9 มายาอาคม
เรือนร่างสมส่วน โค้งเว้าราวกับนาฬิกาทราย อยู่ในชุดเดรสไหมพรมรัดรูปสีเขียวเข้ม ความยาวห่างจากบั้นท้ายกลมกลึงไปเพียงคืบนิด ๆ
เผยให้เห็นถึงความแบนราบของหน้าท้องที่มีกล้ามเนื้อนิด ๆ ไร้ไขมัน ลาดไล่ไปถึงทรวงอกตูม ๆ ที่ดันท้นความคอเต่าของเดรสออกมา แบบให้เห็นชัดแจ๋ว
ถือกระเป๋าสตางค์ใบเล็กทรงพับสีเขียวขี้ม้าเรียบหรู ประดับด้วยอะไหล่ทองเพียงนิด เสริมรับด้วยสีเล็บเจลเข้ากับชุด เดินเยื้องย่างบนรองเท้าส้นสูงแหลมปรี๊ด
ไม่มีใครที่จะไม่มองมายังรูปร่างเหมือนเทพเจ้าปั้นมาให้นี้
‘ในเมื่อเทียบเขายังไงก็เทียบไม่ได้อยู่แล้ว ก็แตกต่างให้สุดไปเลยสิ’
‘แตกต่างในแบบที่เขาเกลียดเนี่ยนะ มายาอาคมอะไรของแก’
ไวชญานีก์มาในลุคมัดผมหางม้าเรียบแปล้ แต่สวมแว่นตาสีดำทึบทับลงไปยังใบหน้าที่แต่งในโทนนู้ดสีเนื้อ เหมือนนางแบบที่จงใจพรีเซนต์เสื้อผ้า มากกว่าหน้าตาของตัวเอง
‘แกไม่เคยได้ยินคำว่า เกลียดอะไร...มักได้อย่างนั้นเหรอวะ’
‘เคยได้ยิน แต่มันก็ไม่เสมอไปไง’
‘รู้ว่าเสี่ยง แต่คงต้องขอลอง’
“ไม่ทราบว่าคุณผู้หญิงต้องการติดต่อเรื่องอะไรคะ” พนักงานต้องรับในร้านอาหารกึ่งโรงแรมสุดหรู ย่านริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ที่มีเรือด่วนและเรือโดยสารวิ่งผ่าน เอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้มสุภาพ
กึ่งชื่นชมนิด ๆ ในความลูกพระเจ้าของทรวดทรงองค์เอวของแขกผู้มาเยือนนี้
“พอดีว่ามารอเพื่อนน่ะค่ะ เขาจองโต๊ะเอาไว้”
“ขออนุญาตแจ้งชื่อผู้จองด้วยค่ะ”
“คุณว่านค่ะ”
“เดี๋ยวเรียนเชิญคุณผู้หญิงทางนี้เลยนะคะ” แล้วเธอก็เดินเข้าไปยังบริเวณร้านอาหารร่มรื่นริมน้ำนั่น ด้วยทีท่าสง่างามตามที่เคยฝึกซ้อมใบเบิกทางมา
“ขอบคุณนะคะ”
สะบัดสะโพกเพียงนิด หย่อนลงบนเก้าอี้บุกำมะหยี่อย่างดีเพียงหน่อย ก่อนค่อย ๆ เหลือบไปมองอีกมุมโต๊ะหนึ่ง ที่มีการจองมาก่อนเอาไว้เหมือนกัน
สัญลักษณ์ของโต๊ะที่จองแล้ว จะมีดอกไม้สดในแจกันใสหนึ่งดอก ซึ่งทางร้านจะใส่เป็นสีขาวเป็นหลัก ตามสไตล์โทนตกแต่งของร้าน
“ขอบคุณค่ะ” บริกรชายวางเมนูเครื่องดื่มมาวางยื่นให้ ด้วยท่าทีสุภาพและให้ความเป็นส่วนตัว
“ขอเป็นน้ำพั้นช์แก้วนึงค่ะ” สั่งด้วยโทนเสียงเรียบง่ายหากแต่ไว้ท่วงท่า ไขว่ห้างแต่พองาม มองไปรอบ ๆ เหมือนรอการมาของใคร แต่ไม่ได้โจ่งแจ้ง
