บทที่ 2
งานอีกชิ้นที่อัลเฟรโด้ตั้งใจว่าจะมาช่วยให้ชีวิตของตนวุ่นวายมากขึ้นไปอีก นั่นก็คือการเข้าไปซื้อทีมฟุตบอลสโมสรหนึ่งมาบริหาร ซึ่งกีฬาชนิดนี้เป็นความชื่นชอบส่วนตัวของเขา และใฝ่ฝันมาโดยตลอดว่าจะเป็นผู้บริหารทีมฟุตบอลที่คว้าชัยในการแข่งขันระดับประเทศให้ได้
"ไม่ใช่เรื่องนี้ครับ ทางสโมสรยินดีมากที่คุณอัลเฟรโด้จะเข้าไปสนับสนุนอย่างเป็นทางการ เพียงแต่ว่า เอ่อ..." คริสเตียนก้มหน้าอีกแล้ว
"มีอะไรก็ว่ามา อย่าอ้ำอึ้ง"
"เพียงแต่ว่ามาดามสั่งระงับโปรเจคนี้ ถ้าคุณอัลเฟรโด้ไม่ตอบตกลงให้แน่ชัดว่าจะไปพบคุณโซเฟียวันไหนครับ"
"อะไรนะ" อัลเฟรโด้อุทานด้วยความตกใจเมื่อได้ยินว่า โปรเจคใหม่ของตนถูกมารดาบังเกิดเกล้าระงับคำสั่ง ให้ตายเหอะ แม่นะแม่ รู้เรื่องนี้เข้าให้จนได้
ในหัวสมองของอัลเฟรโด้คิดวางแผนทันที เขารู้ทันเกมที่นางอนงค์รัตน์กำลังกระทำว่ามาจากสาเหตุใด มารดาสุดที่รักรู้เรื่องที่ใช้เงินส่วนตัวซื้อทีมฟุตบอลมาบริหาร ซ้ำยังมาเหนือเมฆกว่าด้วยการใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างในการทำตามประสงค์ด้วย เห็นทีว่าจะต้องรีบจัดการอะไรสักอย่างแล้ว ก่อนที่ทุกอย่างในชีวิตจะถูกนางสิงห์แห่งรอสเซลลินียึดครองหมด
"นอกจากนี้ มาดามยังบอกอีกว่ากำลังจะเดินทางมาที่นี่ และสั่งให้คุณอัลเฟรโด้ห้ามไปไหน ให้อยู่รอเจอก่อนถ้าหากว่ายังอยากเป็นประธานสโมสรทีมฟุตบอลเนเปิ้ลอยู่"
"อะไรนะ" อัลเฟรโด้ตกตะลึงเป็นครั้งที่สอง
นี่เขาคิดช้าไปหรือนี่ หรือว่ามารดาตลบหลังกลับได้เร็วกว่ากันแน่ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่อัลเฟรโด้ต้องคิดอีกต่อไปแล้ว เพราะเวลานี้นางสิงห์แห่งรอสเซลลินีปรากฏตัวขึ้นที่หน้าห้องทำงานของท่านประธานหนุ่มเรียบร้อยแล้ว และเมื่อบอร์ดี้การ์ดที่อยู่หน้าห้องเปิดประตูให้นางก้าวเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มแสนหวาน ที่ทำให้อัลเฟรโด้เย็นวาบไปทั่วแผ่นหลังด้วยความตกใจ
"ว่าไงจ้ะ ท่านประธานแกรนด์รอสเซล คุณอัลเฟรโด้ รอสเซลลินี"
"แม่"
หญิงวัยกลางคนซึ่งยังคงเค้าความงามไม่เปลี่ยนแปลง คือสุภาพสตรีเพียงหนึ่งเดียวในโลกที่กุมหัวใจของอัลเฟรโด้ และกุมหัวใจของทุกคนในตระกูลรอสเซลลินีไว้ทั้งหมด ตระกูลมาเฟียอันดับหนึ่งแห่งเมืองนาโปลี ซึ่งทรงอิทธิพลและเป็นที่เกรงขามของทุกคนมาอย่างยาวนาน ใครจะรู้บ้างว่าเบื้องหลังแล้วสตรีนางนี้คือผู้ชี้เป็นชี้ตายของทุกคนในครอบครัว
ธุรกิจที่ครอบครัวรอสเซลลินีครอบครองเจริญก้าวหน้า และมีผลกำไรมหาศาล ถึงแม้ว่าจะก้าวขึ้นมาผงาดในฐานะมาเฟียก็ตามแต่ แต่มาเฟียตระกูลนี้ยึดถือความซื่อสัตย์และจริงใจในการทำธุรกิจ จึงเป็นที่ยอมรับและได้รับความเชื่อถือจากผู้คนมากหน้าหลายตา ที่สำคัญธุรกิจของพวกเขาคือสีขาวที่ถูกต้องการกฎหมายและศีลธรรม นอกจากนี้ในบางโอกาสยังคืนกำไรสู่สังคมอีกด้วย
