กุญแจดอกที่ 11 : ร้านพิศวงกับข่าวร้าย
ลองมองไปรอบๆตัวเธอดูสิ
เธอเห็นความแตกต่างของคนรอบๆกับตัวเธอไหม
ลองคิดสิว่าหากทุกคนเหมือนกันไปหมดมันจะน่าเบื่อแค่ไหน
เพราะฉะนั้นลองทำอะไรที่แตกต่างดูสิ
ลองแหวกกฎเกณฑ์ทุกอย่างออกมา
ลองคิดให้ต่างจากทุกคน
ไม่จำเป็นต้องกลัว
เช่นพวกเราไงล่ะ
ร้านพิศวงยินดีต้อนรับ
•.★*... ...*★.•
ร้านที่ทางสมาพันธ์นักล่าแนะนำมาคือร้านที่ตั้งอยู่กลางเมืองหลวงของรัฐเซรีน ทั้งที่เป็นร้านที่ดูเหมือนไม่มีอะไรน่าสนใจเลยแต่กลับได้ทำเลที่ดีที่สุดใจกลางเมืองหลวง แถมยังเป็นร้านเดียวที่เปิดตอนกลางคืนโดนไม่โดนพวกตำรวจจับอีกต่างหาก
ภายในร้านเต็มไปด้วยขวดโหลที่ใส่ของต่างๆวางเอาไว้มากมาย อย่างเช่นโหลด้านนอกสุดมีดอกเห็ดเป็นจำนวนมาก โหลอีกด้านก็มีน้ำสีต่างกันออกไป นอกจากขวดโหลแล้วภายในร้านก็ยังมีของเก่าอีกเยอะแยะที่ฝุ่นเกาะหนาเตอะเหมือนกับจะเป็นสิ่งยืนยันว่ามันเป็นของเก่าจริงๆ บรรยากาศแบบนี้มันชวนให้ถอยหนีมากกว่าเข้าร้านเสียอีก
นักล่าทั้งสามต่างยืนมองดูประตูร้านด้วยท่าทางแปลกใจ นึกอยากจะหันไปถามคนนำทางนักว่าพาพวกเขามาผิดร้านหรือเปล่า
ฟรอสเป็นคนเดียวที่ดูจะไม่แปลกใจเท่าไหร่เพราะความจริงแล้วเขาแปลกใจไปตั้งแต่ครั้งแรกที่มาแล้วต่างหาก แปลกใจจนเขาบอกกับตนเองว่าหากไอ้ร้านบ้าๆนี่มีเรื่องเพี้ยนๆขึ้นมาอีกเขาก็คงจะไม่แปลกใจอีกแล้ว
“ไม่ต้องทำสายตาแบบนั้น ที่นี่น่ะถูกแล้วนายไม่เห็นป้ายร้านหรือไง” ฟรอสพูดเมื่อเห็นสายตาจับผิดของเรฟานอฟ แต่จะไปว่าเพื่อนหนุ่มก็ไม่ถูกนักเพราะตอนมาครั้งแรกเขาก็เดินวนอยู่ตั้งห้ารอบว่าใช้ร้านนี้จริงหรือเปล่าแม้ว่ามันจะมีป้ายเขียนกำกับไว้อย่างดิบดีก็เถอะ
ดวงตาของแต่ละมองป้ายที่เขียนชื่อร้านเอาไว้ว่า ‘ร้านพิศวง’ ทำเอาเซนขมวดคิ้วเพราะไม่ชอบชื่อนี้เลย
“ทำไมต้องชื่อร้านพิศวงนะ” เด็กสาวผมชมพูเปรยออกมาขณะที่นักล่าอันดับหนึ่งกวาดมองรอบด้านด้วยความระแวง
