กุญแจดอกที่ 7 : เพื่อนร่วมห้อง (บทต้น)
เคยดีใจที่สามารถหลุดออกมาจากพันธนาการที่ทำให้ทรมานได้
เคยดีใจที่อย่างน้อยความหวาดกลัวตัวเองก็ลดลง
เคยดีใจที่สามารถไปไหนมาไหนได้นอกจากในรั้ววัง
เคยดีใจราวกับว่าสามารถหลุดออกจากพันธนาการทุกอย่างที่ตามหลอกหลอน
แต่เปล่าเลย...
เธอไม่ได้หลุดจากพันธนาการ...
ทว่าเธอเพิ่งร้อยรัดกับพันธนาการใหม่ต่างหาก
เป็นพันธนาการที่แม้ไม่ทรมานเท่ากับพันธนาการแรก
แต่พันธนาการนี้ร้อยรัดจนเหนียวแน่นและไม่อาจหนี
พันธนาการที่ชื่อว่าผู้ถูกเลือก
พันธนาการของผู้ครองรูปดอกกุหลาบสีดำ
พันธนาการที่ผู้มีรูปดอกกุหลาบสีขาวไม่มีสิทธิเลือก...
•.★*... ...*★.•
ด้านของเซนาเรียสดูจะเข้าท่ากว่าเยอะเมื่อเทียบกับความสัมพันธ์ของนักล่าชายทั้งสามกับรุ่นพี่ ทันทีที่ย่างเท้าเข้ามาในตัวอาคารเซนก็บอกกับตนเองเลยว่าเธอไม่ได้มาพักหอพักของโรงเรียนหรอกแต่มาพักโรงแรมสุดหรูแห่งหนึ่งเลยต่างหาก แค่ห้องโถงก็กว้างกินพื้นที่เข้าไปไม่รู้เท่าไหร่แล้วแถมยังถูกตกแต่งอย่างสวยงามอีก น่าแปลกก็ตรงที่เห็นนักเรียนผู้หญิงเดินไปมากันน้อยเหลือเกินแต่พอเอ่ยปากถามพี่ดาเลียก็ตอบกลับมาว่า
“เวลานี้ก็เป็นแบบนี้แหละ ส่วนมากจะกินข้าวกันอยู่ที่ห้องอาหารมากกว่า” รุ่นพี่สาวพูดพร้อมยิ้มให้กับคำถามของคนช่างสงสัยแต่เซนไม่ได้ช่างสงสัยหรอก มันเป็นพื้นฐานของคนที่มีอาชีพเป็นนักล่า ไม่ว่าสิ่งใดน่าสงสัยก็ต้องระวังตัวเอาไว้ก่อน
“ว่าแต่ที่นี่ในแต่ละชั้นปีเขาจะใส่กระโปรงกับโบสีต่างกันหรือคะ แถมอักษรในป้ายสัญลักษณ์ยังไม่เหมือนกันอีก” เซนถามต่อด้วยความอยากรู้ บอกได้เลยว่าเธอก็เป็นคนช่างสังเกตเหมือนกัน
“ใช่แล้ว สีของแต่ละชั้นปีมีความหมายแตกต่างกันออกไปด้วย” คราวนี้คามิเลียที่เดินตามหลังเป็นคนตอบให้ก่อนจะพูดเสริมขึ้นมาอีก
“ของปีหนึ่งจะเป็นอักษร I ที่หมายถึงหนึ่ง ส่วนสีประจำปีหนึ่งจะเป็นสีขาวเหมือนกับจะบอกว่าปีหนึ่งเพิ่งเข้ามายังไม่ได้เรียนรู้อะไรก็ยังคงบริสุทธิ์เหมือนสีขาวของกระโปรงที่สวมใส่
ของปีสองใช้อักษร II ที่หมายถึงสอง สีของปีสองจะเป็นสีเหลืองที่หมายถึงคุณธรรม
ของปีสามใช้อักษร III ที่หมายถึงสาม สีของปีสามจะเป็นสีเขียวเข้มหมายถึงการปกป้องรักษา
ของปีสี่อักษร IV อย่างที่พี่โนอาร์ใส่ หมายถึงสี่ สีของปีสี่จะเป็นสีแดงหมายถึงความกล้าหาญเข้มแข็ง
ของปีห้าจะเป็น V ที่หมายถึงเลขห้า สีประจำปีห้าจะเป็นสีน้ำเงินกรมท่าหมายถึงความรับผิดชอบ
