตะบึงตะบันจนตนเองเสร็จสมอยู่ฝ่ายเดียวแล้วปล่อยนางทิ้งค้างเอาไว้กลางทาง
แม้จะไม่ชอบใจ แต่หญิงสาวไม่กล้าออกอาการด้วยไม่อยากทะเลาะเบาะแว้งให้บิดาห่วงกังวล
ช่างเถอะ คืนนี้ค่อยให้เขาแก้ตัวอีกคราก็แล้วกัน
ภรรยาสาวสั่งโรงครัวเตรียมอาหารตามหน้าที่แล้วนั่งรอสามีกับเพื่อนซึ่งคุ้นหน้าคุ้นตาให้มาร่วมวงอาหารโดยพยายามไม่คิดมาก
“พวกเจ้าแต่งงานกันมาเป็นปีแล้ว ยังไม่มีวี่แววตั้งครรภ์อีกหรือ” หลินคุนเอ่ยสิ่งซึ่งนางถูกทักถามทุกวันจนซูลี่เจินทำสีหน้าเบื่อหน่าย
“อาคุน เจ้าอย่ากดดันน้องเจินเจิน เรื่องเช่นนี้ใช่ว่าจะเสกขึ้นมาได้ดั่งใจนึก” หลี่ฉางชุนแก้ตัวแทนจนหญิงสาวเพียงคนเดียวบนโต๊ะหันไปยิ้มขอบคุณ
พวกเขาทั้งสองเป็นลูกน้องของบิดาจึงเรียกนางว่า ‘น้องเจินเจิน’ตั้งแต่สมัยอยู่ที่จวนแม่ทัพแล้ว
“ว่าแต่ ช่วงนี้น้องเจินเจินดูเหมือนซูบผอมลง” รองแม่ทัพหนุ่มสังเกตเห็นด้วยเมื่อครู่ร่างเปลือยของนาง เอวช่างคอดกิ่วจนเกรงว่าหากเฉิงฮุ่ยบีบแรงกว่านี้คงแทบหัก
“นั่นสิ เจ้าอย่าได้มัวรออาฮุ่ย ควรกินให้ครบมื้อ หาอาหารบำรุงมากินบ้าง” หลินคุนพยักหน้าเห็นด้วย เมื่อครู่ทรวงอวบอิ่มของหญิงสาวแลดูเล็กลงไปเล็กน้อย
สายตาของสองหนุ่มต่างจับจ้องทรวดทรงของนางจนซูลี่เจินรู้สึกผิดแปลก
วันนี้พวกเขาเป็นอันใด เหตุใดต้องมายุ่งเรื่องอาหารการกินของนาง
นางหรือจะผอม เพียงลดอาหารด้วยเกรงว่าจะอ้วนเกินไปต่างหาก
“เอาเถอะ พวกเราอย่าได้เสียเวลาเลย ไปคุยเรื่องเสบียงข้าวสารต่อเถอะ อีกสองชั่วยามข้าก็ต้องออกเดินทางต่อแล้ว” เฉิงฮุ่ยพุ่ยข้าวหมดชามแล้ววางตะเกียบลงก่อนผู้อื่น
“หา!...ท่านพี่เพิ่งกลับมา จะออกไปอีกแล้วหรือ”
ซูลี่เจินแทบตวาดด้วยความไม่พอใจ แต่ยังระงับไว้ทันจึงเหลือเพียงเสียงดังเล็กน้อย
“ใช่ อาเจิน ช่วงนี้ข้าวเปลือกไม่เพียงพอ พี่ต้องออกไปหาจากต่างเมืองเข้ามาเพิ่ม คงไม่อาจค้างคืนได้ เจ้าเข้าไปช่วยจัดเตรียมข้าวของให้พี่ด้วย” เฉิงฮุ่ยค้าข้าวสารกับอาหารแห้งส่งให้กองทัพและขุนนางหลายฝ่ายจึงต้องหาข้าวของมาตุนไว้ให้เพียงพอ
สามหนุ่มเดินออกไปโดยทิ้งให้หญิงสาวยืนนิ่งด้วยน้ำตาคลอเบ้า แม้เหตุผลของสามีจะรับฟังได้ แต่ในใจของสาวน้อยย่อมอดน้อยใจมิได้
นางแต่งงานเพื่อมาโดยทิ้งเอาไว้เช่นนี้เองหรือ
