กุญแจดอกที่ 8 : เข้าเรียนวันแรก
คุณอาจจะเป็นเพียงคนๆหนึ่งที่ยืนอยู่บนโลก
ทว่าคุณรู้ไหมว่าบางที...
คุณอาจจะเป็นโลกทั้งใบสำหรับคนบางคน
•.★*... ...*★.•
วันนี้นักล่าอันดับหกต้องตื่นขึ้นมาพบกับความแปลกใจตั้งแต่เช้า
“อรุณสวัสดิ์ คาไมเคิล” เสียงหวานที่คุ้นหูเอ่ยขึ้นทันทีที่เขาลุกขึ้นมาจากเตียงและนั่นแหละคือความแปลกใจในยามเช้าวันนี้ของคาไมเคิล เด็กสาวผมชมพูยาวในชุดนักเรียนหญิงเรียบร้อยนั่งอยู่บนเก้าอีกหน้ากระจกโดยที่มีเรกำลังถักผมเปียข้างหนึ่งให้ แต่เซนไม่ควรจะมาอยู่ในห้องพักของพวกเขาตั้งแต่เช้าแบบนี้หรือเปล่า หรือมันเป็นเรื่องปกติ หรือเขาจะคิดมากไปเอง
ทว่าถึงจะนึกแบบนั้นคาไมเคิลก็เลือกที่จะเก็บคำถามพวกนั้นเอาไว้ในใจ ขนาดนักล่าอันดับหนึ่งยังไม่เอ่ยปาก เขาที่เป็นเพียงนักล่าอันดับหกจะมีสิทธิพูดอะไรได้ ดวงตาสีน้ำเงินของคาไมเคิลกวาดไปมองทั่วห้องทำให้เขาเห็นฟรอสที่ยังนอนสบายใจเฉิบอยู่บนเตียงตรงกลางทั้งๆที่ตอนนี้ข้างนอกก็เริ่มสว่างมากแล้ว
“ไปอาบน้ำแล้วปลุกหมอนั่น” เสียงเย็นเยียบของคนที่ถักเปียให้เซนอยู่ดังมา ไม่ใช่คำเปรยหรือคำขอร้องแต่มันคือคำสั่ง และต่อให้คนพูดไม่ระบุว่าเป็นใครคาไมเคิลก็รู้ได้ว่าคนที่เรฟานอฟเอ่ยสั่งอยู่คือเขา
เด็กหนุ่มผมฟ้าเดินเข้าห้องน้ำไปปล่อยให้เรถักผมให้เซนต่อโดยมีเสียงกรนของฟรอสดังเป็นฉากหลัง เพียงไม่นานคาไมเคิลก็เดินออกมาจากห้องน้ำหลังจากจัดการธุระของตนเองเสร็จเรียบร้อย ถึงตอนนี้เรก็เริ่มจะถักเปียอีกข้างให้เซนใกล้จะเสร็จแล้ว ส่วนนักล่าอันดับสามก็ยังคงนอนกินบ้านกินเมืองอยู่เช่นเดิม
“คุณฟรอสครับ” คาไมเคิลสะกิดเรียกนักล่าอันดับสามอย่างสุภาพทว่าคนถูกเรียกก็ยังคงหลับต่ออย่างไม่สนใจ
เซนใช้สัมผัสของนักล่าแอบดูวิธีการปลุกฟรอสของนักล่าอันดับหกซึ่งมันก็สนุกไม่น้อยในความคิดของเด็กสาว คาไมเคิลทั้งเขย่าทั้งตะโกนจนเสียงแหบแห้งไปหมดแต่คนที่ต้องการจะให้ตื่นก็ยังคงหลับไม่รู้เรื่องจนนักล่าอันดับหกที่เคยสุภาพอยากจะทำการชำแหละคนตรงหน้าทิ้งเสีย แม้นักล่าอันดับหนึ่งจะถักเปียให้เด็กสาวคนเดียวในห้องเสร็จแล้วคาไมเคิลก็ยังไม่สามารถดึงฟรอสออกจากนิทราอันแสนสุขของเจ้าตัวได้ทำเอาเซนต้องยิ้มขำๆ