"แม่จะมาทำไมไม่บอกผมก่อนล่วงหน้า ผมจะได้..." อัลเฟรโด้รีบลุกขึ้นไปรับหน้านางสิงห์แห่งรอสเซลลินีที่เพิ่งเดินทางมาถึง การปรากฎตัวของมารดาไม่ใช่เรื่องปกติแต่และเขาก็พอจะเดาสาเหตุที่ทำให้นางอนงค์รัตน์ต้องมาด้วยตัวเองได้ไม่ยาก
"จะได้หนีแม่ไปตรวจงานที่อื่นใช่ไหมจ้ะ" อนงค์รัตน์ยิ้มหวานดักทางหนีทีไล่ของลูกชายสุดที่รักไว้ได้ โดยที่เจ้าตัวทำได้แค่ยิ้มหวานประจบแล้วก้มลงหอมแก้มมารดาฟอดใหญ่ แล้วประคองนางไปนั่งลงที่โซฟามุมห้อง ซึ่งสามารถมองเห็นทัศนียภาพที่งดงามของเมืองได้
"มาเหนื่อยๆ อยากดื่มอะไรไหมครับ วันนี้เรามีน้ำผลไม้สูตรพิเศษที่กำลังเป็นที่นิยมของแขกที่มาพัก แม่จะรับสักแก้วไหมครับ"
เขารู้ แค่เห็นสายตาที่จ้องมองมาด้วยความรักของนางอนงค์รัตน์แล้ว อัลเฟรโด้ก็เสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันที นี่พี่ชายและน้องสาวของเขาอยู่ที่ไหนกันบ้าง และมีใครที่มารดาสุดที่รักแวะเวียนไปหาบ้างแล้วหรือเปล่า หรือมีใครที่ยอมทำตามใจแม่บังเกิดเกล้าแล้วบ้าง
ไม่ต้องถามอัลเฟรโด้ก็พอเดาได้ไม่ยากว่า นาทีนี้คงไม่มีใครกลับบ้าน จูเซปเป้ รอสเซลลินี พี่ชายสุดที่รักก็คงวุ่นวายอยู่กับการดูแลกิจการเรือเดินสมุทรทุกประเภทจนไม่มีเวลากลับบ้าน ส่วนน้องสาวคนเล็กสุดรายนั้นยิ่งไม่ต้องพูด ลอร่าเป็นสาวน้อยอ่อนหวานน่าเอ็นดูที่ใครอยู่ใกล้ต่างก็พากันหลงรัก แต่รับรองว่าเรื่องนี้เธอจะเป็นคนสุดท้ายที่ถูกมารดาจับคู่ และก็ไม่ต้องสงสัยอีกว่า ทายาทสาวคนสุดท้ายจะไม่มีวันยอมให้เกิดการคลุมถุงชนง่ายๆ แน่
ส่วนเขาน่ะเหรอ อัลเฟรโด้เริ่มรู้ตัวแล้วว่าคิดช้าเกินไป เพราะมัวแต่วุ่นวายกับงานในโรงแรมจนแทบไม่มีสมองคิดเรื่องอื่น นอกจากนั้นก็เรื่องกิจการใหม่ที่มาจากความชอบส่วนตัว ถึงความสนใจและเวลาที่เหลือจากงานโรงแรมไปจนหมดสิ้น เรียกว่าลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท และเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าควรคิดหาทางหลบหลีกป้องกันตัวเองให้พ้นจากความปรารถนาที่เป็นไปไม่ได้ของมารดาเสีย แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะสายไปจริงๆ
"อัลจ๋า ลูกรู้ใช่ไหมว่าแม่กินไม่ได้นอนไม่หลับเลย นับตั้งแต่วันรู้ว่าลูกของแม่กำลังมีเคราะห์ ลูกรู้ไหม แม่กลัวมากแค่ไหน กลัวว่าลูกของแม่จะโชคร้าย กลัวทุกอย่าง กลัวว่าครอบครัวเรา..." นางอนงค์รัตน์เริ่มเรื่องสำคัญอย่างไม่รีรอ
นางปล่อยให้ลูกทุกคนได้มีเวลาไปครุ่นคิดถึงเรื่องที่บอกไป และผลตอบรับที่ได้ก็คือการหายหน้าไปอย่างพร้อมเพรียงกันของทุกคน ดังนั้นเพื่อไม่ให้เรื่องนี้เนิ่นนานจนแก้ไขอะไรไม่ได้ และเพื่อไม่ให้ลูกคนใดคนหนึ่งต้องถูกเคราะห์ร้ายนี้แผ้วพาน นางจึงตัดสินใจแล้วว่าจะต้องกางปีกปกป้องลูกๆ ทุกคนให้รอดพ้นจากโชคร้ายครั้งนี้
