บทที่ 4 ทางเดินที่เต็มไปด้วยเปลวไฟ
บทที่ 4 ทางเดินที่เต็มไปด้วยเปลวไฟ
ในที่สุด…วันแต่งงานก็มาถึง
“ท่านพ่อ ลูกขอลา”
เสียงของซูถานอิงเบา แต่หนักแน่นจนคนเป็นพ่ออดไม่ได้ที่จะกำมือแน่น
“พ่อให้คนมีฝีมือติดตามเจ้าไปห่าง ๆ…เพื่อความปลอดภัย”
เขาวางมือลงบนบ่าเล็ก ๆ ของบุตรสาวสายตาฉายแววกังวลที่ไม่เคยแสดงออกมาก่อน
“เหตุใดเจ้าคะ”
“โจวอวี้เหยียนไม่ได้มารับเจ้าเอง พ่อกลัวจะมีเรื่องไม่ดีระหว่างทาง”
น้ำเสียงนั้นสั่นพร่าผิดจากบุคลิกแข็งแกร่งที่นางคุ้นเคย
“ขอให้เจ้ามีชีวิตที่ดี โชคดี…ลูกพ่อ”
ถานอิงก้าวขึ้นเกี้ยวอย่างสงบ แต่ในอกกลับคล้ายมีเงาหนักทับอยู่
ขบวนแห่เจ้าสาวเดินออกจากจวนโดยไร้เงาของเจ้าบ่าว ไม่มีแม้แต่เงาอวี้เหยียนอยู่ ณ ประตูเมือง มีเพียงแม่สื่อและขบวนที่ถูกจัดไว้ตามธรรมเนียม…แห้งแล้งและว่างเปล่า
‘นี่สินะ คำว่าไม่ยินดีต้อนรับ’
นางกำเสื้อคลุมของตนเองแน่น ก่อนพึมพำเบา ๆ
“ในเมื่อตั้งใจจะทำเช่นนี้ ข้าก็จะเป็นภรรยาอย่างที่พวกเจ้าต้องการ…”
นางเคยได้ยินว่าเจ้าสาวที่ถูกคลุมถุงชนอาจอยู่ในจวนอย่างไร้หัวใจ บางคนยังโชคดีพอที่จะขอหย่าได้ แต่สำหรับนาง…ไม่มีแม้แต่ทางเลือกนั้น
“ข้าเห็นหน้านางตอนจะขึ้นเกี้ยว”
เสียงพูดคุยจากสาวใช้ที่เดินประกบเกี้ยวดังเข้าหูชัดเจน
“งามหรือไม่”
“ก็ใช้ได้…แต่ไม่ถึงกับเลิศล้ำอะไร ยังห่างไกลคำว่าเทพธิดา”
“แต่นางงามขนาดทำให้คุณชายใหญ่ต้องสิ้นเลยนะ ข้าได้ยินมาว่าเพราะนาง”
“ข้าก็ได้ยินเช่นกัน ดูสิ…ทั้งที่ทำเรื่องร้ายแรงขนาดนั้น ยังยืดอกขึ้นเกี้ยวหน้าชื่นตาบาน หน้าไม่อายจริง ๆ”
ซูถานอิงเม้มริมฝีปากแน่นแรกทีเดียว…นางนึกว่าพวกนั้นพูดกันโดยไม่รู้ว่านางได้ยินแต่ฟังจากจังหวะเสียง เห็นได้ชัดว่าจงใจ
มือเรียวซีดขาวกำแน่นจนสั่น แต่ใบหน้ายังสงบ ราวกับปราศจากความรู้สึกใดเพียงแค่เงียบ…เท่านั้น
“ปากพวกนั้นมันหยาบจริง ๆ คุณหนู ให้ข้าจัดการเถอะเจ้าค่ะ” ซินหลัวพูดลอดไรฟัน ดวงตาเป็นประกายกรุ่นโกรธ
“ไม่ต้องเสียเวลากับพวกนางหรอก”เสียงจากในเกี้ยวดังออกมาอย่างสงบ แต่มากพอจะทำให้สาวใช้สองคนนั้นชะงัก
พวกนางเป็นคนที่ฮูหยินผู้เฒ่าส่งมากำราบสะใภ้ใหม่ กลับโดนสั่งเมินเช่นนี้หนึ่งในนั้นเย้ยหยันเสียงเบา
“ทำเป็นวางอำนาจ…รอดูเถอะ อีกไม่นานนางจะรู้ว่าไม่มีอะไรให้ใช้อีก”
