บทที่ 5
หลายวันมานี้ท่าทีของอัลเฟรโด้ดูผ่อนคลายขึ้นกว่าเดิมมาก หลังจากที่กลับจากไปพบโซเฟียตามคำขอของมารดา และปฏิเสธการแต่งงานด้วยการขอเลื่อนเวลาออกไปอย่างไม่มีกำหนด นางอนงค์รัตน์เงียบหายไม่มีการถามข่าวคราวใดๆ ทั้งสิ้น ทำให้เข้าใจได้ว่าเรื่องการแต่งงานยุติลงแล้ว หรือไม่มารดาสุดที่รักอาจเบนเข็มไปที่เป้าหมายพี่น้องคนอื่นก็เป็นได้
"ไม่ใช่ครับ เมื่อกี้คนจากทางคฤหาสน์โทรศัพท์มาแจ้งผมว่า มาดามป่วยหนักมากไม่ยอมไปหาหมอไม่กินอะไรทั้งนั้น ใครบอกอะไรก็ไม่ยอมฟังเอาแต่ร้องไห้อย่างเดียว"
"อะไรนะ" หัวใจของท่านประธานหนุ่มวูบลงไปอยู่ที่ตาตุ่มทันทีที่รู้ข่าวว่า นางอนงค์รัตน์ป่วยทั้งที่เมื่อไม่กี่วันมานี้ มารดายังไม่มีทีท่าว่าจะเป็นอะไรเลยสักหน่อย
"ทางโน้นบอกว่ามาดาม เอ่อ มาดามเริ่มไม่สบายตั้งแต่วันที่ เอ่อ วันที่คุณอัลเฟรโด้ขับรถไปส่งที่บ้านครับ" ผู้ช่วยคนเก่งถ่ายทอดคำบอกเล่าจากคนที่ส่งข่าวอย่าง
"เตรียมรถ ฉันจะกลับบ้าน" อัลเฟรโด้อยู่เฉยไม่ได้แล้ว ตัดสินใจทิ้งทุกอย่างเพื่อจะกลับไปพบหน้ามารดาที่ล้มป่วยลงกระทันหันด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความห่วงใยเต็มเปี่ยม
"ครับ" คริสเตียนรับคำแล้วรีบไปทำตามคำสั่งทันที
อัลเฟรโด้กดโทรศัพท์หาพี่น้องคนอื่น เพื่อถามอาการป่วยของมารดาว่ามีสาเหตุมาจากเรื่องใด และได้พาไปหาหมอแล้วหรือยัง แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีใครรับสาย ทำให้เขาต้องรีบเดินทางไปดูให้เห็นกับตาว่ามารดาเป็นอย่างไรกันแน่
คฤหาสน์รอสเซลลินี
รถคันหรูยังไม่ทันจอดนิ่งสนิท ร่างสูงโปร่งในชุดสูทราคาแพงก็ก้าวลงมาแล้วรีบตรงขึ้นไปยังห้องนอนของมาดามรอสเซลลินีโดยเร็ว ทันทีที่เห็นสีหน้าซีดเซียวของมารดานอนเหม่อลอยอยู่บนเตียงนอนเพียงลำพัง หัวใจของอัลเฟรโด้ก็มีเหมือนมีใครเอามีดมากรีดให้เจ็บปวดแทบทนไม่ได้
"แม่ครับ" ลูกชายคนเล็กสุดของบ้านถลาลงไปที่ข้างเตียง กอดนางอนงค์รัตน์ไว้แน่นด้วยความรัก
"อัล..." เสียงเรียกแผ่วเบาที่ไร้เรี่ยวแรงของมารดา ทำให้อัลเฟรโด้ยิ่งกอดนางแน่นขึ้นไปอีก
"แม่เป็นอะไรครับ ทำไมไม่ไปหาหมอ แล้วคุณพ่อล่ะครับ คุณพ่อไปไหน ทำไมไม่มีใครอยู่กับแม่เลย" อัลเฟรโด้แปลกใจเหลือเกินที่ไม่เห็นบิดาอยู่เคียงข้างมารดาเหมือนเคย ตั้งแต่จำความได้เขาไม่เคยเห็นท่านทั้งสองอยู่ห่างกันโดยไม่จำเป็นเลยสักครั้ง
"คุณพ่อออกไปธุระจ้ะ อัลหิวหรือเปล่า เดี๋ยวแม่ไปหาอะไรให้กินดีไหม" นางพยายามลุกจากเตียงนอนแต่ชายหนุ่มรีบห้ามไว้
"ผมไม่หิว แม่กินอะไรหรือยังครัย นมอุ่นๆ สักแก้วไหมครับ เดี๋ยวผมไปจัดการให้" อัลเฟรโด้ตั้งท่าจะลุกไปแต่นางอนงค์รัตน์ห้ามไว้
"ไม่เป็นไรจ้ะ แม่ไม่หิว ว่าแต่วันนี้ไม่ยุ่งเหรอถึงได้มาหาแม่ได้" หญิงวัยกลางคนส่งเสียงไอเบาๆ ติดกันสองสามครั้ง
"แม่ไปหาหมอหรือยังครับ แล้วหมอว่าเป็นไงบ้าง" ชายหนุ่มถามด้วยความห่วงใย