ด้วยวิธีที่เชื่อว่าจะสามารถผ่านเคราะห์และสิ่งไม่ดีคราวนี้ไปได้ด้วยการแต่งงาน และคนแรกที่นางสิงห์แห่งรอสเซลลินีหมายมั่นปั้นมือที่จะทำให้เข้ารูปเข้ารอยโดยเร็ว ก็คือลูกชายคนเล็กที่ดูจะพูดง่ายและเชื่อฟังแม่มากที่สุดคนนี้
"เชื่อผมซิว่าเราทุกคนจะต้องปลอดภัย แม่เป็นคนสอนเองไม่ใช่เหรอว่าทำดีก็ต้องได้ดี ทุกวันนี้ครอบครัวเราไม่ได้ทำอะไรในทางเสื่อมเสียหรือทำให้ใครเดือดร้อนไม่ใช่เหรอครับ ผมว่าแม่ทำใจให้สบายและยิ้มหวานๆ ให้พวกเราเห็นบ่อยๆ จะดีกว่า" อัลเฟรโด้ปลอบขวัญมารดาด้วยน้ำเสียงที่แสนอ่อนโยน
"แต่ว่าอัลจ้ะ แม่กลัวจริงๆนะ" สีหน้านางอนงค์รัตน์หวั่นวิตกกัลเรื่องนี้อย่างเห็นได้ชัด
แม้สิ่งที่อัลเฟรโด้พูดจะเป็นเรื่องจริงแค่ไหน ว่าครอบครัวของนางไม่เคยทำความเดือดร้อนให้ใครหน้าไหนต้องทุกข์ใจ และเชื่อในเรื่องการทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วมาโดยตลอดก็ตามแต่ กระนั้นนางก็อดที่จะคิดคำนึงถึงฝันร้ายและคำทำนายที่เป็นทางออกเพื่อให้เกิดความสบายใจนั้นไม่ได้
ถ้าฝันร้ายไม่ใช่เรื่องจริง ไม่มีลูกคนใดที่จะมีเรื่องร้ายแรงในชีวิต จะว่าไปการแต่งงานก็เป็นสิ่งที่สมควรแก่เวลาแล้วไม่ใช่หรือ ในเมื่อทุกคนมีหน้าที่การงานมั่นคงและรับผิดชอบได้เป็นอย่างดี ก็เหมาะสมที่จะสร้างครอบครัวกับผู้หญิงดีๆ สักคนเพื่อมีหลานน้อยๆ มาให้นางและสามีได้ชื่นใจ
จะด้วยเหตุผลใดๆ ก็ช่างเถอะ นางอนงค์รัตน์คิดเพียงแค่ว่า การแต่งงานจะทำให้ลูกๆ พ้นเคราะห์ และสิ่งที่ได้เป็นของแถมนั่นก็คือศรีสะใภ้และเขยขวัญที่น่ารัก รวมไปถึงชีวิตน้อยๆ ที่จะลืมตามาดูโลกในอีกไม่ช้า
"หลวงตาไม่เคยทำนายอะไรพลาด ลูกจำได้ไหมตอนที่ลูกห้าขวบแม่กับพ่อพาลูกไปกราบหลวงตาครั้งแรก ท่านบอกมาว่าลูกจะมีน้องซึ่งตอนนั้นพ่อกับแม่ยังคิดกันอยู่เลยว่า หรือเราจะรับเด็กมาอุปการะสักคนเพื่อให้ลูกมีเพื่อน แต่สุดท้ายลอร่าก็กลายมาเป็นน้องสุดท้องของบ้านเรา" นางอนงค์รัตน์เท้าความในอดีต และเอ่ยต่อไปอีกว่า
"แล้วยังจะเรื่องของจูเซปเป้อีก ลูกรู้ไหมใจแม่แทบจะขาดเมื่อรู้ข่าวว่าลูกชายตัวเองถูกลอบทำร้าย คำทำนายของหลางตาไม่เคยพลาด แล้วแบบนี้จะให้แม่วางใจนอนหลับได้อย่างไร"
"แต่ว่าแม่ครับ เรื่องพี่เซปเป้เกิดจากความเข้าใจผิด อีกอย่างผู้หญิงคนนั้นก็ยืนยันว่าเข้าใจผิด ไม่มีอะไรน่ากลัวเลยสักนิด" ท่านประธานหนุ่มปลอบใจ
เมื่อสองสัปดาห์ก่อนที่พี่ชายคนโตของบ้าน ขอใช้สถานที่ในโรงแรมเรียกประชุมทีมงานทั้งหมดเกี่ยวกับเรื่องการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการบริหาร เพื่อให้เหมาะกับสภาพเศรษฐกิจในยุคปัจจุบัน