“มันก็น่าพิศวงนะครับที่ร้านแบบนี้ยังมีในโลก และก็น่าพิศวงอีกเช่นกันที่ของแบบนี้ยังขายได้” คาไมเคิลพูดออกมาอย่างเหนื่อยใจกับบรรยากาศภายนอกร้านที่ชวนให้ถอยหนีเสียเหลือเกิน นึกอยากรู้ขึ้นมาแล้วสิว่าเจ้าของร้านเขาต้องการตกแต่งให้ดูแปลกตาเพื่อเชิญชวนลูกค้าเข้าร้านหรือต้องการไล่ลูกค้าออกจากร้านกันแน่
“แต่ฉันว่ามันน่าพิศวงตรงที่ไม่มีลูกค้าเข้าร้านแต่ร้านก็ไม่เจ้งมากกว่า” ฟรอสพูดเสริมทำเอาทุกคนพยักหน้าอย่างเห็นด้วยยกเว้นเรที่ยังคงสำรวจด้านหน้าร้านไม่เลิก สิ่งที่ฟรอสพูดเนี่ยแหละน่าพิศวงจริง สรุปว่าร้านนี้ควรจะถูกเรียกว่าร้านพิศวงถูกแล้วใช่ไหม
เซนยังคงมองบริเวณหน้าร้านทั้งๆที่เป็นเวลากลางคืนที่ร้านอื่นปิดบริการไปแล้วกลับมีเพียงร้านนี้ร้านเดียวที่ยังเปิดไฟสว่างจ้าอยู่
“เอาละ เข้าไปกันเถอะ” ฟรอสพูดก่อนจะผลักประตูเข้าไปเป็นคนแรกตามมาติดๆด้วยคาไมเคิล เซนรีบคว้ามือเรเอาไว้เพื่อความอุ่นใจก่อนจะเดินเข้าไปพร้อมนักล่าอันดับหนึ่ง
“ยินดีต้อนรับเข้าสู่ร้านพิศวงคุณลูกค้าที่น่ารัก” ทันทีที่เหยียบย่างเข้ามาเป็นก้าวแรกเสียงของชายวัยกลางคนก็ดังขึ้น
ทุกคนต่างมองตรงไปข้างหน้าทำให้พวกเขาเห็นชายวัยกลางคนคนหนึ่งยืนยิ้มมาให้ด้วยท่าทางสบายใจสุดๆ ดวงตาสีม่วงที่ฉายแววยั่วเย้าเปล่งประกายขณะผมสีชาถูกรวบไว้ด้านหลัง
“อ้าว...นึกว่าใครคุณหนูฟรอสที่มาเมื่อวานนี่เอง” ชายตรงหน้าจำฟรอสที่เดินนำเข้ามาก่อนได้ทันที
“ตาลุงเพี้ยนเอ๊ย...” ฟรอสสบถเบาๆอย่างอารมณ์เสียเมื่อได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายใช้เรียกตนเอง
“คนนี้เป็นเจ้าของร้านชื่ออัล” ฟรอสแนะนำตัวเจ้าของร้านให้เพื่อนทั้งสามคนรู้จักเป็นอันดับแรก
“ส่วนทางด้านนี้เพื่อนผมเองชื่อ...” ฟรอสยังไม่ทันแนะนำตัวทุกคนอัลก็โบกมือไม่ให้นักล่าอันดับสามพูดต่อ
“ผมรู้แล้วล่ะครับว่าพวกคุณชื่ออะไรกันบ้าง พอดีทางสมาพันธ์นักล่าแจ้งทางเราเอาไว้แล้วครับแต่ถ้าอยากจะแนะนำตัวกันจริงๆผมก็ยินดีที่จะยืนฟังนะครับ” เจ้าของร้านพูดพร้อมรอยยิ้มกว้างอย่างที่บอกว่าเขายินดีจะยืนฟังจริงๆทำเอาฟรอสคิ้วกระตุก ถ้ารู้แล้วใครเขาจะไปอยากแนะนำตัวซ้ำซากกันเล่า
