ตอนที่24 สิ่งที่ปกปิด
“ได้ไงอะ พี่ครีม ทำไมทำแบบนี้คะ?” เสียงโวยวายที่ดังมาจากห้องนั่งเล่นทำให้ราชนาวีที่ขลุกอยู่ในครัวเพื่อเตรียมมื้อเย็นไว้รอลูกสาวสุดที่รักต้องเดินออกมาดู หลังจากที่ไปเยี่ยมน้องสาวแล้วได้รู้ว่ารวิปรียาไม่เป็นอะไรมากแต่ก็ต้องพักผ่อนทั้งคู่จึงไม่รบกวนเวลาพักผ่อนของผู้กองสาว ฝากให้ผู้กองอาทิตย์ช่วยดูแลแล้วก็กลับมา
รัมภาภัสร์ยังยืนคุยโทรศัพท์อยู่ในชุดเดิมที่ใส่มาแล้วทั้งวัน ใบหน้าดูส่อแววว่าไม่พอใจจนราชนาวีนึกสงสัย
“โอเค เชิญตามสบายเลย” รัมภาภัสร์บอกแก่ปลายสายโทรศัพท์ซึ่งก็คือผู้เป็นพี่สาวอย่างไม่พอใจเล็กน้อยก่อนจะวางสาย
“มีอะไรหรือเปล่าคุณ?”
“พี่ครีมพาหนูเล็กไปพัทยาด้วยแล้วก็เลยไปสัตหีบ คืนนี้พ่อครามขอให้พี่ครีมค้างที่บ้านส่วนหนูเล็กคุณปู่คุณย่ามาอ้อนให้ไปนอนด้วยก็เลยพากันค้างที่สัตหีบทั้งคู่เลย จริง ๆ เล้ย ไปคุยกันอีท่าไหนหนูเล็กถึงโดดโรงเรียนไปด้วยแบบนี้ก็ไม่รู้ พาลูกเขาไปไม่บอกเขาสักคำเลยพี่ครีมน่ะ” เขาไม่แน่ใจว่าเธอบอกเขาหรือว่าบ่นให้ฟังกันแน่แต่เขาก็พอจะเข้าใจเหตุการณ์ได้ว่าในตอนนี้เพื่อนและลูกสาวของเขาอยู่ที่สัตหีบ โดยที่ยัยหนูรัมภาวีร์นั้นถูกพ่อแม่เขาฉกไปจากตากับยายเรียบร้อยแล้ว
“อย่าโมโหนักเลยรุ้ง ครีมพาหนูเล็กไปด้วยก็ดีนะ ลูกมาอยู่นี่เป็นเดือนแล้วทางโน้นเขาพากันคิดถึงจะแย่ หนูเล็กเองก็คงคิดถึงคนทางโน้นขึ้นมาบ้างเหมือนกันล่ะถึงได้ยอมไปกับครีมด้วย” ชายหนุ่มพยายามพูดให้หญิงสาวใจเย็นลง
“แล้วถ้าหนูเล็กแกอยากอยู่โน้นเลยล่ะ ฉันก็ต้องกลับสิ ก็ไม่ต่างอะไรกับผิดคำพูดที่ให้แฟนคุณไว้สิ ฉันไม่อยากเป็นคนผิดพูด” ถึงจะเห็นด้วยว่าลูกสาวคงคิดถึงปู่ย่าตายายอยู่มากแต่ถ้าเกิดว่าคนทางโน้นพากันหว่านล้อมจนเด็กหญิงรัมภาวีร์ยอมกลับไปไม่อยู่ที่นี่ต่อล่ะ เธอเองก็คงจะต้องกลับไปหาลูกด้วย แล้วถ้ากลับไปนั่นก็ไม่เท่ากับเธอผิดคำพูดที่ให้ไว้กับพีรมาหรือ
การผิดคำพูดคือสิ่งที่รัมภาภัสร์และครอบครัวเคร่งครัดมาก ตั้งแต่เล็กจนโตเธอและน้อง ๆ ถูกสอนมาว่าอย่าสัญญาถ้าไม่คิดว่ารักษาได้ อย่าผิดคำพูดกับใครถึงแม้ว่าคน ๆ นั้นจะไม่หวังดีกับเรา คนที่ผิดคำพูดของตัวเองเป็นคนที่เชื่อถือไม่ได้ ไม่มีสัจจะ เกิดมาทั้งทีอย่าเป็นคนที่ไม่มีสัจจะ
“ถึงหนูเล็กอยากกลับก็ไม่ง่ายแบบนั้นหรอก ลูกเพิ่งเข้าโรงเรียนใหม่ ย้ายกลับตอนนี้ท่าจะไม่เหมาะ ผมเลยคิดว่าจะให้ลูกเรียนที่นี่สักเทอม” ชายหนุ่มบอกถึงความคิดที่เพิ่งจะคิดขึ้นมาได้ตอนที่เลือกซื้อของกลับมาทำกับข้าว