ส่วนปีหกซึ่งเป็นปีสุดท้ายจะเป็น VI หมายถึงเลขหก พวกรุ่นพี่ปีนี้จะมีสัญลักษณ์คือสีดำซึ่งหมายถึงราชา เป็นปีสุดท้ายก่อนที่จะก้าวออกไปนอกรั้วโรงเรียนเพื่อทำชื่อเสียงในฐานะราชาที่อยู่เหนือผู้อื่น” คามิเลียพูดออกมายืดยาวพร้อมทำสีหน้าภูมิใจกับโรงเรียนที่ตนเองอยู่
เซนยิ้มให้อีกฝ่ายทว่าไม่มีความภูมิใจเหมือนคนพูด เธอมาอยู่ที่นี่แค่ชั่วคราวเท่านั้น ไม่มีสิทธิจะไปคิดถึงชีวิตที่ต้องอยู่ในโรงเรียนเพื่อเรียนหนังสือเหมือนกับคนอื่น ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมันก็แค่ภารกิจที่ต้องทำให้สำเร็จ เหมือนกับเวลาเล่นสนุกที่พอหมดเวลาก็ต้องทิ้งความสนุกนี้เอาไว้ข้างหลังเพราะฉะนั้นอย่าได้หลงระเริงหรือผูกพันไปกับมัน
ดวงตาสีทองมองรุ่นพี่สาวที่เดินนำไปอย่างอยากรู้อยากเห็น รุ่นพี่คนตรงหน้าที่ใส่เครื่องแบบสีดำคือผู้ที่จะก้าวออกไปทำชื่อเสียงในฐานะราชาที่ทางโรงเรียนเตรียมพร้อมให้ทุกอย่าง แต่ละคนที่จบไปจากโรงเรียนนี้ล้วนแล้วแต่มีชื่อเสียงที่โด่งดังและก้าวขึ้นไปอยู่เหนือใครๆด้วยกันทั้งนั้นเหมือนดัง...ราชา
“เอาละขึ้นลิฟต์ตรงนี้แหละ” รุ่นพี่ดาเลียพูดขณะที่ลิฟต์เปิดออกช้าๆ คนทั้งสามก้าวเท้าเข้าไปในลิฟต์ที่ว่างเปล่าไร้ผู้คนก่อนคามิเลียที่เข้ามาคนสุดท้ายจะกดเลขสิบสองจากยี่สิบชั้น ลิฟต์แก้วที่ตกแต่งอย่างงดงามเคลื่อนตัวขึ้นสู่ด้านบนช้าๆทำให้เซนสามารถกวาดตามองออกไปด้านนอกได้และเห็นห้องโถงแทบจะทั้งหมด
“ที่นี่ไม่มีบันไดหรือ” เซนถามพลางมองไปรอบห้องโถงเพื่อหาสิ่งที่ตนเองต้องการ คนทั้งสองคนได้ยินคำถามนั้นชะงักไปหน่อยก่อนจะยิ้มออกมาทำเอาเซนาเรียสเลิกคิ้วอย่างสงสัยจนรุ่นพี่สาวต้องโบกมือให้เหมือนกับบอกว่าขอโทษอย่าเก็บเอาไปคิดเลยนะ
“ขอโทษนะเพราะไม่มีใครถามถึงบันไดมานานแล้ว ต่างคนต่างก็ใช้ลิฟต์น่ะ ส่วนบันไดที่เธอถามอยู่มุมห้องตรงนู้น” รุ่นพี่สาวพูดแล้วชี้มือไปที่มุมหนึ่งขอห้องโถงซึ่งตรงนั้นมีบันไดที่ปูด้วยพรมแดงเอาไว้แต่ก็ไม่มีใครคิดจะเดินขึ้นตามที่รุ่นพี่สาวพูดจริงๆ
“ไม่มีคนใช้แบบนี้ก็น่าสนุกสิ” เซนพึมพำเบาๆเมื่อเห็นว่าตรงบันไดออกจะลับตาคนไปสักหน่อยเหมาะกับการใช้เวทเคลื่อนที่โดยไม่มีใครเห็น ในเมื่อลิฟต์ก็ยังเร็วไม่ทันใจเธออยู่ดี
เพียงไม่นานลิฟต์ก็มาจอดสนิทอยู่ที่ชั้นสิบสองก่อนประตูจะเปิดออกอย่างนุ่มนวล คนทั้งสามเดินออกจากลิฟต์ รุ่นพี่สาวจะเดินนำไปที่ห้องพักโดยไม่ต้องเหลือบดูป้ายห้องเลยแม้แต่น้อยราวกับว่าเจ้าตัวเดินมาแถวนี้จนเคยชิน
ไม่นานคนทั้งสามก็เดินมาหยุดหน้าห้องหนึ่งทำเอาเซนขมวดคิ้วอย่างสงสัย ทำไมห้องนี้ถึงดูกว้างและใหญ่มากกว่าห้องทุกห้องที่ผ่านมาละ