“งั้นคุณก็รู้แล้วใช่ไหมครับว่าพวกเรามาทำไม” คาไมเคิลถามออกมาเพื่อจะดึงบทสนทนาให้เข้าเรื่องเสียที
“รู้แล้วครับคุณหนูคาไมเคิล” อัลพูดด้วยรอยยิ้มไม่ทุกข์ร้อนทว่ามันกลับทำให้คาไมเคิลขนลุก คุณหนูงั้นหรือ
“คุณอัลไม่ต้องเรียกพวกเราว่าคุณหนูก็ได้นะค่ะ” ขนาดเซนยังอดขนลุกไปด้วยไม่ได้เลย
“แหม...มันเป็นการให้เกียรติลูกค้านะครับคุณหนูเซนคนสวย” พูดพลางทำตาหวานใส่ทำเอาเด็กหนุ่มที่เงียบมาตลอดชักคิ้วกระตุกเพราะเลือดหวงพุ่งขึ้นหน้าในเมื่อตอนนี้เซนไม่ได้ปลอมตัวนี่
คาไมเคิลกับฟรอสได้แค่เสียวสันหลัง ทำแบบนี้เดี๋ยวเรก็...
ฉึก!!
ยังไม่ทันสิ้นความคิดของนักล่าทั้งสองดีด้วยซ้ำมีดเล่มเล็กก็ปักฉึกลงบนพื้นเฉียดเท้าอัลไปไปนิดเดียว ส่วนคนขว้างยังคงยืนนิ่งอยู่ข้างเซนราวกับว่ามีดนั่นไม่ใช่ฝีมือของตน อัลอดจะกลืนน้ำลายลงคอไม่ได้ ใครเป็นคนขว้างเขาไม่รู้เพราะเขาไม่เห็นแม้แต่ตอนปามีดเลยด้วยซ้ำ
“จะเข้าเรื่องได้หรือยัง” เสียงเย็นเยียบดังมาจากเด็กหนุ่มผมดำทำเอาบรรยากาศภายในร้านดูวังเวงว่าเดิม อัลสังเกตว่าพอเด็กหนุ่มคนนี้พูดขึ้นมาทำให้ทุกคนยอมนิ่งฟังได้ไม่เว้นแม้แต่ฟรอสที่ชอบโวยวาย คนๆนี้คือเรฟานอฟสินะและน่าจะมีอันดับเหนือคนทั้งสามด้วย
“ลูกค้าอย่างพวกคุณหนูเชิญหลังร้านดีกว่านะครับ” อัลพูดพร้อมรอยยิ้มที่ยังเกลื่อนอยู่บนใบหน้าพลางชวนทุกคนเดินตามเขาเข้าไปหลังร้านราวกับเมื่อกี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งที่ความจริงเขาอดจะขนลุกขึ้นมาไม่ได้
เมื่อกี้ถ้าคนปาตั้งใจให้ปักลงบนเท้าเขาแทนที่จะเฉียดไปแบบนั้น อัลไม่อยากคิดเลยว่าเท้าของเขามันจะออกมาสภาพไหน
“ปกติลูกค้าที่มีรูปดอกกุหลาบติดตัวพวกเราจะต้อนรับกันหลังร้านนะครับ” ชายหนุ่มพูดอย่างร่าเริงก่อนจะก้าวไปเปิดประตูด้านหลังร้านอย่างอารมณ์ดี
ทุกคนต่างเดินตามหลังอัลเข้าไปแล้วก็ต้องตกตะลึงไม่เว้นแม้แต่ฟรอสเพราะเขายังไม่เคยเข้ามาหลังร้าน
ด้านหน้าร้านกับด้านหลังร้านมันช่างต่างกันลิบลับเพราะด้านหน้าร้านนี้ขายของไร้สาระบังหน้าทว่าด้านหลังกลับเป็นที่ซ้อมรบครบครันที่มีทั้งอาวุธ ตำราเวทมนตร์หรือแม้แต่พวกยาสมุนไพรหายากขาย