“อย่าคิดมาก ไปอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวเราจะได้ทานข้าวเย็นกัน”
“อือ” เธอตอบกลับสั้น ๆ แล้วก็ก้าวไปยังห้องนอนโดยไม่แสดงท่าทีผิดปกติอะไร แต่ราชนาวีกลับรู้สึกว่าคำตอบรับในลำคอของหญิงสาวดูสั่น ๆ ไม่ปกติแต่เมื่อห้องถูกปิดและล็อคลูกบิดชายหนุ่มจึงได้แต่มองด้วยความเป็นห่วงและกลับไปทำมื้อเย็นสำหรับสองคน
ภายในห้องรัมภาภัสร์ยกมือขึ้นกุมขมับเมื่ออาการหน้ามืดกลับมาเล่นงานเธออีกครั้ง หญิงสาวพยายามฝืนตัวเองไม่ให้หมดสติไปต่อหน้าชายหนุ่มและรีบกลับเข้ามาภายในห้อง เธอก้าวเดินไปที่เตียงก่อนที่ทรุดลง
“อย่าทำแบบนี้สิตัวเล็ก”
มือบางลูบหน้าท้องแบนราบเบา ๆ ก่อนที่จะทิ้งตัวลงนอน ใช่ เธอกำลังท้อง เธอรู้มาตั้งแต่ก่อนพีรมาจะมาหาเสียอีก แต่ก่อนนั้นเธอไม่เคยแสดงอาการอะไรออกมาเลยมีเพียงอารมณ์ที่แปรปรวน ทานเยอะและรอบเดือนขาดไปเท่านั้น แต่ตั้งแต่ที่ราชนาวีมาอาการคลื่นไส้อาเจียน วิงเวียน หน้ามืดก็เกิดขึ้น แม้จะไม่มีอาการแพ้ทุกอย่างที่ขวางหน้าเหมือนครั้งที่ท้องหนูน้อยรัมภาวีร์แต่อาการที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ใช่ว่าจะสร้างความสงสัยให้ชายหนุ่มไม่ได้
ชายหนุ่มเป็นคนช่างสังเกต หูไวตาไว ขืนเจ้าตัวเล็กในท้องยังก่อกวนเธอแบบนี้ชายหนุ่มได้รู้แน่ ๆ และนั่นก็จะเป็นเรื่องใหญ่ พ่อแม่ของเขารวมถึงพ่อและแม่ของเธอคงไม่ยอมลงให้กับความดื้อดึงของเธอแน่ และทุกคนจะต้องกดดันให้เธอกลับไปอยู่ที่บ้านแน่นอน เพราะอารมณ์คนท้องหรือเพราะเธอยังยึดติดกับคำคนก็ไม่แน่ใจที่ทำให้เธอไม่อยากถูกพีรมาตราหน้าว่าเอาลูกมารั้งชายหนุ่มไว้
หญิงสาวไม่ได้คิดจะปกปิดไปตลอดเพราะรู้ดีว่าไม่มีทางสำเร็จ แต่เพียงแค่ให้ผ่านช่วงเวลาที่เธอตกลงไว้กับพีรมาไปก่อนก็เท่านั้น ก็ออกจะใจร้ายกับราชนาวีไปสักหน่อยแต่ตอนนี้เธอก็งี่เง่าเกินกว่าจะยอมให้พีรมามาตราหน้าว่าเธอแบบนั้น
“แม่มันงี่เง่า แต่หนูเข้าใจแม่นะลูก แม่ยังให้พ่อหนูรู้ไม่ได้”
“เพื่ออะไรกัน?” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหน้าประตู หญิงสาวถึงกับสะดุ้งตกใจลุกขึ้นนั่งเมื่อเห็นว่าประตูเปิดอยู่ ซ้ำร้ายราชนาวียังยืนอยู่ตรงนั้นด้วย เธอล็อคประตูแล้วไม่ใช่เหรอ? เขาเข้ามาได้ยังไงกัน
“คุณเข้ามาได้ยังไง?”