ขบวนเจ้าสาวเข้าสู่เมืองเหยียน
ประชาชนเรียงแถวแน่นขนัดตั้งแต่หน้าประตูเมือง ขบวนแห่เจ้าสาวถูกต้อนรับตามธรรมเนียมแต่ทันทีที่มาถึงหน้าจวน…ลางไม่ดีบางอย่างก็แล่นวาบในใจของถานอิง
การตกแต่งดูเหมาะสมตามพิธีมงคลแต่กลับรู้สึกเหมือนบรรยากาศแฝงกลิ่นคาวอาฆาต
เสียงฆ้องกลองดังแว่วจากปลายหุบเขา ขบวนแห่เจ้าสาวจากเมืองต้าหยางค่อย ๆ เคลื่อนผ่านถนนหลวงสายยาวเข้าสู่ประตูเมืองเหยียน
เกี้ยวสีชาดสลับทองที่ปักลวดลายมังกรเมฆล่องลอยกลางสายหมอก เหมือนเงาของอดีตที่ไม่มีวันลบเลือน
เขายืนอยู่บนหอสูงของกำแพงเมือง
สายตาคมกริบเงียบงันดุจใบมีด มองขบวนเกี้ยวที่ค่อย ๆ เคลื่อนตัวเข้าใกล้
เมื่อเกี้ยวเจ้าสาวพ้นจากประตูเมืองเข้าสู่เขตจวนนั่นหมายถึง
จากนี้ไปคือคุก คุกที่ไม่มีลูกกรงไม่มีโซ่ตรวน แต่จะจองจำนางไปจนสิ้นลมหายใจ
นางคือคู่หมั้นของพี่ชายเขา ผู้หญิงเพียงคนเดียวที่พี่ชายเขายอมทำทุกอย่างให้
แม้กระทั่งมอบชีวิตเพื่อของขวัญวันเกิดให้นาง แต่นางตอบแทนด้วยอะไร ด้วยคำหวานหู เสน่ห์ที่ทำให้ผู้ชายคลั่งไคล้จนมองไม่เห็นทางตายของตนเอง
ด้วยรอยยิ้มที่มองไม่ออกว่าจริงหรือปลอมและด้วยน้ำตาที่เขาไม่เคยแน่ใจว่าไหลออกมาเพราะเจ็บปวด…หรือเพื่อหลอกลวง
ความสัมพันธ์ของทั้งสองเมืองควรจะสิ้นสุดลงตั้งแต่วันนั้น
วันที่เขากลับมาจากป่าเพียงลำพัง
วันที่ผ้าคลุมหนังเสือเปื้อนเลือดถูกวางไว้ตรงหน้าหญิงสาวผู้ไม่แม้แต่จะเอ่ยขอโทษ
แต่ไม่…
คำสัญญาทางการเมืองแน่นแฟ้นเกินกว่าจะตัดขาด บิดาของเขายอมเสียลูกชายคนโต
แต่ไม่ยอมเสีย พันธมิตร
และเมื่อไม่มีเจ้าบ่าว…เขาน้องชายผู้หลงเหลืออยู่ จึงถูกดันขึ้นแท่นแทน แทนผู้ตาย แทนผู้รัก แทนผู้โง่เขลาที่สละทุกอย่างให้นาง
เขาสวมชุดเจ้าบ่าวสีแดงเข้มเหมือนโลหิต แฝงความขึงขังแทนความยินดีทุกย่างก้าวที่เดินไปยังเรือนเจ้าสาวคือการลากโซ่ตรวนของตัวเอง
เขาไม่ได้มาเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่
เขามาเพื่อชำระแค้น
เขาเกลียดนาง
เกลียดตั้งแต่วันที่เห็นแววตาอ่อนโยนนั้นยิ้มให้ผ้าคลุมเสือ เกลียดแม้แต่น้ำเสียงที่เรียกชื่อพี่ชายเขาเป็นครั้งสุดท้าย และเกลียดที่หัวใจของเขาในบางชั่ววูบ กลับสั่นไหวเพียงแค่เห็นนางยืนอยู่กลางสายลม