แค่เห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่หลังร้านก็เป็นตัวบอกได้แล้วว่าที่นี่อยู่ได้ด้วยลูกค้าที่มีเวทมนตร์ไม่ใช่ลูกค้าที่เป็นผู้ไร้เวท สมกับเป็นร้านที่สมาพันธ์แนะนำจริงๆ
“แล้วทำไมต้องมาเปิดร้านตอนกลางคืนด้วยละค่ะ” เซนถามออกมาขณะที่คนอื่นมัวแต่สำรวจห้อง ที่นี่อาจจะมีอาวุธผิดกฎหมายก็จริงแต่นักล่าอันดับสองไม่เชื่อหรอกว่าที่คนตรงหน้าเปิดร้านตอนกลางคืนเพราะหนีพวกตำรวจ ในเมื่อดูจากทำเลที่ดินของร้านและอาวุธมากมายพวกนี้แล้วร้านนี้น่าจะมีผู้หนุนหลังเป็นคนใหญ่คนโตทีเดียวและอีกอย่างตำรวจบ้านไหนจะมาสงสัยร้านที่ฉากหน้าเป็นร้านขายของเก่าที่ชวนให้ถอยหนีกัน แถมการเปิดร้านตอนกลางคืนนี่แหละที่เป็นตัวเรียกตำรวจอย่างดี
“แหมก็มันดูดีจะตายไปที่มีเพียงร้านเราเท่านั้นที่เปิดไฟท่ามกลางความมืดมิดในขณะที่ร้านอื่นปิดหมด หรือคุณหนูไม่คิดแบบนั้นหรือครับ” เซนได้แต่ยิ้มแห้งๆตอบรับเหตุผลนั่นขณะที่ฟรอสพึมพำออกมาว่า ‘เหตุผลเพี้ยนๆอีกแล้ว’
คาไมเคิลดูจะสนใจที่นี่มากเพราะนักล่าอันดับหกเลือกที่จะลองเดินไปรอบๆแม้จะรู้ว่าต่อให้เดินสี่ชั่วโมงก็คงยังสำรวจที่นี่ไม่รอบหรอก
“ไม่ได้เพี้ยนนะครับ มันก็แค่เป็นความคิดนอกกรอบเท่านั้น มันออกจะน่าเบื่อไปสักหน่อยที่มีแต่พวกคิดในกรอบจริงไหมครับคุณหนูทั้งหลาย” อัลที่ได้ยินคำพูดของฟรอสรีบแก้ต่างให้ตนเอง แต่ฟรอสกลับร้องเหอะออกมาพลางคิดในใจ ก็คนเพี้ยนที่ไหนเล่าจะยอมรับว่าตนเองเพี้ยน
“ทำไมทางสมาพันธ์ถึงให้มาหานาย” เสียงเย็นของเรถามเพื่อดึงให้ทุกคนกลับเข้าเรื่องเป็นครั้งที่สอง
“อ้าว...คุณหนูทั้งหลายไม่ได้มาขอความช่วยเหลือจากผมหรือครับ” เพียงแค่ได้ยินคำพูดของตาลุงที่ยืนอยู่ข้างหน้า เรก็คว้าแขนเซนาเรียสเตรียมจะหมุนตัวเดินออกจากร้านในทันทีโดยไม่สนความตั้งใจเดิมว่าพวกเขามาที่นี่ทำไม ร้อนถึงเจ้าของร้านจอมเพี้ยนที่ต้องรีบรั้งเอาไว้ก่อนที่ลูกค้าจะออกไปจากร้านจริงๆ