ป้ายที่ถูกสลักเลข 1212 อย่างสวยงามถูกประดับไว้ข้างๆประตูเพื่อบอกว่าห้องนี้คือห้องที่เท่าไหร่ ตรงใต้แผ่นไม้ที่เป็นเลขห้องมีออดเล็กๆเอาไว้ใช้เรียกคนที่อยู่ในห้องและที่ขาดไม่ได้เลยคือตู้ใส่จดหมายที่เป็นช่องสามช่องเพื่อไม่ให้จดหมายปนกับของเพื่อนร่วมห้องอีกสองคน
“นี่...พูดมาตั้งนานแล้วยังไม่ได้ถามชื่อเธอเลย” คามิเลียถามขณะที่รุ่นพี่ดาเลียหยิบกุญแจออกมาจากกระเป๋า
“เซนาเรียส เรียกว่าเซนก็ได้” เด็กสาวผมชมพูหันไปตอบพร้อมรอยยิ้มหากดวงตาสีทองคมกริบกลับเหลือบไปเห็นรายชื่อของเจ้าของตู้จดหมายทั้งสองช่องเสียก่อน ดาเลีย เมเนส ส่วนอีกตู้มีชื่อ คามิเลีย เดอาน่า
เซนเพียงแค่ขยับยิ้มเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองรุ่นพี่ดาเลียที่ใช้กุญแจแตะกับประตูส่วนไหนก็ได้ประตูก็เปิดออกมาอัตโนมัติ ดูเหมือนว่าเธอจะได้นอนร่วมกับประธานและรองประธานหอหญิงเสียแล้ว เห็นจากตู้จดหมายแล้วเพื่อนร่วมห้องของเธอคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก...
“ลืมบอกไปอีกอย่าง เราสองคนนี่แหละเพื่อนร่วมห้องของเธอ”
•.★*... ...*★.•
หลังจากที่แนะนำตัวกับรุ่นพี่อย่างห้วนๆมาแล้วนักล่าชายทั้งสามก็ได้ย้ายสถานที่เข้ามาในห้องพักสักที ห้องพัก 0902 เป็นห้องพักที่ใหญ่พอควร ในตัวห้องพักมีทั้งห้องครัว ห้องน้ำและก็ห้องนั่งเล่นครบครัน มันถูกแบ่งแยกออกเป็นส่วนๆ แต่ที่น่าสนใจที่สุดคือเตียงสามเตียงที่เรียงกันอย่างเป็นระเบียบตั้งแต่ริมหน้าต่างไล่มา
“เอาละคาไมเคิล นายหรือฉันจะนอนริมหน้าต่าง” ฟรอสถามออกมาพลางมองไปทางเตียงด้านในสุดที่ติดริมหน้าต่างขณะที่เรฟานอฟเดินไปวางเขตอาคมทั่วห้องด้วยตนเองเพื่อกันผู้บุกรุกจากภายนอก ไม่ว่าจะเป็นผู้ประสงค์ดีหรือไม่ดีก็ตาม
“แล้วไม่ถามคุณเรก่อนหรือครับ” คาไมเคิลถามกลับเพราะคนที่มีตำแหน่งสูงสุดในนี้คือนักล่าอันดับหนึ่งและเจ้าตัวก็ควรจะได้เลือกที่นอนก่อนคนอื่น
“หมอนั่นมันไม่ชอบนอนริมหน้าต่างหรอก ปกติไปทำงานกับฉันก็เป็นฉันนี่แหละที่นอนริมหน้าต่างทุกที” ฟรอสอธิบายในเมื่อคนที่เคยออกไปทำงานกับนักล่าอันดับหนึ่งมาก็มีเพียงนักล่าอันดับสองถึงแปดเท่านั้นแหละ แต่อาจจะต้องยกเว้นนักล่าอันดับหกไว้คนเพราะมีเพียงคาไมเคิลเท่านั้นที่ยังไม่เคยออกไปทำงานกับเร
“แถมเหตุผลของหมอนั่นยังหน้าหมั่นไส้อีก หมอนั่นให้เหตุผลว่าเพราะตรงหน้าต่างเป็นที่ๆโดนลอบทำร้ายได้ง่ายสุด” ฟรอสกระซิบด้วยสีหน้ามุ่ยๆเมื่อเห็นว่าเรไม่มีทางได้ยินแน่เพราะมัวแต่วุ่นกับการลงเขตอาคม คาไมเคิลได้แต่ยิ้มแห้งๆ นี่เขาบอกเหตุผลกันแบบนี้เลยหรือ ทว่าต่อให้บอกมาโต้งๆแบบนี้แล้วพวกเขาทำอะไรได้ ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากจะต้องเอาตัวเองไปเสี่ยงชีวิตโดยการนอนริมหน้าต่างตามคำบัญชาของนักล่าอันดับหนึ่ง