"แม่ไม่เป็นไรมาก พักสักสองสามวันก็หาย"
"นี่ยังไม่มีใครพาแม่ไปหาหมออีกเหรอครับ ถ้างั้นผมพาแม่ไปเองดีกว่าหรือจะเรียกให้หมอมาตรวจที่นี่ดีไหม แม่ไม่สบายมากเลยนะครับ" สีหน้าท่านประธานหนุ่มเคร่งเครียดมากขึ้น เมื่อรู้ว่ามารดายังไม่ได้พบหมอเพื่อตรวจดูว่าป่วยเป็นอะไรกันแน่
"แม่ไม่เป็นอะไรหรอกจ้ะ แม่เป็นอะไรไม่ได้ แม่ต้องอยู่ปกป้องลูกๆ ของแม่ก่อน เพียงแต่..." นางไอติดๆ กันอีกสองสามครั้งแล้วพูดต่อว่า
"แค่กลัวว่าจะไม่ได้อยู่ถึงวันนั้น"
"แม่" อัลเฟรโด้แทบไม่อยากได้ยินคำนี้เลยแม้แต่น้อย
"การพลัดพรากเป็นเรื่องจริงตามธรรมชาติตามที่พระท่านว่า เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อไม่มีละเว้นแต่แม่ไม่อยากให้มันเกิดกับคนที่แม่รัก กับลูกของแม่ทุกคน" นางอนงค์รัตน์พูดไปน้ำตาก็ไหลไปอย่างน่าสงสาร
"แม่" ท่านประธานหนุ่มน้ำตาคลออย่างห้ามไม่ได้ เขาไม่อยากเห็นมารดาเป็นเช่นนี้เลย ไม่อยากเห็นความทุกข์ใดๆ เกิดขึ้นกับนางอนงค์รัตน์แม้แต่น้อย
"ผมรักแม่นะครับ พวกเราทุกคนรักแม่"
"จ้ะ แม่ก็รักลูก แม่จะปกป้องลูกทุกคนจากทุกๆ อันตราย จะไม่ยอมให้เคราะห์ร้ายหรือใครมาทำอันตรายลูกแม้ได้แม้แต่ปลายเล็บ แม่จะ..." เสียงไอที่ดังขึ้นติดๆ กันทำให้อัลเฟรโด้ต้องโผเข้ากอดมารดาไว้ การเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนของนางอนงค์รัตน์ทำให้ท่านประธานหนุ่มใจเสีย
"ผมอยากให้แม่ไปหาหมอ" ลูกชายคนเล็กเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนต่อไปว่า
"ผมจะหาหมอที่ดีที่สุด ที่เก่งที่สุดมารักษาแม่"
"ไม่มีประโยชน์หรอกจ้ะ อัล หมอที่ไหนก็รักษาแม่ไม่หาย แต่แม่จะไม่ยอมเป็นอะไรทั้งนั้น แม่จะอยู่คอยดูแลลูกๆ ทุกคน"
"บอกผมได้ไหมครับ แม่ทุกข์ใจเรื่องอะไรหรือว่าใครทำให้แม่ไม่สบายใจ หรือว่า..."
"ไม่มีใครทำอะไรแม่หรอกลูก" น้ำเสียงหญิงวัยกลางคนสั่นเครือเล็กน้อย แก้มอิ่มมีหยดน้ำตาพรั่งพรูอีกครั้ง
"แต่แม่กลัว อัล แม่กลัวเหลือเกิน แม่นอนไม่หลับเพราะแม่ฝันร้าย" อนงค์รัตน์สะอื้นตัวสั่นในอ้อมกอดของลูกชายคนเล็ก
"แค่ฝันครับแม่ ไม่มีใครทำอะไรพวกเราได้ แม่สบายใจเถอะ" อัลเฟรโด้พอจะเดาถึงสาเหตุของการเจ็บป่วยอย่างกระทันหันของมารดาแล้ว
คำทำนายของหลวงตาคงมีผลกับครอบครัวเขายิ่งนัก โดยเฉพาะกับมารดาสุดที่รักด้วยแล้ว คำพูดเหล่านั้นเปรียบเสมือนการชี้ชะตาทางเดินให้กับทุกคน อัลเฟรโด้รู้ดีว่ายาตัวใดหรือหมอที่เก่งแค่ไหน ก็คงไม่อาจบรรเทาการเจ็บป่วยครั้งนี้ของนางอนงค์รัตน์ได้แน่
"มันไม่ใช่ความฝันลูก แต่มันเป็นความจริงทุกอย่างเป็นจริง แม่จะไม่ยอมให้ใครมาทำอะไรลูกของแม่ แม่จะปกป้องจนกว่า จนกว่าแม่จะไม่อาจปกป้องลูกได้" น้ำตาแห่งความรักบนใบหน้าของหญิงวัยกลางคน ทำให้หัวใจของท่านประธานหนุ่มซาบซึ้งและสงสารจับใจ