“ผมล้อเล่นครับ คุณลูกค้านี่ไม่มีอารมณ์ขันเสียเลย” ฟรอสอยากจะหักคอไอ้คนพูดนัก คิดออกมาได้ยังไงไอ้อารมณ์ขันเพี้ยนแบบนี้ ถ้าเกิดเมื่อกี้รั้งเรไว้ไม่ได้แล้วหมอนี่พาเซนกลับขึ้นมาจริงๆจะทำยังไงเล่า อีกอย่างเรก็ไม่อยากจะมาที่นี่ตั้งแต่แรกอยู่แล้วด้วยยังดันไปบอกว่าพวกเขามาขอความช่วยเหลืออีก เมื่อกี้ถ้าเซนไม่รั้งไว้ให้ละก็หมอนี่คงจะใช้เวทกลับไปโรงเรียนโดยไม่สนใจใครแล้ว
“ว่ามา” เสียงเย็นยะเยือกกว่าคราวใดถูกเปล่งออกมาพลางจ้องหน้าอัลที่ยังคงยิ้มให้
“ทางสมาพันธ์ติดต่อมาทางร้านเราว่าถ้าท่านต้องการอะไรก็ให้มาบอกเรา ทางเราจะเป็นคนจัดหาของที่พวกท่านต้องการในทันที อีกทั้งถ้าพวกท่านต้องการข้อมูลอะไรก็ติดต่อมาทางพวกเราได้เช่นกัน ในช่วงที่พวกท่านอยู่ที่นี่พวกเราจะเป็นคนคอยช่วยเหลือพวกท่านเอง” อัลร่ายยาวแต่มันทำให้เซนขมวดคิ้ว
“พวกเราหรือ...” เสียงหวานทวนอย่างติดใจ นอกจากชายตรงหน้าแล้วยังมีพนักงานประจำคนอื่นอีกหรือ
“ผมยังไม่ได้บอกสินะครับว่าร้านนี้นอกจากผมแล้วยังมีพนักงานอีกห้าคนครับ แต่วันนี้พวกเขาติดธุระกันหมด” อัลอธิบายพร้อมรอยยิ้มแต่จนแล้วจนรอดเรก็ยังไม่เชื่อใจคนตรงหน้าอยู่ดี
“แหมคุณหนูเรฟานอฟอย่าจ้องผมแบบนั้นสิครับ ผมเชื่อใจได้นะขอบอก” อัลพูดออกมาเสียงใสพลางยืดอกและทำตัวให้ดูเหมือนว่าตนเองใสซื่อแต่มันก็ยังไม่น่าไว้ใจอยู่ดี ทว่าคำพูดนั้นกลับทำให้จิตสังหารที่เต็มไปด้วยความกดดันจากร่างสูงพุ่งเข้าหาเจ้าของร้านจอมเพี้ยนทันทีบ่งบอกว่าเจ้าของจิตสังหารกำลังไม่พอใจสุดๆ ดวงตาสีนิลที่เคยเย็นชาทอแววอำมหิตออกมาก่อนเสียงที่ยิ่งเย็นเข้าไปใหญ่จะเอ่ยขึ้น
“เก็บคำว่าคุณหนูของนายไปซะ” ท่าทางที่แสดงออกและจิตสังหารพวกนั้นเป็นการข่มขู่ที่ได้ผลดีมากเพราะอัลรีบพยักหน้าให้อย่างรวดเร็ว ก็เขาไม่อยากตายก่อนวัยอันควรนี่ ชีวิตหนุ่มของเขายังมีเรื่องให้เผชิญเยอะแยะจนไม่น่าเบื่อเลย
“นายมันไม่น่าไว้ใจ” เรประกาศก้องทำเอาอัลถึงกับแข็งทื่อ เขาเจอลูกค้ามามากมายแม้อีกฝ่ายจะแอบคิดในใจยังไงแต่ยังไม่มีใครเคยพูดออกมาตรงๆเลยว่าเขาไม่น่าไว้ใจ