คาไมเคิลจำต้องหันมาขอความช่วยเหลือจากนักล่าอันดับต้นทั้งสองเมื่อหมดปัญญาจะปลุกคนขี้เซาคนนี้แล้วจริงๆ เขาไม่กล้าทำอะไรที่รุนแรงไปมากกว่าการเขย่าและตีแล้ว ใครมันจะไปนึกว่านักล่าอันดับสามจะขี้เซาได้ขนาดนี้ น่าแปลกที่คุณฟรอสยังคงรอดมาได้จนถึงปัจจุบันโดยไม่โดนใครฆ่าตอนที่นอนอยู่ไปเสียก่อน
แต่ความจริงแล้วถ้าฟรอสมาทำภารกิจกับคนอื่นหรือมาทำภารกิจคนเดียว นักล่าอันดับสามไม่มีทางหลับลึกแบบนี้ ที่เขากล้าหลับนั่นก็เพราะไว้ใจในเขตอาคมของเรฟานอฟ ฟรอสมั่นใจมากว่าถ้านักล่าอันดับหนึ่งเป็นคนลงมือกางเขตอาคมปกป้องเองจะไม่มีใครสามารถฝ่าเข้ามาได้เด็ดขาดถ้าเจ้าตัวไม่ยินยอม
เพราะแบบนั้นเวลาไปทำงานกับนักล่าอันดับหนึ่งและนักล่าอันดับสอง ฟรอสจึงเผลอปล่อยตัวตามสบายและหลับลึกจนเรต้องใช้ความรุนแรงในการลงมือปลุกบ่อยๆ (ซึ่งถ้าไปทำงานด้วยกันสองคนเรไม่มีทางปลุกหรอก แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเซน เรก็จำเป็นต้องรักษาภาพลักษณ์ที่ดีงาม ไม่ทิ้งเพื่อร่วมงานของตนเองเอาไว้) ซึ่งความจริงข้อนี้คาไมเคิลไม่ได้รู้ด้วย
เรสวมแว่นตาหนาเตอะกรอบสีขาวให้เซนเป็นอย่างสุดท้ายก่อนจะเดินเข้าไปใกล้เตียงฟรอสอย่างไม่พูดไม่จา คาไมเคิลเขยิบออกห่างตามสัญชาตญาณของตนเองที่ร้องเตือน ถ้าถึงมือของคุณเรเมื่อไหร่เรื่องคงจบไม่สวยแน่
โครม!!
และมันก็เป็นอย่างที่คาไมเคิลคิดเมื่อร่างของนักล่าอันดับสามหล่นลงจากเตียงเสียงดังลั่นก่อนจะกลิ้งไปกับพื้นอีกหลายตลบด้วยแรงถีบอันทรงพลังที่เรฟานอฟประทานให้ถึงที่
“ใคร...ใครทำ...มันเจ็บนะโว้ย” ได้ผลฟรอสกระเด้งตัวขึ้นมาจากพื้นทันทีก่อนจะเอามือลูบเอวและสะโพกที่กระแทกพื้นอย่างจังด้วยความเจ็บ เด็กหนุ่มผมเขียวหันซ้ายหันขวาขณะที่ปากยังบ่นไม่หยุด แต่มันก็น่าบ่นอยู่หรอกเพราะฟังจากเสียงเมื่อกี้ดูท่าคนถีบจะไม่ออมแรงให้เลย ไม่รู้ว่าไปเก็บกดมาจากไหนหรือเปล่า
“ไอ้บ้าเร นี่นายถีบฉันอีกแล้วเหรอ หัดปลุกแบบคนธรรมดาบ้างสิวะ หรือปลุกให้นุ่มนวลเหมือนปลุกเซนก็ได้” ฟรอสโวยวายประท้วงหาความยุติธรรมทันทีเมื่อหันกลับมาแล้วเห็นเรยืนกอดอกจ้องตนอยู่ แต่คำพูดนั้นมันทำเอาคาไมเคิลรู้แล้วว่าคุณเรมักจะใช้วิธีนี้ปลุกคุณฟรอสเป็นประจำ แล้วทำไมไม่บอกละครับผมจะได้ใช้วิธีนี้ไม่ต้องไปเขย่าปลุกและตะโกนเรียกให้เมื่อยหรอก