"ให้แม่ตายเสียดีกว่าเห็นลูกของแม่คนใดคนหนึ่งเป็นอันตราย ถ้าใครจะโชคร้ายเป็นอะไรก็ตามแต่ แม่จะขอเป็นผู้รับเคราะห์นั้นไว้เสียเอง แม่ยินดีเจ็บ ยินดีตายแทนเพื่อลูกของแม่" น้ำตาของคนเป็นแม่พรั่งพรูไม่ขาดสาย หัวใจของอัลเฟรโด้ปวดร้าวเหลือเกิน จะทำอย่างไรถึงจะทำให้ความทุกข์ในหัวใจของแม่หมดไปเสียที
เขาไม่อยากเห็นแม่ร้องไห้ ไม่อยากเห็นแม่เป็นทุกข์ ไม่อยากเห็นแม่ไม่มีความสุข อยากให้แม่มีแต่รอยยิ้ม อยากให้ทุกวันของแม่มีแต่ความสุข อยากให้หัวใจแม่สดชื่นและมีชีวิตชีวาเหมือนดั่งเดิมอีกครั้ง เพราะนั่นหมายถึงหัวใจของอัลเฟรโด้ด้วยเช่นกัน แม่มีความสุขลูกชายอย่างเขาก็มีความสุขด้วยเช่นกัน แม่มีความทุกข์หัวใจของอัลเฟรโด้ก็ทุกข์ไม่แพ้กัน
อัลเฟรโด้รู้ว่านางอนงค์รัตน์เชื่อในคำนายนี้ และเพียรพยายามหาทางออกให้กับลูกๆ ทุกคน เป้าหมายแรกพุ่งตรงมาที่เขา ด้วยกับพยายามจับคู่ให้กับคุณหนูคนสวยแห่งเบลลูชชี่ แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ง่ายอย่างที่คิด และนี่คงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มารดาสุดที่รักล้มป่วยกระทันหัน
ท่านประธานหนุ่มคิดว่าคงต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้นางอนงค์รัตน์รู้สึกดีขึ้น จึงตัดสินใจปลีกตัวออกมาต่อสายโทรศัพท์ถึงพี่ๆ น้องๆ และบิดา เพื่อหวังจะช่วยกันคิดหาทางออกแต่ไม่มีใครรับสายนี้เลย หัวใจอัลเฟรโด้ร้อนรุ่มยิ่งนัก ควรทำอย่างไรกับเรื่องนี้ดี เขาไม่อยากเห็นน้ำตาและความทุกข์ใจของมารดาอีกต่อไปแล้ว
"เมื่อกี้หนูโซเฟียโทรศัพท์มาหาแม่" นางอนงค์รัตน์เอ่ยเมื่ออัลเฟรโด้กลับเข้ามาหาอีกครั้ง
"โซเฟียว่าไงครับ"
ให้ตายเถอะ หัวใจเขาไม่เคยรู้สึกสับสนหรือตัดสินใจอะไรยากเช่นนี้มาก่อนเลยในชีวิต ใจหนึ่งก็รักแม่ ไม่อยากเห็นนางอนงค์รัตน์เป็นแบบนี้ แต่อีกใจก็คิดถึงชีวิตที่เหลือต่อจากนี้ไปของตัวเอง ถ้าเขาจะมีผู้หญิงอีกคนมาเคียงข้างกายไปตลอดชีวิต นึกภาพไม่ออกจริงๆ ว่าการมีใครสักคนร่วมชีวิตด้วยมันเป็นเช่นไร
การแต่งงานไม่ใช่เรื่องเล็ก ไม่ใช่แค่การบริหารโรงแรมนับร้อยสาขาที่อยู่ในการดูแลของเขา มันไม่ใช่แค่การเข้าพิธีสาบานรักต่อหน้าคนนับร้อยนับพันที่มาเป็นแขก แต่มันคือ... คืออะไรอัลเฟรโด้เองก็ไม่รู้ รู้แค่ว่าการแต่งงานคือการจำกัดอิสระของชีวิต คือบ่วงที่ผูกตนกับผู้หญิงเพียงคนเดียวไปชั่วชีวิต
สำหรับโซเฟีย ผู้หญิงที่แม่เลือกให้เป็นเจ้าสาวของเขา เธอคือผู้หญิงที่สวย ชาติตระกูลดีและแน่นอนว่ามารดาสุดที่รักปรารถนาจะได้มาเป็นสะใภ้ ทว่าอัลเฟรโด้กลับรู้สึกว่า เห็นโซเฟียทีไรเหมือนเห็นลอร่า ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะคุณหนูโซเฟีย ลอร่ารวมทั้งเขา เคยเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่สมัยเด็ก ก่อนจะแยกย้ายกันไปตามหาความฝันของแต่ละคนตามประสา
