บทที่ 5 ภรรยาโดยไร้ใจ
บทที่ 5 ภรรยาโดยไร้ใจ
พิธีแต่งงานในฤกษ์มงคลยามเฉินเสียงประทัดดังกึกก้องหน้าจวนเจ้าเมือง
ขบวนหยุดลง
ถานอิงรอ…รอให้ใครสักคนเปิดม่านเกี้ยวขึ้นหากไม่ใช่โจวอวี้เหยียน อย่างน้อยก็อาจเป็นบ่าวคนสนิทของเขา
แต่กลับเป็นแม่สื่อที่เปิดม่านให้
“เชิญคุณหนูซู”
น้ำเสียงเย็นชา ไร้ความรู้สึกใด ๆถานอิงไม่ตอบโต้ นางเพียงก้าวลงมาอย่างเงียบงันแต่เพียงก้าวผ่านประตูจวน…นางก็ต้องชะงัก
เบื้องหน้าคือกองไฟขนาดใหญ่ ลุกโชนผิดธรรมเนียม หากเป็นพิธีปกติ จะมีเพียงกระถางไฟเล็ก ๆ ให้เจ้าสาวก้าวข้าม เพื่อชำระสิ่งอัปมงคล
แต่กองไฟตรงหน้านั้น…ใหญ่เกินไป
“ฮูหยินผู้เฒ่าแจ้งว่า…เพื่อกำจัดสิ่งอัปมงคลทั้งหมดจากตัวคุณหนู ขอเชิญก้าวข้ามกองไฟเจ้าค่ะ”
ซินหลัวที่ประคองอยู่ข้าง ๆ หน้าซีดเผือด
“คุณหนู…นี่มันเกินไป อันตรายเกินกว่าจะเป็นพิธี”
สาวใช้ฝั่งจวนเจ้าบ่าวมองมาอย่างเหยียดหยัน บางคนถึงกับกลั้นหัวเราะไม่ได้
“พวกเจ้าตั้งใจจะกลั่นแกล้งกันชัด ๆ!” ซินหลัวตะคอกเสียงลั่น ถานอิงบีบมือสาวใช้เบา ๆ เป็นสัญญาณให้หยุด
“อย่า…อย่าให้เป็นเรื่องในวันนี้ พวกเขารอให้เราทำผิดพลาดอยู่”
นางสูดลมหายใจลึกจากนั้นจึงเงยหน้าขึ้น เอ่ยด้วยเสียงหนักแน่น
“ข้าจะข้ามมันเอง”
ทุกเสียงซุบซิบเงียบลงในทันที ซูถานอิงค่อย ๆ ช้อนชายกระโปรงขึ้น มืออีกข้างจับแขนซินหลัวไว้แน่น
ก้าวแรกคือความลังเล
ก้าวถัดมาคือความเจ็บแสบจากความร้อนที่ลามขึ้นมาจนถึงขา แม้จะไม่ได้ปิดตา แต่ควันก็คลุ้งจนแสบตา นางกัดฟัน ฝืนแรงเท้า ก้าวข้ามกองไฟให้พ้นอย่างเชื่องช้า
เสียงเฮจากด้านหลังดังขึ้นไม่ใช่เพราะยินดีแต่เป็นเสียงเย้ยหยันที่เปล่งออกมาจากคนที่หวังเห็นนางล้ม
‘ในเมื่อเจ้าคิดว่าข้าอัปมงคล…งั้นข้าจะเผาตัวเองให้บริสุทธิ์เสียเลย’
แม้จะเจ็บ…แต่ยังยืน
แม้จะเหยียบถ่านร้อน…แต่ยังยิ้ม
ซูถานอิงในวันแต่งงานไม่หลั่งน้ำตาเพราะตั้งแต่วินาทีแรกที่ก้าวออกจากจวนบิดา นางก็สาบานไว้แล้วว่า
‘จะไม่มีวันร้องไห้ให้คนในจวนนี้เห็นอีกต่อไป’
แม้จะพยายามก้าวข้ามกองไฟอย่างสุดกำลัง แต่สุดท้ายเท้าของซูถานอิงก็เหยียบลงบนถ่านที่ยังร้อนระอุ ไอร้อนแผ่กระจายลามเข้าสู่ผิวเนื้อจนแสบร้อน การก้าวเดินต่อเป็นไปอย่างยากลำบาก เพราะรองเท้าที่เสียหายจากไฟย่อมไม่อาจรับน้ำหนักของนางได้อีก