“ไปอาบน้ำ” คำประกาศิตดังมาพร้อมไอเย็นทำเอาฟรอสรีบหุบปากฉับแล้ววิ่งไปคว้าข้าวของเข้าห้องน้ำไปในทันที ใครจะไปอยู่ให้ตัวเองโดนเชือดเล่า
เซนอดหัวเราะออกมาไม่ได้เมื่อได้ยินเสียงโวยวายของฟรอสว่าลืมหยิบชุดนักเรียนออกมาจากในห้องน้ำ ร้อนถึงคาไมเคิลที่ต้องไปหยิบชุดนักเรียนส่งให้อีกเพราะถึงอย่างไรคนอย่างนักล่าอันดับหนึ่งก็คงจะไม่คิดเดินมาหยิบชุดนักเรียนไปยื่นให้หรอก ส่วนเหตุผลง่ายๆที่หมอนี่ไม่มีวันทำแบบนั้นก็คือ ฟรอสไม่ใช่เซน
“เอาเป็นว่าฉันลงไปรอข้างล่างนะ” คู่หมั้นสาวบอกก่อนจะกระโดดออกไปทางหน้าต่างปล่อยให้นักล่าทั้งสองคนรอเพื่อนร่วมห้องคนสุกท้ายที่ยังโวยวายไม่เลิก
ทำไมหมอนี่ถึงได้เป็นนักล่าอันดับสามนะ มันคือคำถามที่คาไมเคิลไม่เข้าใจเลยสักนิดเดียว
•.★*... ...*★.•
บรรยากาศยามเช้าในโรงเรียนคิงเคสดีมาก แสงแดดยามเช้าช่วยให้สดใสในขณะที่ลมเย็นๆพัดพาคลายความร้อนของแสงอาทิตย์ นักเรียนมากมายต่างเดินกันขวักไขว่ทั้งที่เพิ่งเป็นยามเช้า
ร่างทั้งสี่เดินอยู่บนระเบียงที่ปูด้วยพรมแดงหรูหราซึ่งตรงไปยังห้องเรียนของพวกเขา มองออกไปเพื่อชมบรรยากาศข้างนอกแล้วก็ได้แต่คิดว่าวันนี้ช่างอากาศดีเหมาะจะเอาฤกษ์เอาชัยในวันแรกที่ย้ายเข้ามาเรียนจริงๆ
เด็กสาวผมชมพูเดินอยู่ตรงกลางระหว่างเด็กหนุ่มทั้งสามคนที่ทำเหมือนกับจะปกป้องไม่ให้ใครเข้าใกล้ทั้งที่เด็กสาวที่ยืนอยู่ตรงกลางก็ไม่ได้สวยอะไรนักหนา โดยเฉพาะในเวลาที่เธอถูกถักผมเปียสองข้างและสวมแว่นตาสีขาวหนาเตอะดูจะเฉิ่มเสียด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมเวลาที่มองดวงตาสีทองหลังกรอบแว่นแล้วพวกเขากลับโดนดึงดูดให้เข้าไปหาอย่างไม่รู้ตัว
“นี่...ห้องเรียนเราห้องไหนเหรอ” เสียงหวานถามเพื่อนที่เดินมาด้วยกัน
“อืม... 1/A ครับ” คาไมเคิลที่ถือเอกสารเกี่ยวกับการเรียนอยู่เอ่ยตอบให้เมื่อเห็นเลขห้องที่ปรากฏอยู่บนเอกสารในมือ
“ห้อง 1/A 1 นี่น่าจะเป็นชั้นปีใช่ไหมแล้ว A คืออะไร” ฟรอสถามพลางชะโงกหน้าเข้าไปดูเอกสารในมือนักล่าอันดับหก
“น่าจะมาจากการที่ห้องในแต่ละชั้นปีมีแค่สองห้องจึงเรียกว่าห้อง A กับห้อง B ก็ได้ครับ” คาไมเคิลตอบคำถามให้คนขี้สงสัยแต่มันก็ทำให้นักล่าอีกสองคนได้ข้อมูลไปด้วย
“ว่าแต่เราตื่นเช้าไปหรือเปล่า อีกตั้งนานกว่าจะถึงเวลาเรียน” ฟรอสถามขณะก้าวเท้าเดินไปเรื่อยๆ เรหันไปมองคนขี้บ่นก่อนจะเหยียดยิ้มออกมาราวกับจะดูแคลนความคิดนั้นหนักหนา
