บทที่ 3 ไม่มีหนทางให้หันหลัง
บทที่ 3 ไม่มีหนทางให้หันหลัง
“ท่านพ่อรู้ใช่ไหม ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ซูถานอิงเอ่ยเสียงเรียบ แต่แววตานั้นกลับทิ่มแทงใจคนเป็นพ่อยิ่งนัก
“ข้าย่อมรู้” เขาตอบตรง ๆ ไม่หลบเลี่ยง
“แล้วเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่”
“ก็อย่างที่เจ้าได้ยิน อวี้หยางอยากหาเสื้อคลุมหนังเสือดำมาเป็นของขวัญวันเกิดให้เจ้า”
ถานอิงหลุบตาลง นึกถึงประโยคของอีกฝ่ายที่เคยบอกว่านางผิวขาวเกินไป ใส่ขนสัตว์สีขาวมันจะกลืนกับหิมะ หากเป็นสีดำคงเด่นขึ้นมา…เด่นจนไม่มีใครมองข้ามได้
“ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเหตุดินถล่มตรงหน้าผา ทั้งเขา ทั้งอวี้เหยียนและคนติดตามอีกหลายคน…ถูกฝังอยู่ใต้หินผานั่น”
คำพูดของบิดาทำให้นางนิ่งงัน ความเข้าใจเริ่มซึมลึกถึงความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เคยคาดคิดไว้ นางไม่ใช่แค่ต้นเหตุให้เสียหนึ่งชีวิต แต่เป็นหลายชีวิต และทุกชีวิตนั้น…ต่างมีคนรออยู่ที่บ้าน
“ถ้าทุกคนเกลียดข้าขนาดนั้น เหตุใดจึงไม่ยกเลิกการหมั้นหมายเสีย” เสียงของนางเบาแต่แน่นด้วยความเจ็บ
บิดาหลบสายตา “ตอนที่เขาส่งทูตมาแจ้งข่าว พวกเขาก็ยืนยันว่า ทุกอย่างต้องดำเนินต่อไปตามที่ตกลงไว้ เพื่อความมั่นคงของทั้งสองเมือง”
“หมายความว่า ถ้าเราไม่ทำตาม ก็เท่ากับเป็นชนวนสงคราม”
“ไม่ตรงนัก…แต่ก็ใกล้เคียง เขาบอกว่าหากเราไม่สานสัมพันธ์ให้มั่นคง เหล่าขุนนางบางกลุ่มอาจใช้เป็นข้ออ้างจุดชนวนสงครามได้”
“เท่ากับว่า…เขาขู่เรา”
บิดาไม่ได้ตอบตรง ๆ แต่สีหน้าก็บอกชัด
“เจ้าเป็นหญิง ข้าก็แก่แล้ว ส่วนฝั่งนี้…แม้จะเหลือบุตรชายเพียงคนเดียว แต่เก่งกาจ หากข่าวไม่ผิด เขาเก่งกว่าพี่อวี้หยางของเจ้าเสียอีก อวี้เหยียนติดตามอวี้หยางมาตลอดเพื่ออารักขา ไม่ใช่แค่เพราะเป็นน้องชาย…”
เมื่อสิ้นคำ บรรยากาศในรถม้าก็ตกอยู่ในความเงียบ
“หากเจ้าไม่อยากแต่งจริง ๆ…”
“ข้าจะเห็นแก่ตัวเช่นนั้นได้อย่างไร ท่านพ่อ” ถานอิงตัดบทก่อน น้ำเสียงสงบนิ่ง แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยความปวดร้าว
“ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าเกิดมาในฐานะบุตรสาวของท่าน ข้าย่อมรู้หน้าที่ของตนดี”