“เราไม่ได้มาร้านนี้กันนานมากแล้วนะคะ ดีใจจัง... ที่วันนี้พี่อัฑฒ์พานีมา” น้ำเสียงแว่วหวาน ว่าอย่างเรียบง่าย ไม่ได้มีความรู้สึกอื่นใดปะปน มายาประดิษฐ์ของกัลป์ยานีคือความเหมือนจริงใจ
เรื่อย ๆ ไม่หวือหวา ในฉบับที่รู้ดีว่าคนเพอร์เฟคที่ชอบความเรียบหรู และง่ายดายอย่างเขา จะประทับใจได้
เธอเพียรทำกิริยาพวกนี้มามากกว่าหกปี แต่เพิ่งจะได้คบหากับเข้าปีที่สี่
ดูเหมือนจะไม่คุ้มเลยสำหรับคนอื่น แต่กับเธอนั้นไม่ใช่ การได้เป็นส่วนหนึ่งของอัฒธเสสิทธิ์ ก็คุ้มเกินคุ้มแล้ว
“ลูกค้าชอบร้านนี้ เลยอยากจะมาเตรียมตัวก่อน”
“อะไรนะคะ คนอย่างพี่อัฑฒ์นะเหรอคะ ที่จะเอาใจลูกค้าก็เป็นด้วย” ว่าแบบไม่อยากจะเชื่อถือ จนเขาสะดุดเล็กน้อย
กัลป์ยานีมีทุกอย่างที่เขาชอบ เป็นทุกอย่างที่เขาอยากเกี่ยวข้อง แต่พักหลัง ๆ มานี้ เธอมักจะหลุดในสิ่งที่เขาไม่ชอบออกมาเรื่อย แบบที่ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ
“ธุรกิจสตาร์ทอัพ คือธุรกิจที่จะต้องปรับตัวตลอด นั่นคือหัวใจ”
“ยอมอธิบายแบบนี้ แสดงว่ากำลังปรับตัวอยู่จริง ๆ สินะคะ” แล้วเธอก็คล้องแขนเขาเดินเข้าไปในร้านด้วยความภาคภูมิใจ ที่อัฑฒ์ อัฒธเสสิทธิ์ เลือกผู้หญิงที่เหมาะสมอย่างเธอมาเคียงข้าง
ตำแหน่งนางสาวไทยอะไรนั่น เธอไม่ได้อยากจะเป็นเท่าไหร่ แต่เพราะรู้ว่าถ้าเธอได้มันมา มันจะทำให้บิดาของเขาประทับใจในตัวเธอมากขึ้น
แต่แล้วเมื่อเดินเข้ามาถึงภายในร้าน เดินมายังโต๊ะประจำที่มักจะมานั่งรับประทานอาหาร มองวิวแม่น้ำร่วมกันกับเขามาเสมอนั้น กลับมีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่
“มากันแล้วเหรอคะ” เสียงเอ่ยทักทายด้วยโทนแห่งมิตรภาพ ต้อนรับ...ทำเอาคนสองคนที่ยืนควงกันอยู่ งงงัน
ไวชญานีก์ค่อย ๆ ถอดแว่นตาสีดำสนิทออกจากใบหน้าช้า ๆ เผยให้เห็นใบหน้ารูปไข่ที่ประดับไปด้วยเครื่องหน้าแบบน้อยแต่มาก ช้อนสายตาสบกับแววตาคมนิ่งที่เธอแอบมองผ่านรูปถ่ายมาตลอดหลายวัน
ความทรงพลังในแววตาคู่นั้นแม้ในยามแน่นิ่ง เหมือนมีมนตร์สะกด ดึงดูด...ให้เธอละจากไม่ได้
เขาดูน่ากลัว แต่ในขณะเดียวกันก็น่าค้นหา ดวงตากลมโตของเธอไล้มองใบหน้ามองเขาแบบไม่มีทีท่าเคอะเขินใดๆ
ทั้งที่ภายในใจสั่นระรัว...