“งั้นผม...” แต่ยังไม่ทันที่คาไมเคิลจะตัดสินใจ คนที่ฟรอสบอกว่าไม่ชอบนอนริมหน้าต่างกลับก้าวฉับๆเข้าไปที่เตียงติดริมหน้าต่าง ก่อนจะเอาทั้งชุดนักเรียนและข้าวของของตนเข้าไปเก็บไว้ในตู้ปลายเตียงเหมือนกับจะบอกนักล่าชายอีกสองคนว่าเจ้าตัวจองและจะนอนเตียงนี้ ส่วนพวกนายก็เลือกเอาอีกสองเตียงที่เหลือแล้วกัน
ฟรอสได้แต่เลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ก็หมอนี่มันเคยพูดกับเขาเองนี่ว่าไม่ชอบนอนริมหน้าต่างตั้งแต่ครั้งแรกที่ร่วมงานกันแล้วต้องมีการค้างคืน แถมหมอนี่ยังไม่สนใจไยดีเขาเลยสักนิดเดียว
บางครั้งพอตกกลางคืนก็แอบดอดออกไปทำงานคนเดียว พองานเสร็จก็รีบกลับไปคืนนั้นเลยปล่อยให้เพื่อนร่วมงานอย่างเขางงเป็นไก่ตาแตกเพราะเมื่อตื่นขึ้นมาก็ไม่พบข้าวของของนักล่าอันดับหนึ่งแล้ว พบแต่กระดาษแผ่นเดียวที่เขียนข้อความเอาไว้สั้นๆว่า ‘งานเสร็จแล้ว’ เท่านั้นเอง
พอเขากลับมาจากการทำงานครั้งนั้นเขาก็ลองถามนักล่าอันดับสี่ที่เคยทำงานร่วมกับนักล่าอันดับหนึ่งมาก่อนและเขาก็ได้คำตอบว่าเรก็เป็นแบบนี้แหละ ถ้าอยากจะช่วยงานหมอนั่นก็ต้องตื่นให้ทัน ซึ่งก็ต้องเดาอีกว่าหมอนั่นจะออกไปทำงานตอนไหน แล้วพอเสร็จงานหมอนั่นก็จะรีบตรงกลับเลยไม่รอวันรุ่งขึ้น มันเป็นคำพูดที่ฟรอสอยากจะถอนหายใจเพราะคำแนะนำพวกนั้นก็ต้องเป็นเขานี่แหละที่ต้องปฏิบัติตามเพื่อปรับตัวให้เข้ากับนักล่าอันดับหนึ่งให้ได้
อีกหกเดือนต่อมาเขาก็ได้ทำงานคู่กับเรอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้เขาตื่นทันหมอนั่นอย่างเฉียดฉิวแล้วออกไปล่าแหล่งชุมนุมของปีศาจด้วยกัน ผลปรากฏว่าปีศาจทุกตนถูกกวาดเรียบ เขาเหนื่อยจนแทบลากเลือดแต่นักล่าอันดับหนึ่งที่ไปด้วยกันกลับไม่มีเหงื่อสักหยด ทั้งที่เรจัดการปีศาจไปมากกว่าเขาตั้งเยอะ
เขาอยากรู้ชะมัดว่าครั้งที่แล้วมันบ้าเลือดล่าปีศาจทั้งโขยงนี่คนเดียวไปได้ยังไง อันที่จริงไอ้พวกรอบๆที่นอนตายกันเกลื่อนกลาดไม่สมควรถูกเรียกว่าปีศาจหรอกเพราะว่าคำๆนี้มันสมควรจะให้นักล่าอันดับหนึ่งมากกว่า
พอเสร็จงานแล้วหมอนั่นก็เตรียมกลับทันทีเหมือนกับทุกครั้ง พอเขาถามว่าจะรีบไปไหนหมอนั่นก็ดันตอบกลับมาว่าไม่ใช่เรื่องของนาย มาตอนหลังๆนั่นแหละฟรอสถึงมารู้ว่าที่เรรีบร้อนกลับเพื่อจะไปหานักล่าอันดับสองนั่นเอง
ว่าแต่ทำไมครั้งนี้หมอนี่ถึงเลือกที่จะนอนริมหน้าต่างเล่า...น่าแปลกใจจริงแหะ แต่ฟรอสก็คิดได้แค่นั้นก่อนจะหันไปสนใจจัดของใส่ตู้ของตนเองบ้าง