“ถ้าคิดแบบนั้นนายคงสายตั้งแต่วันแรก” เสียงเย็นของนักล่าอันดับหนึ่งเอ่ยก่อนจะหันไปสนใจกับเด็กสาวผู้เป็นนักล่าอันดับสองต่อปล่อยให้พวกเขายืนงงกับคำพูดทิ้งท้ายนั่น
ถ้าคิดแบบนี้จะสายตั้งแต่วันแรกอย่างนั้นหรือ
•.★*... ...*★.•
และแล้วคาไมเคิลกับฟรอสก็รับรู้ว่าเหตุใดเรจึงพูดออกมาแบบนั้นเพราะพวกเขาเกือบจะเข้าเรียนสายตั้งแต่วันแรกจริงๆ ไม่ใช่ว่าห้องเรียนอยู่ไกลออกไปมากมาย ไม่ใช่ว่าพวกเขาหลงจนมาไม่ถูก ไม่ใช่ว่าพวกเขาเดินเอื่อยๆกินลมแต่เป็นเพราะเด็กสาวบางคนที่เดี๋ยวก็แวะดูนู้นเดี๋ยวก็แวะดูนี่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นไปตลอดทางจนสุดท้ายพวกเขาก็ต้องพากันวิ่งมาห้องเรียนก่อนที่จะสายในวันแรกกันจริงๆ
ให้ตายสิเรพูดถูก บางทีพวกเขาควรจะตื่นเช้ากว่านี้อีกมากๆ
“ผมคาไมเคิล แอนรีสครับ” เสียงของนักล่าอันดับหกแนะนำตัวเป็นคนแรกปลุกให้ฟรอสที่กำลังคิดนู้นคิดนี่ได้สติและหันกลับมาสนใจสถานการณ์ปัจจุบัน
“ผมฟรอส ธันเดอร์ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ” เสียงของเด็กหนุ่มผมเขียวผู้เป็นนักล่าอันดับสามพูดขึ้นก่อนจะกวาดดวงตาสีเขียวของตนเองไปมองรอบๆห้อง
ภายในห้องที่กว้างใหญ่และสะอาดสะอ้านกลับมีนักเรียนอยู่ทั้งหมดแค่แปดคนเท่านั้น ช่างอ้างว้างชะมัดเลย ห้องตั้งกว้างแต่มีนักเรียนแค่แปดคนเอง...ไม่ใช่สิรวมพวกเขาเข้าไปอีกสี่คนก็เป็นสิบสอง แต่ก็ยังน้อยไปอยู่ดี
“เซนาเรียส...เรียกสั้นๆว่าเซนก็ได้ค่ะ” คราวนี้เป็นตาเด็กสาวผมชมพูแนะนำตัวเองบ้าง ดวงตาสีทองเปล่งประกายพร้อมรอยยิ้มที่ส่งให้ทุกคนในห้อง ถึงแม้ว่าผู้หญิงตรงหน้าจะดูเฉิ่มแต่รอยยิ้มร่าเริงนั่นก็ดึงดูดพวกเขาได้อย่างประหลาด
เรที่เห็นแบบนั้นยังคงยืนนิ่งราวกับว่าไม่สนใจอะไรแต่ภายใต้ท่าทางแบบนั้นคาไมเคิลกับฟรอสรู้ได้ในทันทีว่าหมอนี่กำลังอารมณ์ไม่ดีอย่างมาก
“เรฟานอฟ” เสียงเย็นเยียบดังขึ้นภายในห้องทำเอาพวกผู้ชายพากันชะงักขณะที่ผู้หญิงอีกสองคนกันเลิกคิ้วอย่างสงสัยว่าหมอนี่จะเย็นชาไปถึงไหน
“เมื่อรู้จักกันแล้วก็เชิญเข้าที่ เอาเป็นว่าพวกเธอไปนั่งด้านหลังก็แล้วกัน มันคงไม่มีผลกระทบต่อการเรียนของพวกเธอใช่ไหม” อาจารย์หนุ่มพูดพลางผายมือไปทางเก้าอี้สี่ตัวหลังที่ยังว่าง
