15 บวชก่อนเบียด
3 วันต่อมา
สู่ขวัญเตรียมตัวเข้าพิธีบวชชีพราหมณ์แบบเรียบง่าย หากแต่ต้องมีพิธีที่พิเศษขึ้นมาหน่อย คือมีการจัดขบวนแห่ โปรยเหรียญโปรยทาน เหมือนกับการบวชพระ
เหตุผลที่เธอต้องการให้เป็นแบบนั้น ก็เพราะว่า...ต้องการให้คนรู้กันทั้งจังหวัด เพื่อเป็นแต้มต่อในการขู่มารดา
ขู่ว่า...ถ้าท่านทำอะไรที่เป็นการบังคับใจ เธอจะบวชตลอดชีวิตแน่ และถ้าเธอทำแบบนั้น คนเขาก็จะรู้กันทั่ว และครหากันหนาหู และแน่นอนว่าสร้อยทองผู้เพียบพร้อม จะไม่มีวันยอมให้เกิดเหตุการณ์พวกนั้น
“เอาจริงเหรอเนี่ย” สู่ขวัญเอ่ยขึ้น เมื่อมองจากหน้าต่างห้องนอนตัวเองและเห็นขบวนแห่ ที่จัดมาเป็นพิเศษได้เคลื่อนเข้ามาในบริเวณหน้าบ้านผู้ใหญ่สา
มีรถแห่ มีคนเยอะแยะมากมาย ที่สำคัญพวกคนมาทำผมแต่งหน้าให้เธอ พูดกันว่าเหรียญโปรยทานจากเหมันต์ เป็นธนบัตร 100 บาท ทั้งหมด ผู้คนก็เลยยิ่งมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก
เธอออกมาจากวัดมาตั้งแต่เช้ามืด เพื่อเตรียมตัว...และเพิ่งจะได้โผล่หัวออกมาจากห้องนอน ที่ถูกจัดให้เป็นห้องแต่งตัวชั่วคราว
ไม่ได้เป็นเจ้าสาว แต่ต้องเตรียมพิธีการหลายอย่าง แม้จะไม่อยากให้มันออกมาเป็นแบบนี้ แต่ทำอย่างไรได้ เธอเป็นคนเสนอไปนี่นะ
“เราจะมีการนั่งรถ พร้อมแห่ไปรอบหมู่บ้าน ก่อนจะเข้าวัดแล้วทำการบวชชีพราหมณ์ถือศีล” เสียงพิธีกรในงานอธิบายขั้นตอนของงานอย่างคล่องแคล่ว ผ่านลำโพงตัวใหญ่ที่ถูกติดจนรอบบ้าน เสียงดังชัดแจ๋ว
“โดยตลอดทางจะมีการโปรยเหรียญโปรยทาน...มีเครื่องบวชน่ารักๆ เป็นพานดอกไม้ ธูปเทียน ฝ้ายผูกข้อมือ บายศรี ที่...ไม่เคยเห็นในงานบวชชีพราหมณ์มาก่อน”
เสียงของพิธีกรลอยห่างออกไปในทันที ที่เห็นร่างหนึ่งปรากฏ...
“เฮ้ยแก นั่นมันคุณเหมนี่!” เสียงตื่นเต้นของสาวๆ ผู้ชอบความสนุกสนาน มีงานบ้านไหนต้องไปประจำ จากด้านล่าง ทำให้เธอต้องหันไปมองตาม และก็พบว่า...