นางพยายามประคองร่างไปข้างหน้า แต่กลับเสียหลักในวินาทีที่เกือบล้มลงไปบนกองไฟ มือแกร่งของใครคนหนึ่งคว้าข้อมือของนางไว้ได้ทัน
เพียงแค่เห็นปลายแขนเสื้อสีแดง ซูถานอิงก็รู้เขาคือ โจวอวี้เหยียน
“ขอบคุณ” นางเอ่ยเบา ๆ แผ่วเบาราวลมหายใจ ไม่มีคำอื่นตามมาอีก
พิธีแต่งงานดำเนินต่อไปอย่างฝืนทน แม่สื่อยังคงทำหน้าที่ของตน ทว่าทุกสิ่งที่ส่งถึงมือซูถานอิงกลับไม่เคยพอดี…ไม่ขาดก็เกิน
กระทั่งถึงโถงกลางที่ ฮูหยินผู้เฒ่า นั่งรออยู่ภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือผ้าขาวประดับแทนผ้าแดง บนเก้าอี้ข้างนางคือ ป้ายของโจวอวี้หยาง อดีตเจ้าเมืองไม่ได้ออกมาเนื่องจากหลังจากกลับมาจากหุบเขาอาการบาทเจ็บไม่ทุเลาลงเลย ซ้ำร้ายยังมีไข้หนักจึงเก็บตัวอยู่เพียงในเรือนนอน
โจวอวี้เหยียนเขายืนรออยู่แล้วในชุดเจ้าบ่าว สีชาดที่ยิ่งขับให้บุรุษผู้นั้นดูสง่างามดังหยกน้ำแข็ง ทว่าแววตาเย็นชาประดุจเหมันต์กลางเหมันตฤดู
ที่แห่งนี้…สำหรับผู้อื่นอาจเป็นพิธีมงคลแต่สำหรับซูถานอิง มันคือการถูกพิพากษา
นางถูกบังคับให้คุกเข่าขอขมาต่อหน้าวิญญาณก่อนจะเข้าสู่พิธีไหว้ฟ้าดิน
แน่นอนฮูหยินผู้เฒ่าไม่ยอมรับคำนับของนาง ไม่แม้แต่จะแตะต้องสิ่งใดที่นางจับต้อง
มีเพียง โจวอวี้เหยียน เท่านั้น ที่ไม่พูดไม่จายอมทำทุกขั้นตอนให้จบ ๆ ไปโดยไม่เอ่ยวาจาสักคำไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม ไม่แม้แต่จะสบตา
เขาไม่ได้ยิ้ม
ไม่ได้ยื่นมือมาแตะผ้าคลุมหน้า
แม้แต่แววตาก็ยังไม่เหลือบแลนางนานเกินครึ่งลมหายใจ
พิธีเริ่มต้นตามธรรมเนียมเสียงขานบทพิธีดังก้องไปทั่วโถงใหญ่
“คำนับฟ้า คำนับดิน คำนับบรรพชน…”
ถานอิงก้มศีรษะตามเสียงขาน แผ่นหลังบางไหวสั่นยามคำนับ ทุกการโค้งร่างเหมือนกระทบลมหายใจของตนเองเหมือนหัวใจจะร่วงหล่นทุกคราที่เสียงฆ้องดัง
“คำนับซึ่งกันและกัน”
เสียงนี้…เจ็บที่สุด
ถานอิงเงยหน้าขึ้นเพียงนิด ก่อนจะหลุบตาลงในทันที อีกฝ่ายไม่แม้แต่จะมองนางนางก็ไม่แม้แต่จะคิดฝันถึงคำอวยพร สายสัมพันธ์ของทั้งสองคือโซ่ตรวนคือพันธนาการที่ถูกบิดเบือนจากคำว่า บุพเพสันนิวาส
หลังพิธีสิ้นสุดลง
โจวอวี้เหยียนยังยืนอยู่ตรงนั้น เงียบงัน เย็นชาราวกับงานแต่งนี้เป็นเพียงหน้าที่ ไม่ใช่จุดเริ่มต้นของชีวิตคู่
พิธีเสร็จสิ้นในความเงียบงันอึมครึม
“พานางไปที่เรือน”
เสียงคำสั่งนั้น ทำให้ซูถานอิงรู้สึกเหมือนเพิ่งได้หายใจเต็มปอดเป็นครั้งแรก