เรเดินนำเข้าไปเป็นคนแรกโดยไม่พูดอะไรขณะเซนก้มหัวให้อาจารย์นิดๆแทนคำขอบคุณแล้วรีบเดินตามเรไปติดๆ
คาไมเคิลได้แต่ยิ้มออกมาอย่างสุภาพขณะที่ฟรอสถอนหายใจออกมา ก็จะไม่ให้ถอนหายใจออกมาได้ยังไงเล่าหลังห้องน่ะมันแหล่งรวมวิญญาณเลยนี่นา แล้วเรมันจะไปมีปัญหาอะไรพอเดินไปถึงก็เลือกโต๊ะสองตัวหน้าแล้วฉุดให้เซนนั่งลงด้วย ส่วนเขากับคาไมเคิลก็ต้องเผชิญกับพวกวิญญาณหลังห้องที่ตรงเข้ามาหาพวกเขาแทบจะในทันที
“เอาล่ะ วันนี้วิชาประวัติศาสตร์ พวกเราจะกล่าวถึงดินแดนของผู้ใช้เวทกันบ้าง” อาจารย์หนุ่มประจำวิชาพูดออกมาทำเอาเซนหน้ามุ่ยลงเพราะความเบื่อผิดกับเพื่อนคนอื่นๆในห้องที่เริ่มจะตื่นเต้นกัน แต่จะเบื่อก็ไม่แปลกเพราะเรื่องที่อาจารย์หนุ่มคนนี้กำลังสอนเป็นเรื่องพื้นฐานที่คนในดินแดนผู้ใช้เวทต้องรู้มาตั้งแต่เด็ก
เซนหันไปมองข้างหลังแล้วก็ต้องยิ้มออกมาเมื่อเห็นคาไมเคิลและฟรอสกำลังโดนวิญญาณทั้งชาย ทั้งหญิง ทั้งเด็กและทั้งคนแก่รุม นี่ขนาดอยู่ในชั่วโมงเรียนและอาจารย์แกก็ยังยืนพูดอยู่หน้าห้องไม่ไปไหนแต่เจ้าพวกนี้ก็ยังรุมถามนู้นถามนี่เสียงดัง
เซนหันกลับไปฟังอาจารย์ต่อตั้งใจว่าจะทนฟังเพื่อไม่ให้อาจารย์หนุ่มเสียหน้าแต่ฟังไปฟังมากลับหลับไปตรงนั้นเสียได้ เรที่นั่งอยู่ข้างๆหันไปมองคนเป็นคู่หมั้นที่นั่งหลับแล้วได้แต่ขยับยิ้มนิดๆให้กับภาพนั้นด้วยความเอ็นดู ไม่ว่าเซนจะทำอะไรก็น่ารักไปเสียหมด
ทว่าเพียงพริบตาเดียวรอยยิ้มนั้นก็จางหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนพร้อมกับดวงตาสีนิลดุๆที่หันไปมองด้านหลังราวกับจะปรามเมื่อเสียงของทั้งคนและวิญญาณดูเหมือนจะยิ่งดังขึ้นจนเสียมารยาท เสียงดังแบบนี้เดี๋ยวเซนก็ตื่นหรอก
•.★*... ...*★.•
เมื่อเสียงออดหมดเวลาดังขึ้นและอาจารย์ก็ออกไปจากห้องแล้วพวกเพื่อนๆที่รอเวลานี้มานานก็ตรงดิ่งเข้ามาหานักเรียนสี่คนที่เข้ามาเรียนกลางเทอมทันที
คาไมเคิลกับฟรอสแทบจะเป็นลมเพราะเมื่อกี้เขาเพิ่งโดนพวกวิญญาณรุมมาหยกๆนี่จะมาโดนเพื่อนร่วมห้องรุมกันอีกเหรอเนี่ย มันวันซวยอะไรของพวกเขาสองคนกัน