“มาจริงด้วย”
เหมันต์มาพร้อมกับขบวนลูกน้องสวมกางเกงสีดำ กับเสื้อยืดลายดอกเหลือง อีก 20 กว่าชีวิต ยิ้มทักทายผู้คนด้วยภาพลักษณ์ที่เป็นมิตรกว่าปกติ
“เอามาทำไมเยอะแยะ” แล้วเธอก็จำต้องเดินผลุบเข้าไปในห้อง เพราะมีเสียงเรียกดังมาจากหน้าห้อง ให้ลงไปเตรียมตัวด้านล่าง
สู่ขวัญเดินลงมายังห้องโถงใหญ่กลางบ้าน ที่จัดเป็นแท่นพิธีสู่ขวัญก่อนบวช มีป้ายผ้าเขียนชื่อเธอ ระบุข้อความหนึ่งที่ทำเอาเธอถึงตาโตใหญ่
‘งานบวช (ก่อนเบียด) แพทย์หญิงสู่ขวัญ’
“ใครเป็นคนสั่งให้ทำป้ายแบบนั้น” เธอหันไปมองเชอรี่ ช่างแต่งหน้า ที่เดินตามลงมาและช่วยแต่งตัวให้เธอตั้งแต่เช้าตรู่
“ก็คุณเหมไง แกเป็นเจ้าภาพ...แกสั่งอะไร พวกเราก็ทำตามนั้นแหละเธอ” เชอรี่เป็นเจ้าของร้านเสริมสวยชื่อดังในอำเภอ ที่รับจัดงานฉลองทุกประเภทอย่างมืออาชีพ
“อ้าว หมอขวัญมาแล้ว...เชิญทางนี้เลยจ้ะลูก” สร้อยทองผู้ปั้นหน้ารับแขก ยิ้มแย้ม เดินมาจูงแขนบุตรสาว ที่อยู่ในชุดเสื้อและกระโปรงสีขาวแบบปฏิบัติธรรม แต่ยังไม่ได้ห่มสไบ เพราะรอไปห่มหน้าพระประธานใหญ่ ตอนขอบบวชอย่างเป็นทางการ
“คิดดีทำดีมากค่ะหมอขวัญ เป็นตัวอย่างให้ผู้หญิงยุคใหม่ได้เป็นอย่างดี คิดบวชสร้างสมบารมีก่อนแต่งงาน ยุคนี้แล้วจะให้แต่พวกผู้ชายบวชก่อนเบียดได้ฝ่ายเดียว มันก็คงจะล้าหลังไปแล้วโข”
เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าดังเจ้าเด็ดของจังหวัด ‘กิมจันชามเตี๋ยว’ ที่มีคนมาต่อคิวรับประทานวันละมากกว่า 1000 คน จีบปากจีบคอพูดอย่างมีจริต หากแต่ออกมาจากใจ
“จริงค่ะ มันทำให้คนมีลูกสาวแต่ไม่มีลูกชายอย่างอิฉัน รู้สึกสมปรารถนา ก่อนจะได้เห็นลูกเป็นฝั่งเป็นฝา...ก็ได้เห็นแกบวชก่อน” สร้อยทองรับคำชื่นชมนั้นอย่างเป็นโอกาสในการย้ำเรื่องงานแต่งงานของบุตรสาวเข้าไป จนคนที่แม้จะอยากดื้อแพ่งแค่ไหน
แต่ในคราวที่ผู้คนเยอะขนาดนี้ เธอคงหักหน้ามารดาไม่ลง
“ขอบคุณคุณป้ามากเลยนะคะ ที่มาร่วมงานของขวัญ” มิหนำซ้ำ เธอยังต้องเอ่ยขอบคุณแขกทุกคนอย่างมีมารยาท ยิ้มโปรยปราย ราวกับไม่มีเรื่องขุ่นใจให้มัวหมอง
ทั้งๆ ที่อยากจะกรีดร้องเมื่อเหลือบไปเห็นป้าย... ‘งานบวช (ก่อนเบียด) แพทย์หญิงสู่ขวัญ’
“อ้าว นั่นพ่อเหมมาแล้ว หล่อจริงพ่อคุณ มองใกล้ๆ ก็ยิ่งหล่อ...” ท่ามกลางคำชมนี้ของกิมจัน ทำเอาใครต่อหลายคนที่รู้ข่าวในแง่ลบของเหมันต์เป็นอย่างดี ต้องเบือนหน้าไปทางอื่น
“สวัสดีครับคุณแม่...สวัสดีครับคุณป้า คุณน้าทุกๆ ท่าน” เสียงนุ่มทุ้มของพ่อบุญทุ่ม จัดงานบวชอย่างยิ่งใหญ่ให้สาวคู่หมาย เรียกให้ผู้คนหันมาหาเขา ราวกับต้องมนตร์สะกด
เหมันต์อยู่ในชุดกางเกงเลสีขาวกับเสื้อพื้นเมืองทางเหนือ สีเดียวกัน ซึ่งทำให้เขาดูเป็นคนง่ายๆ สบายๆ มีมาลัยมะลิคล้องคออยู่ แถมยังโกนหนวดเคราออกจนเกลี้ยงเกลา ความคมดุทั้งมวลที่เคยเห็น มลายหายสิ้นในวันนี้