“ว่าแต่ข่าวร้ายที่คุณจะบอกเราคืออะไรหรือครับ” คาไมเคิลถามออกมาตัดหน้าเรที่ชักจะอารมณ์เสีย ขืนยังปล่อยให้คนตรงหน้าพล่ามต่อลุงจอมเพี้ยนคนนี้คงได้นอนตายอยู่ในร้านของตนเองอย่างอนาถเป็นแน่ แล้วอีกอย่างวันนี้ที่พวกเขามาก็เพื่อมาถามเรื่องนี้
“ฉันมันไม่น่าไว้ใจขนาดนั้นเลยหรือ...” เสียงจากปากของอัลวนไปวนมาอยู่แบบนั้นดูแล้วเจ้าตัวคงช็อกน่าดู นี่พวกเขาควรจะบอกตาลุงคนนี้ดีไหมเนี่ยว่านักล่าอันดับหนึ่งก็ไม่เคยเห็นจะไว้ใจใครเลยนอกจากนักล่าอันดับสอง เอาเถอะถ้าถามคำถามไปอีกทีแล้วลุงนี่ได้สติก็คงไม่ต้องอธิบายหรอก
“ตกลงข่าวร้ายคืออะไร” ฟรอสถามย้ำแทนคาไมเคิลที่ชักจะเบื่อหน่ายกับนิสัยเพี้ยนๆนี่แต่อัลก็ยังคงพึมพำราวกับคนไม่ได้สติจนพวกเขาชักหงุดหงิด พวกเขาน่าจะปล่อยให้เรจัดการฆ่าหั่นศพคนตรงหน้าไปซะ
“ตกลงข่าวร้ายคืออะไรคะ” เซนเดินเข้าไปใกล้พลางถามออกมาทำให้อัลหันมายิ้มให้โดยทันที
“อ๋อ...ข่าวร้ายหรือครับ...งั้นมาตั้งใจฟังกันดีกว่า” คำพูดของอัลทำเอาฟรอสอยากฆ่าคนขึ้นมาตงิดๆ ได้ข่าวว่าเมื่อกี้เขาก็ถามเหมือนเซนเปะๆเลยแต่คนตรงหน้าก็ดันไม่ตอบคำถามเขา
“งี่เง่า” เสียงเย็นของเรประณามแต่อัลกลับหัวเราะบ่งบอกว่าเขาไม่สนใจคำต่อว่านั่น
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับแค่จะบอกว่าที่นี่มีกฎหมายเกี่ยวกับผู้ใช้เวทอยู่ ซึ่งคนที่ตั้งกฎและควบคุมกฎคือสมาพันธ์ควบคุมนักเวทครับ” ตาลุงจอมเพี้ยนเริ่มเข้าเรื่องเป็นการเป็นงานทำให้ดูน่านับถือขึ้นมาหน่อย
“ผู้ใช้เวทที่นี่จะต้องมีบัตรประจำตัวเพื่อยืนยันว่าได้รับรองจากสมาพันธ์นักเวทแล้ว สำหรับคนที่ไม่มีบัตรแต่ยังดึงดันจะใช้เวทจะต้องถูกกำจัดทันที” อัลอธิบายพร้อมรอยยิ้มแต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าต่อให้สี่คนตรงหน้าไม่มีบัตรและยังดึงดันจะใช้เวททางสมาพันธ์ก็ไม่น่าจะทำอะไรได้อยู่ดี
“แค่นี้เป็นข่าวร้ายตรงไหนเนี่ย” ฟรอสโวยวายออกมาอย่างหัวเสีย ข่าวแค่นี้ให้เขาเอาไปบอกพวกนี้ตั้งแต่เมื่อวานไม่ต้องถอดสังขารมาถึงที่นี่ก็ได้
“เอ๊ะ...ผมยังบอกไม่หมดเลยคุณหนูฟรอสมาสรุปเองแบบนี้ได้ยังไง” ชายวัยกลางคนลอยหน้าลอยตาพูดอย่างสบายใจ