เซนสะดุ้งตื่นทันทีเมื่อรับรู้ถึงสายตามากมายที่จับจ้องเธอ อันที่จริงพออยู่กับเรทีไรเธอมันจะชอบนอนอย่างสบายใจจนไม่สนใจสิ่งรอบข้าง แต่ในเวลานี้กลับมีสายตาหลายคู่มองมาที่เธอจนเธอทนนอนต่อไปไม่ไหวและเมื่อดวงตาสีทองลืมขึ้นเธอก็เห็นเพื่อนร่วมห้องยืนห่างจากเธอและเรไปประมาณเมตรหนึ่ง แต่ละคนส่งสายตามาราวกับบอกว่าอยากทำความรู้จักกับพวกเธอด้วย แต่ดูเหมือนพวกเขาจะหวั่นเกรงอะไรบางอย่างอยู่
เซนหันไปมองเรที่นั่งอยู่ข้างๆแล้วก็เข้าใจว่าเหตุใดจึงไม่มีเพื่อนคนใดกล้าเข้ามาหาเลยสักคน แม้เด็กหนุ่มผมดำที่นั่งอยู่ข้างเธอจะตีหน้าเรียบทำเป็นมองไม่เห็นเพื่อนคนใดในห้องแต่บรรยากาศรอบตัวนักล่าอันดับหนึ่งกลับเย็นเยียบจนไม่น่าเข้าใกล้ เรมักเป็นอย่างนี้เสมอเพราะเจ้าตัวแทบจะไม่สนใครเลย แต่คนเราจะอยู่คนเดียวในโลกใบนี้ได้ยังไง
“สวัสดี...” เสียงหวานของเซนาเรียสทักพร้อมรอยยิ้มที่ส่งไปให้เพื่อนๆทำเอาบรรยากาศน่าอึดอัดในตอนแรกคลายลงทันที
เรได้แต่ถอนหายใจออกมาเพราะแอบขัดใจนิดๆไม่ได้ ต่อให้เขาไม่อยากทำความรู้จักกับใครแต่เซนคงไม่ได้มีความคิดแบบเดียวกับเขา แต่เซนจะทำอะไรเขาก็ไม่ขัดอยู่แล้ว
“ไงเซน...” เสียงหวานใสของใครคนหนึ่งเดินเข้ามาทักก่อนพวกเพื่อนๆที่ยังลังเลว่าจะเข้ามาดีไหม เธอชักอยากรู้แล้วสิว่าเรนี่น่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือ
อันที่จริงก็มีข่าวลือมากมายเกี่ยวกับความโหดเหี้ยมของเจ้าชายแห่งดาร์กเซสมาให้ได้ยินอยู่หรอก แต่เรที่เธอรู้จักออกจะใจดีจะตาย เธอขออะไรก็ให้ ให้พาไปไหนก็ไป น่ารักจะตาย เพราะฉะนั้นข่าวลือก็คือข่าวลือเชื่อถือไม่ได้ แต่ดูท่าเด็กสาวผมชมพูคงลืมไปแล้วว่าข่าวลือก็ต้องมีมูลเหตุความจริงบ้างไม่มากก็น้อย
“อ้าว...คามิเลีย” เซนทักเพื่อนคนนี้อย่างยินดีที่ได้อยู่ห้องเดียวกัน
“ว่าแต่คามิเลียมาก็ดีแล้วพอดีมีเรื่องอยากจะถามหน่อย” เซนพูดขณะที่เร คาไมเคิลและฟรอสกำลังเก็บของทั้งหมดลงในคอลของตนเอง
“อะไรละ” คามิเลียถามออกมาพลางมองเรที่ช่วยเก็บของของเซนไปด้วยแล้วก็อดคิดในใจไม่ได้ว่าตกลงสองคนนี้เขาเป็นคู่รักกันหรือเปล่า
“ทำไมห้องนี้คนน้อยจัง แล้วเป็นแบบนี้ทั้งสองห้องเลยหรือเปล่า” เซนถามพลางหันไปมองรอบๆที่มีเพื่อนแค่แปดคนเองถ้าไม่นับพวกเธอสี่คน