“ดูสิดู ยามยืนคู่...ก็ดูเหมาะสมกัน อย่างไม่มีที่ติ” คนพูดตรงอย่างกิมจัน เอ่ยไปตามที่สายตาเห็น ไม่ได้มีใครเตรียมให้พูดมาก่อนหน้า จนคนชอบสถานการณ์พวกนี้เป็นที่สุดอย่างสร้อยทอง หน้าบานเสียยิ่งกว่ากระด้ง
จนสู่ขวัญต้องลอบเบ้หน้าลับๆ จนคนบางคนจับสังเกตเห็น
“หื้อ ไม่เอา...ทำหน้าแบบนั้น ไม่สวย” เขากระซิบเบาๆ พอให้ได้ยินกันสองคน แต่ขยับเข้ามาใกล้เธอมากขึ้น
“นี่มันงานบวช อย่ามาเบียด” เธอตอบโต้เชิงกระซิบไม่ต่าง ตาเขียวใส่เขา แบบไม่กลัวว่าใครจะเห็นหรือไม่เห็น
“ก็ได้ รอให้ถึงงานเบียด...ค่อยเบียดก็ได้”
“อย่ามาทะลึ่งกับฉันนะ” เธอหันไปมองเขาตรงๆ ส่งสายตาขู่ฟ่อ เสียยิ่งกว่างูจงอางแผ่เบี้ย
“คุยอะไรกันอยู่คะสองคน กุ๊กกิ๊กเชียว” เพื่อนของสร้อยทองคนอื่นๆ ที่ยืนมองอยู่ พากันแซวทั้งสองด้วยน้ำเสียงชื่นอกชื่นใจ จนคนชอบหน้าใหญ่อย่างสร้อยทอง ยิ้มหน้าบานเข้าไปอีก
กะว่าจะจัดงานเพื่อผูกมัดแม่...แต่ไหง มาผูกมัดตัวเองเข้าซะได้วะ!
ลำดับถัดมา สู่ขวัญก็ต้องมานั่งพิธีสู่ขวัญก่อนบวชเหมือนบวชพระ หากแต่พิธีกรรมมีน้อยกว่า แต่มีการกล่าวอะไรเล็กน้อย และผูกข้อไม้ข้อมืออำนวยอวยอนุโมทนา โดยมีเจ้าภาพนั่งอยู่ด้านข้าง คอยแตะศอกให้เธออย่างรู้หน้าที่
“ไม่ต้อง...ขยับออกไปให้ห่างเลยนะ” และแม้ว่าแขกเหรื่อจะเยอะเพียงใด สู่ขวัญก็ไม่เคยยิ้มออกได้ เมื่อเหมันต์เข้ามาเฉียดใกล้ตน
“ยิ้มหน่อย งานบุญนะ” และเขาก็ว่าสบายๆ ฉีกยิ้มให้กล้อง ที่จ้างมาเก็บภาพบรรยากาศโดยเฉพาะ
“ฉันบอกให้ขยับออกไปไง”
“อย่ามาดื้อตอนนี้ ยิ้ม...” เขาว่าเสียงขรึมเชิงขู่ หากแต่ยังคงยิ้มเยือน จนใครๆ ที่มองเข้ามา ก็เห็นว่าทั้งคู่เหมาะสม
“ดูเถอะ ไม่ขัดศรัทธาแถมสนับสนุน สมแล้วที่เชียร์มาตั้งแต่ต้น” เพื่อนของวิรงรองที่ตามมาสมทบทันเวลา เอ่ยขึ้นเมื่อมองไปยังสองคนที่นั่งเยื้องๆ กันอยู่
วิรงรองยิ้มกว้างเมื่อได้ยินอย่างนั้น แม้จะแอบไม่พอใจในความดื้อดึงของสู่ขวัญอยู่บ้าง แต่อย่างน้อยแค่งานบวชนี้ ก็ทำให้ชื่อของเหมันต์เป็นที่กล่าวขาน ก่อนจะถึงงานแต่งเสียอีก
“อ้าวคุณพี่ มาแล้วเหรอคะ...มาค่ะ ไปผูกแขนอวยพรให้ลูกขวัญกัน” เมื่อเห็นว่าคนสำคัญของงานเดินเข้ามา สร้อยทองก็รีบปลีกตัวจากการนั่งข้างๆ บุตรสาว มาต้อนรับขับสู้
“ไม่เป็นไร รอให้คนซาก่อนก็ได้..ฉันอยู่จนงานเลิกแหละวันนี้”
“เห็นแล้วชื่นใจจริงๆ เลยค่ะ ตาเหมเอ็นดูน้องมาก” สร้อยทองจีบปากจีบคอว่า พร้อมพยักพเยิดให้วิรงรองดูผลงานของหลานชายตัวเอง
“ก็พี่บอกแล้วไงคะน้องสร้อย ว่าแค่นี้ตาเหมเอาอยู่ แกเป็นคนเก่ง เก่งทุกอย่างไปเสียหมดเลยหลานชายป้า” แล้วคนที่ชอบยกยอปอปั้นเครือญาติตัวเองก็ยกขึ้น จนคนอื่นๆ ยังต้องพากันลอบเบ้หน้า
ไม่เว้นแม้แต่สร้อยทอง ที่แม้จะเห็นด้วยว่าเหมันต์เก่งแค่ไหน แต่หากชมตัวเองมากเกินไป ก็ดูจะไม่น่าฟัง
แต่ก็นั่นแหละ สังคมสวมหน้ากากแบบนี้ จะน่าฟังหรือไม่น่าฟัง ก็ต้องยิ้มรับเหมือนพร้อมฟังได้ทุกเรื่อง!