เคราเขียวครึ้มที่ถูกขัดเกลามาอย่างเกลี้ยงเนียน เผยให้เห็นตอเล็ก ๆ ของมัน ที่เธอมองว่าน่าลูบไล้
“เดี๋ยวนะ เธอเป็นใครไม่ทราบ มานั่งโต๊ะที่ฉันจองเอาไว้ได้ยังไง”
เสียงกระชากเชิงไม่ชอบใจของกัลป์ยานี ทำเอาแววตาคมสะดุดเล็กน้อย คนสังเกตเก่งและจับทุกอย่างได้รวดเร็วอย่างไวชญานีก์รีบเดินเกมต่อทันที
“ดิฉัน...ไวน์ ไวชญานีก์ มาจากอาร์ไอคาร์ที่จะคุยเรื่องสตาร์ทอัพกับวินวินเทค ยังไงละคะ” หันไปแนะนำตัวกับคนที่ไม่มีแม้แต่วี่แววที่จะพูดจาหรือแสดงความรู้สึกผ่านสีหน้าและแววตาแต่อย่างใด
“บ้าไปแล้ว วินวินเทคงั้นเหรอ ทำการบ้านมายังไงจ๊ะถึงได้ไม่ศึกษาข้อมูลเอาซะเลย”
“ก็วินวินเทค คือสนามสตาร์ทอัพฝึกหัดที่เป็นที่รู้จักอยู่ในตอนนี้นี่คะ ไม่ทำการบ้านยังไงเหรอคะ”
“แกไปอยู่ไหนมาฮะ ถึงไม่รู้จักคุณอัฑฒ์ อัฒธเสสิทธิ์” ท่าทีดูถูกเหยียดหยามชัดนั้น หาได้ทำให้ผู้ถูกกระทำรู้สึกอะไรไม่
“นี พอเถอะ”
เสียงทุ้มต่ำที่ไวชญานีก์อยากจะฟังสด ๆ เปล่งออกมาให้ได้ยินแล้ว
แต่มันช่างเต็มไปด้วยความเฉยชา สงบนิ่ง และไร้ซึ่งความรู้สึกอื่นใด คนจับสังเกตเก่งพยายามจับกิริยาอาการของเขา แต่ก็ไม่มีอะไรที่จะเล็ดลอดออกมาบ้างเลย
“มันสิคะที่จะต้องพอ ลุกออกไปจากโต๊ะของฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ ฉันจะนั่งแทนที่แกนั่งได้ยังไงเนี่ย ขอเปลี่ยนโต๊ะด้วย!”
วูบไหวบางอย่างเคลื่อนไหวในแววตานิ่งบ้างแล้ว ใจสั่น ๆ ของคนที่จับสังเกต ชื้นขึ้น
เผยธาตุแท้ของแกออกมานะ นังมายาประดิษฐ์
“เป็นถึงนางสาวไทย แต่ทำไมพูดจาไม่น่าฟังเลย รางวัลที่ได้มาจริงหรือมายากันแน่”
“แก!”
“นี” เสียงทุ้มต่ำแลดูเข้มขึ้น จนเกือบจะค่อนไปทางดุ คนที่ศึกษาความเป็นเขามาพอสมควร แอบกลืนน้ำลายลงคอเล็กน้อย
หันไปสบตากับเขาเชิงกริ่งเกรงแทนผู้หญิงที่ยืนข้างเขานิดหน่อย
แต่พอได้สบกับสายตาคู่นั้นที่มองมาอย่างตำหนิชัด เธอก็หน้างอง้ำเข้าเล็กน้อย
เขามาดุคนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกด้วยสายตาแบบนี้ได้ยังไง!
“น่าจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดอะไรกันสักอย่าง รบกวนคุณตรวจทานให้รอบคอบอีกทีเถอะครับ” ว่าอย่างสุภาพชนทั้ง ๆ ที่สายตาของเขา ไม่ได้สื่อแบบนั้นเลยสักหน่อย
ไวชญานีก์หน้างอเข้า ตวัดสายตาไปมองหน้าคนที่ยืนควบคุมตัวเองอยู่ ตวัดกลับมามองหน้าสุภาพชนอย่างเขาอีกครั้ง
“ตายแล้ว...ผิดโต๊ะจริง ๆ ด้วย” ทำเป็นอุทานหลังเหลือบมองหน้าจอโทรศัพท์เหมือนจะตรวจทานอีกที
“ต้องขอประทานอภัยด้วยนะคะ” ค่อย ๆ ลุกขึ้นช้า ๆ สองสบสายตากับเขาเชิงยั่วเย้าไม่ต่าง
‘คนอย่างคุณอัฑฒ์ ไม่ชอบผู้หญิงหยำฉ่า เซ็กซี่หรือยั่วเย้า’
ยิ่งสิ่งที่รู้เกี่ยวกับเขามาเด่นชัดขนาดนั้นยังไง ใจเธอก็ยิ่งนึกสนุก นึกสนุกเพราะเขามาดุเธอด้วยสายตาแบบนี้นี่แหละ!