แต่น้ำตาที่ไหลออกมาช้า ๆ กลับหักล้างทุกคำพูดอย่างสิ้นเชิง
นางกลืนน้ำตากลับลงคอ ก่อนถอนหายใจยาว
‘อย่างน้อยก็แค่ทรมาน อย่างมากก็แค่ตาย’
‘ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ข้าก็จะยอมแลกศักดิ์ศรีของตนเพื่อความสงบสุขของบ้านเมือง’
แม้จะคิดเช่นนั้น แต่ภาพของวันข้างหน้าก็ยังคงหลอนหลอก ก่อนหน้านี้ นางพยายามทำใจว่าอย่างไรเสียก็ต้องแต่งกับคนที่ไม่ได้รัก แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป
ครั้งนี้…หัวใจของนางไม่เหลือแม้แต่ความรู้สึก ด้านชา จนไม่อาจฝืนยิ้มหรือร้องไห้ออกมาได้อีกแล้ว
“แล้วข้าจะต้องแต่งเมื่อไร” ถานอิงถามเสียงเบา
“หลังจากพวกเขาออกจากการไว้ทุกข์”
สามปีต่อมา
วันเวลาผ่านไปรวดเร็วราวลมหายใจ วันนี้คือวันที่นางต้องออกเรือนไปยังเมืองที่ไม่ต้อนรับนาง
ภายในห้องหอ มารดาและสาวใช้กำลังช่วยกันแต่งตัวให้ แต่มือไม้ของทุกคนสั่นไหว สีหน้าทุกคนดูหม่นหมองอย่างเห็นได้ชัด
“อย่าร้องไห้เลย ท่านแม่ ถ้าร้องตอนนี้จะไม่เป็นมงคลนะเจ้าคะ” ถานอิงฝืนยิ้ม พยายามเบี่ยงเบนบรรยากาศให้เบาบางลง
แต่หญิงชรากลับส่ายหน้า น้ำตาคลอเต็มสองตา
“เหมือนพ่อกับแม่ส่งเจ้าก้าวเข้าสู่ความตาย หากพวกเราเข้มแข็งกว่านี้…”
“ท่านแม่อย่าโทษตัวเองเลยเจ้าค่ะ” ถานอิงจับมือของมารดาแน่น
“ข้ามั่นใจว่าข้าจะอยู่ที่นั่นได้ดี แม้พวกเขาจะไม่ยินดี แต่…พวกเขาก็ฆ่าข้าไม่ได้”
นางยิ้มอย่างกล้าหาญ แต่ในดวงตานั้นมีเพียงความเจ็บปวด
“หากพวกเขาทำ ข้าก็แค่ศพหนึ่งศพ แต่ชื่อเสียงของเมืองหนานจิ้งจะต้องแปดเปื้อนเพราะผิดสัญญาสันติภาพ”
เสียงเครื่องเป่าที่ดังมาจากหน้าจวนทำให้เวลาหยุดลงในหัวใจของทุกคน
ถึงเวลาแล้ว…
“ข้าต้องไปแล้ว ท่านแม่”
มือเหี่ยวย่นของผู้เป็นมารดายกผ้าคลุมสีแดงขึ้นวางบนศีรษะของบุตรสาวนางไม่ได้อวยพรเรื่องสามีดี หรือลูกชายสืบสกุล นางขอเพียงสิ่งเดียวให้ลูกสาวมีชีวิตอยู่ และมีความสุข…แม้เพียงเสี้ยวหนึ่งก็ยังดี
“แม่หวังว่าเจ้าจะมีความสุข…เพียงเท่านั้นจริง ๆ” เสียงของมารดาสั่นเครือ
“ข้าจะมีความสุขเจ้าค่ะ” ถานอิงยิ้มทั้งน้ำตา
ร่างในชุดเจ้าสาวค่อย ๆ เดินผ่านหน้าประตูจวน บิดา มารดา และบ่าวไพร่ที่รักใคร่ต่างพนมมือส่งด้วยความอาลัย
เบื้องหน้าคือทางเดินสู่ความไม่รู้
แต่สำหรับถานอิงมันคือเส้นทางที่ไม่มีสิทธิ์หันหลังอีกต่อไป