“ทั้งสองห้องมีจำนวนคนไม่เท่ากันหรอก ปกติห้อง A จะเป็นคนที่สอบเข้ามาแล้วได้คะแนนมากกว่าแปดสิบคะแนนขึ้นไป แต่ละปีก็ประมาณนี้แหละเขาถึงเรียกห้อง A ของทุกระดับว่าห้องพิเศษ เพราะบางทีพวกเราก็มีสิทธิพิเศษอื่นๆในโรงเรียนแบบที่ห้อง B ไม่มีด้วย ส่วนห้อง B คือห้องของคนที่สอบผ่านเข้ามาธรรมดาๆนี่แหละ นักเรียนห้องนั้นถึงเยอะหน่อยมีประมาณสักสามสิบถึงสี่สิบคน” เด็กสาวผมสีน้ำตาลผู้เป็นรองหัวหน้าหอหญิงอธิบายออกมายืดยาวเมื่อเห็นเพื่อนสาวตั้งใจฟังเพื่อเก็บข้อมูลใหม่ๆ
“ว่าแต่ถ้าเธอเก็บของเสร็จแล้วก็ไปกินข้าวกันเถอะ คาบบ่ายวันนี้ไม่มีเรียนอะไรแล้ว” คามิเลียชวนพร้อมรอยยิ้มทำเอาเซนเลิกคิ้ว
“แต่เราเพิ่มเรียนไปวิชาเดียวเองนะ ทำไมถึงพักแล้วละ” คำถามพร้อมดวงตาที่ไม่เข้าใจทำเอาคามิเลียอดจะเอ็นดูไม่ได้
“วันนี้เรียนแค่วิชาเดียวแต่รวมสี่คาบและวันนี้ก็เป็นวันเดียวในสัปดาห์ที่คาบบ่ายไม่มีเรียนอะไรต่อแล้ว นี่เธอมัวแต่ทำอะไรอยู่หือ...ถึงไม่รู้ว่าเราเรียนไปกันสี่คาบแล้ว” คำถามนั้นทำให้เซนยิ้มจืดๆให้ บอกออกไปว่าหลับทั้งสี่คาบเลยก็คงไม่ดีมั้ง
“เอาละไปทางข้าวกันดีกว่า ตอนบ่ายจะได้ไปหาหนังสือเกี่ยวกับดินแดนผู้ใช้เวทอ่านด้วยเพราะอาทิตย์หน้าอาจารย์สอนประวัติศาสตร์จะให้เราตอบคำถามนะ” เซนพยักหน้าให้กับคำชวนนั้นก่อนจะหันไปที่โต๊ะเพื่อจะเก็บของแต่สิ่งที่เธอพบคือของที่ตั้งรวมกันรอแค่เธอเอาคอลไปแตะเพื่อเก็บมันเท่านั้นเองและไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครเป็นคนเก็บให้
“ขอบคุณนะ...เรใจดีที่สุดเลย” เด็กสาวผมชมพูพูดออกมาซึ่งได้ยินกันทุกคนในห้องทำเอาเรฟานอฟต้องเสหน้าหนีเพื่อซ่อนใบหน้าแดงก่ำของตน ฟรอสที่ได้ยินเกือบสำลักอากาศตาย เรเนี่ยนะใจดีอย่างน้อยมันก็ไม่ใช่สายตาพวกเขาละ คาไมเคิลได้แต่ยิ้มจืดๆเพราะมีความคิดที่ไม่ต่างจากนักล่าอันดับสามและเพื่อนร่วมห้องคนอื่นๆเท่าไหร่
เซนล้วงกระเป๋าไปหยิบลูกแก้วที่เรียกว่าคอลก่อนจะแตะลูกแก้วนั่นกับของทำให้ของที่อยู่บนโต๊ะถูกดูดกลืนเข้าไปในลูกแก้วอันนั้น
“ไปกันเถอะ” เซนพูดพร้อมรอยยิ้มก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้พร้อมเด็กหนุ่มทั้งสามคนแต่ไม่ทันก้าวออกจากห้องเพื่อนๆก็ตรงเข้ามารุมทันทีเมื่อรู้ว่าคนทั้งสี่ไม่น่ากลัวเท่าที่พวกตนคิดไว้ (แต่น่ากลัวกว่าที่พวกเขาคิด) ฟรอสได้แต่ตีหน้ายุ่งพลางคิดในใจ วันนี้มันวันเชื่อมสัมพันธ์แห่งโลกหรือไงเนี่ย