“เอ จะว่าไปคุณอัฑฒ์นี่ก็ชื่อคุ้น ๆ นะคะ เหมือนเคยได้ยินที่ไหน”
เป็นอัฑฒ์บ้างล่ะที่ต้องเป็นฝ่ายกลืนน้ำลายลงคอ จ้องใบหน้ารูปไข่ที่มีริมฝีปากเป็นกระจับเล็ก ๆ ชวนมองไม่เบื่อ ด้วยสายตาที่มืดดำลง
ไม่เลวแฮะ...เวลาดวงตามีความรู้สึก น่ามองกว่าตอนเรียบเฉยซะอีก
“อ๋อ จำได้แล้ว...ประธานบริหารของอาร์ทออลเทค บริษัทที่ปรึกษาธุรกิจสตาร์ทอัพทุกรูปแบบ ที่ถือว่าเป็นหนึ่งในคู่แข่งของวินวินเทค บริษัทน้องใหม่ที่มาแรงและอาจจะแซงทางโค้งเลยด้วย...”
“หุบปากของแกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ! คนอย่างพี่อัฑฒ์ไม่มีใครจะมาแซงได้ง่าย ๆ หรอก” พูดเหมือนจะปกป้องแฟนหนุ่ม แต่สายตากำลังกวาดไปทั่วร้าน
เพราะห่วงว่าจะมีคนมาได้ยินเข้ามากกว่า
“ตายแล้วคุณนางงาม การแข่งขันมันก็เรื่องปกติป่ะ มีแพ้มีชนะ แต่ในธุรกิจเนี่ยก็ต้องมีขึ้นมีลง...ไม่เหมือนนางงามซะหน่อย ที่ได้ตำแหน่งแล้ว ตำแหน่งเลย”
“พอได้แล้ว” เสียงเข้มที่เข้มข้นมากกว่าเดิมร้อยเท่าพันเท่า หนักไปทางแทบจะตวาดจากปากของเขา ทำเอาเธอเม้มริมฝีปากแน่น
คนที่ไม่เคยกลัวใครมาก่อนอย่างไวชญานีก์น่ะหรือ ที่จะมาหยุดเพียงเพราะมีใครสักคนมาสั่ง
“แล้วฉันพูดอะไรผิด แทนที่จะมาห้ามฉัน ห้ามแฟนตัวเองก่อนไม่ดีเหรอ!”
“กลับโต๊ะตัวเองไปได้แล้ว” ชายหนุ่มกลับมาสู่โหมดนิ่งสนิทอีกครั้ง นิ่งชนิดที่เหมือนถ้าไปแตะต้องอาจจะระเบิดขึ้นมาได้
เพราะสายตาวาวโรธหน่อย ๆ ฉายชัดเหลือเกินว่ากำลังตำหนิเธออยู่
“พี่อัฑฒ์คะ” คนหน้างอเพราะรู้สึกว่าอัฑฒ์กำลังใจดีกับแม่นี้เกินไป โอดขึ้น
เขาเลือกที่จะไม่ตอบใคร ทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่เธอเพิ่งจะลุกขึ้นมาเพื่อตัดปัญหา
และแน่นอนว่าคนที่เพิ่งจะนึกได้ว่าตัวเองทำตัวหลุดไปบ้างยังไง รีบกลับมาสู่โหมดสาวสวยสง่าแสนสบายคนเดิม ทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกับเขา ทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ไวชญานีก์เห็นอย่างนั้นแล้วก็งงงวยและเข้าใจในคำว่ามายาประดิษฐ์ เด่นชัดเอาก็วันนี้
หันไปมองหน้าคนที่ไม่ได้มองหน้าเธอต่อแล้ว ทำเป็นสนใจเมนูอาหารบนโต๊ะเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นกัน
นี่มันจะเฉยชากันเกินไปหน่อยแล้วมั้ย!
