ตอนที่สอง จะออกไปอีกแล้วหรือ2
ตอนที่สอง จะออกไปอีกแล้วหรือ
แม้บิดาจะมีตำแหน่งแม่ทัพ แต่เขาไม่เคยทอดทิ้งนางให้ว้าเหว่ มักหาเวลากลับมาดูแลเอาใจใส่นางเสมอ
แต่งงานมาอยู่จวนเฉิงเกือบปี แม้จะสุขสบายมีกินมีใช้ไม่ขาดแคลน มีฐานะนายหญิงสกุลเฉิงให้เรียกขาน
แต่...เดือนหนึ่งสามีของนางเคยอยู่บ้านให้ได้พบหน้าสักกี่วันเชียว
เรื่องนั้นยังไม่สำคัญเท่ากับ...เรื่องบนเตียง
หลังจากเดือนแรกซึ่งเฉิงฮุ่ยคึกคักโจมตีหลั่งน้ำใส่นางไม่ขาดทุกคืน จากนั้นเขาก็ค่อยๆห่างหายจนเดี๋ยวนี้ หากพบหน้ากันอย่างมากก็เพียงคราเดียวเท่านั้น
แล้วบางครายังปล่อยนางทิ้งค้างไว้กลางทางอย่างเช่นวันนี้
แล้วนางจะตั้งครรภ์มีทายาทสกุลเฉิงเมื่อใดกัน
ซูลี่เจินพยายามสงบสติอารมณ์ก่อนจะคิดปลอบใจตนเอง
ช่างเถอะ นางต้องการสามีเพียงเพื่อไม่ให้ท่านพ่อกังวลใจ ไม่ได้ต้องการให้เขาปกป้องคุ้มครองสักหน่อย
ในเมื่อยังอยู่อย่างสุขสบายก็ไม่ควรหาเรื่อง
ส่วนเรื่องนั้น ไม่มีก็ไม่ตาย มิใช่หรือ
ซูลี่เจินทำใจจัดของให้สามีอย่างเรียบร้อยแล้วออกมายืนส่งเขาขึ้นรถม้าด้วยท่าทีอาลัยอาวรณ์ประหนึ่งภรรยาผู้แสนดี
คืนนี้หญิงสาวใช้เวลาตรวจสอบรายการบัญชีของจวนจนค่ำมืด สกุลเฉิงสายหลักแม้มีเพียงเฉิงฮุ่ยสืบทอดแต่สายรองยังมีอีกหลายคนที่ต้องดูแล
ซูลี่เจินยืดเหยียดแขนด้วยความเมื่อยขบก่อนจะเตรียมตัวเข้านอนด้วยความง่วงงุน
“น้องเจินเจิน”
จู่ๆเสียงคุ้นเคยก็ดังขึ้นพร้อมร่างของสองเพื่อนสามีซึ่งเพิ่งจากไปเมื่อบ่าย
เสี่ยวชิง สาวใช้คนสนิทของนางปราดเข้ามายืนประกบนายหญิงเพื่อไม่ให้เป็นที่ครหา
“มีเรื่องใดหรือ เหตุใดมาค่ำมืดเช่นนี้ หากจะหาท่านพี่ เขาออกไปตั้งแต่บ่ายแล้ว” หญิงสาวเดินออกมาหน้าประตูเพื่อพูดคุย
“พวกเราย่อมรู้แล้วว่าอาฮุ่ยไม่อยู่ อีกทั้งรู้ด้วยว่าเขาอยู่ที่ใด จึงได้เร่งรีบมาพาเจ้าไปให้เห็นกับตา”
“หมายความว่าอย่างไร เอ่ยมาให้ชัดเจน” ซูลี่เจินแสดงนิสัยบุตรสาวแม่ทัพผู้เฉียบขาดออกมาทันที
“น้องเจินเจิน เจ้าใจเย็นก่อน พวกเราบังเอิญไปรู้เห็นเรื่องหนึ่งมา แต่ไม่อยากบอกด้วยปากเกรงว่าเจ้าจะไม่เชื่อ จึงอยากให้เจ้าได้เห็นด้วยตาตนเอง”
“แล้วเหตุใดต้องไปตอนนี้ นี่มันดึกดื่นแล้ว”
“นั่นด้วยหากไม่ใช่ยามนี้ก็ไม่อาจจับได้คาหนังคาเขาน่ะสิ”
เพียงคำนี้ จิตใจของซูลี่เจินจึงร้อนรุ่มเต็มไปด้วยลางสังหรณ์ หญิงสาวตัดสินใจกลับเข้าไปแต่งกายรัดกุมสั่งกำชับสาวใช้ให้ปิดปากเงียบแล้วตามสองหนุ่มไปโดยเร็วด้วยความไว้วางใจ
ความจริงซูลี่เจินรู้จักกับหลี่ฉางชุนก่อนเป็นคนแรก ยามนั้นนางมีอายุเพียง9ขวบปีกำลังฝึกขี่ม้าอยู่ที่หลังจวน มิคาดม้ากลับพยศจนเกือบหล่น โชคดีที่ได้เด็กหนุ่มมาช่วยเหลือจึงไม่เจ็บตัว
หลังจากนั้นหลี่ฉางชุนจึงเข้านอกออกในจวนแม่ทัพด้วยความชื่นชอบการเป็นทหาร อีกทั้งยังพาเพื่อนร่วมสำนักศึกษาเข้ามาเล่นกับซูลี่เจินอันได้แก่เฉิงฮุ่ย หลินคุน และอีกสองสามคน
ความสนิทสนมของหญิงสาวกับเด็กหนุ่มทั้งหลายจึงนับว่าไม่มากไม่น้อยไปกว่ากัน ผิดแต่ว่าเฉิงฮุ่ยและหลินคุนช่างเจรจา ส่วนหลี่ฉางชุนมักนิ่งเงียบ
กระทั่งซูลี่เจินถูกส่งไปต่างเมือง พวกเขาจึงแยกย้ายกันเติบโตไปตามเส้นทาง หลี่ฉางชุนและหลินคุนเข้าทำงานในกองทัพ ส่วนเฉิงฮุ่ยสืบทอดการค้าของตนเอง
ทันทีที่ซูลี่เจินกลับมา หลี่ฉางชุนในฐานะซึ่งใกล้ชิดที่สุดกลับมัวแต่คอยท่าด้วยอยากให้เวลาหญิงสาวได้ใช้ชีวิต
มิคาดว่านั่นกลับเปิดโอกาสให้เฉิงฮุ่ยใช้คำหวานล่อลวงจนหญิงสาวตกปากรับคำแต่งงาน
สองหนุ่มหนึ่งสาวซึ่งเคยเป็นเพื่อนเล่นกันมาขี่ม้าออกไปทางทิศตะวันออกเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็พบชุมชนเล็กๆแห่งหนึ่ง
ชายหนุ่มทั้งสองซึ่งนับว่าเป็นเพื่อนสามีของนางมาก่อนชี้นิ้วไปทางบ้านหลังเล็กซึ่งยังคงมีแสงเทียนวับแวมแสดงว่าคนข้างในยังไม่นอน