“ผมแค่อธิบายให้ฟังยังไม่ทันได้เข้าเรื่องเลย คุณหนูฟรอสนี่ไร้ความอดทนสิ้นดี” ฟังคำพูดนี้แล้วอยากจะขอถอนความคิดเมื่อกี้คือจริงๆ ไอ้ลุงนี่ไม่มีวันน่านับถือขึ้นมาได้หรอก
เรเริ่มหมดความอดทนขึ้นทุกทีทำเอาเซนต้องบีบมือคู่หมั้นของตนเองเอาไว้เพื่อเตือนสติ เรจะฆ่าคนไม่ได้นะโดยเฉพาะคนที่ทางสมาพันธ์ส่งมาเพื่อช่วยงานพวกเรา
“จะเข้าเรื่องจริงๆได้หรือยัง” เรเอ่ยถามพร้อมดวงตาสีนิลที่หรี่ลง เขาให้สัญญากับตนเองว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะถาม...ใช่ครั้งสุดท้ายจริงๆเพราะครั้งหน้าเขาจะลงไม้ลงมือเพื่อระบายอารมณ์แทนแล้ว
อัลต้องรีบกระแอมก่อนจะพาเข้าเรื่องทันที ก็เด็กหนุ่มคนนี้น่ากลัวน้อยที่ไหนเล่าดูสิขนาดคุณหนูฟรอสกับคุณหนูคาไมเคิลยังไม่กล้าขัดใจเลย
“สรุปก็คือถ้าพวกคุณอยากอยู่ที่นี่อย่างสงบสุข พวกคุณก็ต้องไปเข้ารับการทดสอบที่สมาพันธ์นักเวทในวันหยุดที่จะถึงนี่ เงื่อนไขคือต้องอยู่ในร่างของเด็กอายุสิบสอง” คำพูดสรุปทั้งหมดทำเอาฟรอสอยากจะโวยวายออกมา แค่พูดประโยคพวกนี้ออกมาตั้งแต่ทีแรกก็จบจะพูดมากออกมาทำไม
เดี๋ยว...เมื่อกี้หมอนี่ว่าไงนะ!!
“เฮ้ย...ประโยคหลังสุดนายพูดผิดหรือเปล่า” ฟรอสท้วงและหวังว่าตาลุงเพี้ยนนี่จะพูดผิดจริงๆ
“ไม่หรอกครับคุณหนูฟรอส ผมพูดถูกทุกคำพูดเลยครับ เพราะการทดสอบครั้งนี้รับแต่เด็กอายุสิบสองครับ” นี่สินะ...นี่สินะข่าวร้ายที่ตาลุงจอมเพี้ยนพูดถึง บ้าเอ๊ย...บ้าที่สุด!! ในใจของฟรอสร่ำร้องดังลั่นทว่าสีหน้าเจ้าตัวกลับยังไม่เปลี่ยนเพราะตามอารมณ์ของตนเองไม่ทัน
“เอ๋...นี่ยังไม่ใช่ข่าวร้ายของพวกคุณอีกหรือ งั้นมาทำให้มันเป็นข่าวร้ายโดยการเปลี่ยนเป็นเด็กแล้วสลับเพศด้วยดีไหมครับ” แต่ละคนพร้อมใจกันมองหน้าไอ้คนเสนอแนวคิดปัญญาอ่อนให้อย่างกินเลือดกินเนื้อ สายตาแต่ละคนบอกเป็นคำพูดเดียวกันว่า คำแนะนำนั่นแกเอาไปทำเองเถอะ
ให้ตายสิไม่ว่าจะเป็นตัวร้านหรือเจ้าของร้านก็เพี้ยนกันไปหมดจริงๆ สรุปแล้วไอ้ร้านบ้าๆนี่มันไม่มีชื่อไหนจะดีไปกว่าชื่อร้านพิศวงอีกแล้วละ