หลังจากพิธีสู่ขวัญเตรียมบวชได้ผ่านพ้น ลำดับถัดไป ก็จะเป็นการแห่ชีพราหมณ์ไปยังวัด โดยขบวนจัดที่ยิ่งใหญ่
มีรถม้าล้อลาก มาให้ชีพราหมณ์นั่ง รถแห่ขับตามหลัง ขบวนของมงคลขนาบข้าง รวมไปถึง...คนถือหมอน
“บวชชีพราหมณ์ต้องมีคนถือหมอนด้วยเหรอคะพ่อ” หญิงสาวผู้หน้างอ เอ่ยถามบิดาที่คอยจัดเรียบร้อยของขบวนอยู่ใกล้ๆ
“พ่อเหมเขาอยากถือ ก็ให้เขาถือไป เป็นหมอนมงคลสีขาว เอาไว้หนุนตอนอยู่ที่วัดนะลูก” สู่ขวัญทำปากยื่นใส่บิดาเชิงขัดข้อง หากแต่ท่านก็ได้แต่ยิ้มให้อย่างไม่นึกถือสา
“ถ้าไปถึงวัด หนูจะขอบวชแบบโกนผมให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย”
“เอาน่า ทำจิตให้สบาย...ปล่อยไปตามธรรมชาติ ถือเสียว่าเป็นสีสันของงาน นะลูกนะ” เธอถอนหายใจออกมาอีกครั้ง มองไปยังคนยืนยิ้มแฉ่งถ่ายรูปถือหมอน แถมยังมองมายังเธอพร้อมตีคิ้วให้
“ชิ คนพิเรนทร์ ขอให้นายได้บาปหนักบาปใหญ่ อย่าได้ผุดอย่าได้เกิดอีกเลย”
“นี่แหนะ! ปากหรือนั่น...พูดจาอะไรไม่ระวัง อยู่ในขบวนแห่บวชแท้ๆ ยังจะมาคิดสาปแช่งคนอื่น” สร้อยทองผู้มาได้ยินเข้าพอดี เพราะต้องขึ้นนั่งรถม้าเคียงข้างไปกับบุตรสาว ตีเข้าที่แขนพร้อมหยิกเนื้อหนึ่งที
“แม่คะ เดี๋ยวบาปนะคะ มาหยิกชี” นั่นแหละ คนได้สติถึงยับยั้งมือเอาไว้ได้
“ตบปากตัวเองเดี๋ยวนี้นะ พูดจาอะไรไม่เป็นมงคล พี่เขาอุตส่าห์เป็นเจ้าภาพสนับสนุน คำขอบคุณสักคำก็ไม่มี”
สู่ขวัญถอนหายใจออกมาให้มารดาได้เห็นเฮือกใหญ่
“ที่เขาทำไป ก็หวังเรียกคะแนนนิยม แม่ก็รู้ดีนี่คะ”
“แล้วยังไง เขาได้เราได้ เราก็ไม่เห็นจะเสีย ดีเสียอีก...ที่จะได้เสริมบารมีโรงพยาบาลปัญญาภูมิ ไม่ให้พวกเปิดใหม่ มันดึงคนไข้ไปจากเรา”
“โอเคแม่ หนูไม่คุยอะไรแล้ว ขอนั่งเงียบๆ นะคะ”
แล้วพิธีการทุกอย่างก็ค่อยๆ ดำเนินไป สู่ขวัญมองไม่เห็นอะไรแล้ว นอกจากฟังเสียงร้องโห่ เสียงดนตรีจังหวะแสนสนุก คิดไปถึงเพลินวราและโชติพัฒน์ที่ติดเวรและพากันมาไม่ได้
ถ้าพวกนั้นมา เราคงจะมีพวกหน่อย
จนมาถึงบริเวณวัด เธอถึงได้เข้าไปในศาลา กราบแม่ชีและเจ้าอาวาส ทำตามขั้นพิธีของพระพุทธศาสนาที่แสนจะเรียบง่าย ทั้งๆ ที่ใจ...แสนร้อนรุ่ม