“เพื่ออะไร ตอบก่อนสิ?” ราชนาวีตวาดกลับพร้อมกับย่างสามขุมมาหา “ตอบมา”
“ฉันกลัวคุณจะบอกพ่อแม่ แล้วเราก็ต้องกลับไป ฉันไม่อยากให้พีรมาว่าฉันเอาลูกมารั้งคุณไว้ คุณเข้าใจไหม เข้าใจความรู้สึกฉันหรือเปล่า” เมื่อราชนาวีระเบิดมา คนอารมณ์แปรปรวนก็ลุกขึ้นระเบิดกลับ เธอรู้ว่ามันออกจะงี่เง่าที่เธอยึดติดกับเรื่องนี้ แต่ในตอนที่พีรมาพูดว่าเธอเอาลูกมารั้งราชนาวีไว้ มันทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกด่าว่าหน้าด้าน ผู้ชายไม่สนใจแต่ก็ยังเอาลูกมาเรียกร้องความสนใจ
“มันเหมือนกับถูกด้านว่าไร้ยางอาย เอาลูกมาเป็นเงื่อนไขให้ผู้ชายยอมอยู่ด้วย ตอนที่ผู้หญิงคนนั้นพูดฉันรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ นะ ตอนนี้ก็ยังรู้สึก”
ราชนาวีนิ่งไปก่อนที่อึดใจต่อมาอารมณ์ฉุนเฉียวเมื่อครู่ก็จางลง ชายหนุ่มยื่นมือไปรวบร่างบางเข้ามากอดพร้อมกับลูบหลังอย่างอ่อนโยน
“ไม่เป็นไรนะ ใจเย็น ๆ ผมเข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว”
“ไม่เข้าใจหรอก ไม่เข้าใจฮึก” ทั้งที่เมื่อครู่ยังโมโหแต่ตอนนี้กลายเป็นว่ารัมภาภัสร์เปลี่ยนเป็นเด็กขี้แยไปแล้ว หญิงสาวร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหลอย่างไม่อาย ทั้งที่ปากบอกว่าเขาไม่เข้าใจแต่ใจกลับเชื่อและซาบซึ้งจนน้ำตาไหล
“เข้าใจสิ ผมเข้าใจแล้ว ในเมื่อคุณไม่สบายใจเราจะยังไม่บอกใครโอเคไหม ผมจะไม่บังคับให้คุณกลับสัตหีบจนกว่าหนูเล็กจะปิดเทอมเลย ไม่ร้องนะ นี่แม่หรือลูกเนี่ยขี้แย”
“สัญญานะ”
“สัญญา แต่ต่อไปมีอะไรอย่าปิดบังกันนะ โต ๆ กันแล้วเราเป็นสามีภรรยากันอย่าปิดกันแบบนี้อีก” ชายหนุ่มบอกและก็ผละออกจากร่างบาง ยื่นมือมาเกี่ยวก้อยสัญญา บรรยากาศภายในห้องที่ก่อนนี้เต็มไปด้วยความเคร่งเครียดจางลงไปในพริบตาก่อนที่ราชนาวีจะชวนหญิงสาวออกไปทานอาหารมื้อเย็น
