13 "แม่จะให้หนูแต่งงานกับพี่เหม..."
เมื่อสถานการณ์ของโรงพยาบาลปัญญาภูมิค่อยๆ ลงตัว สีนีและวิบูลย์ลาออกไปอย่างเป็นทางการ สู่ขวัญขึ้นรับตำแหน่งกรรมการบริษัทหนึ่งเดียว โดยได้รับการตอบรับอย่างดีจากทีมบริหาร
เพลินวรา ก็ทำหน้าที่หัวหน้าได้แบบพอไปได้ แม้จะยังทิ้งห่างจากมาตรฐานที่สินีได้ทำเอาไว้ แต่ก็ถือว่าใช้ได้ และผู้คนก็ให้โอกาสเธอ
แต่ไม่ทันที่สู่ขวัญจะได้ยิ้มออก ก็มีเรื่องไม่สบายใจโผล่เข้ามา แบบฉับพลันทันด่วน
“อะไรนะคะแม่! แม่จะให้หนูแต่งงานกับอีตาเหมอะไรนั่น อย่างนั้นเหรอคะ?” เธออุตส่าห์ กลับมาร่วมรับประทานอาหารกับบิดามารดา เพื่อฉลองความราบรื่นลงตัวของปัญญาภูมิ ที่ได้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
แต่กลับได้มารับทราบข่าวร้าย ที่เธอแทบจะลืมไปแล้ว ตลอดระยะเวลาที่หมกมุ่นครุ่นคิดอยู่กับเรื่องงาน
“ใช่ แม่คุยเรื่องนี้กับพ่อเขามาสักพักแล้ว แม่ว่าสถานการณ์โรงพยาบาลง่อนแง่นแบบนี้ ลูกควรจะต้องมีคู่คิดเอาไว้ข้างกาย มีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน”
“แต่แม่ก็รู้ว่า อีตาเหมอะไรนั่น ยุ่งเกี่ยวกับสิ่งผิดกฎหมาย แม่ยังจะให้หนูไปแต่งงานกับเขาอีกเหรอคะ?” กิริยาเสียงดังของบุตรสาว ที่ดูเอาเรื่องอย่างเต็มที่
ทำให้สร้อยทองเชิดใบหน้าขึ้น พร้อมตวัดหางตามองเชิงดื้อไม่แพ้
“แล้วยังไง ถ้าเขาทำผิดกฎหมายจริง ตำรวจก็คงเอาผิดได้ไปนานแล้วสิ แค่ข่าวโคมลอยสนุกปาก ก็อย่าไปเชื่อให้มันมากนักเลย” สร้อยทองไม่ได้คิดอย่างที่พูด เธอรู้ดีว่าเหมันต์มีธุรกิจสีดำที่ทำอยู่จริง การก้าวเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองที่เขากำลังพยายามนั้น ก็ล้วนเป็นหนึ่งในการลงทุนเพื่อธุรกิจพวกนั้นด้วย
แต่ก็แล้วอย่างไรล่ะ ไม่ใช่เรื่องอะไรที่จะต้องเดือดร้อน เพราะตำรวจทำอะไรเขาไม่ได้ ยังไงเขาก็ไม่ชื่อว่าเป็นคนผิด และสร้อยทองก็มั่นใจ ว่ายังไงเหมันต์ก็จะอยู่เหนือกฎหมายได้ไปตลอดแน่
“หึ ที่ตำรวจจับไม่ได้ ก็เพราะว่าเขามีเส้นสายคอยช่วยต่างหากละคะ”
“พอได้แล้วหมอขวัญ แม่ตกปากรับคำทางนั้นไปแล้ว ยังไงก็เปลี่ยนไม่ได้” สร้อยทองเรียกบุตรสาวเสียเต็มยศ ย้ำความจริงจัง ทำเอาคนฟังทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
ไอ้ความเบาใจเรื่องโรงพยาบาลที่ผ่านพ้นไป นำความหนักใจใหญ่มาให้ในเวลาไม่กี่ชั่วโมง!
“คุณพ่อคะ...” เธอหันไปมองยังที่พึ่งสุดท้าย ที่ทำสีหน้าลำบากใจและฉายคำตอบในใบหน้าชัด
ว่ายังไง ท่านก็ช่วยอะไรเธอไม่ได้
“พ่อเห็นด้วยกับแม่นะ ว่าลำพังหนูคงดูแลปัญญาภูมิไม่ไหว...”
“นี่คุณพ่อคุณแม่ไม่เชื่อมั่นในตัวหนูเหรอคะ? ไม่เชื่อว่าหนูจะบริหารโรงพยาบาลต่อไปได้อย่างนั้นเหรอคะ?” หยาดน้ำตาหนึ่งหยด ไหลรดลงที่หนึ่งข้างแก้ม
“ไม่ใช่อย่างนั้นหมอขวัญ...” ผู้ใหญ่สาว่าเชิงลำบากใจ เขาไม่รู้จะอธิบายยังไงให้บุตรสาวเข้าใจ
“แล้วมันยังไงคะพ่อ?”
“รู้แค่ว่า ยังไงแกก็จะต้องแต่งงานกับพี่เหมเขาก็พอ และอย่าคิดนะ ว่าจะหนีงานแต่งงานได้ ยังไงแม่ก็จะไม่ยอมให้งานแต่งงานล่มเด็ดขาด” ใบหน้ารูปไข่ที่เปียกชุ่มไปทั้งน้ำตา ปลายจมูกรั้นแดงเห่อ สูดจมูกเล็กน้อย ก่อนเอามือปาดน้ำตาออกแบบลวกๆ
“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น หนูจะไม่ยอมแต่งงานเด็ดขาด ไม่มีวันค่ะแม่!” แล้วเด็กใจร้อนคนหนึ่ง ที่ไม่ได้อยู่ในหน้าที่กระทำการรักษา ก็วิ่งออกจากบ้านหลังใหญ่ไป
ปล่อยให้บิดามารดา ถอนหายใจออกมาพร้อมเพรียงกัน
“คุณคิดว่าวิธีนี้ จะทำให้ลูกยอมได้จริงๆ เหรอ” ผู้ใหญ่สาผู้ไม่เห็นด้วยตั้งแต่แรก ว่าการใช้ไม้แข็งจะสำเร็จ แต่จำต้องยอมภรรยา เอ่ยถามพร้อมกระชับมือเธอเข้ามาแน่น
“ใช่ค่ะ ยังไงยัยขวัญก็ต้องยอม ยังไงลูกก็จะต้องยอม เพราะแม่จะไม่ยอม ให้ลูกไม่ยอมเด็ดขาด”
สร้อยทองเป็นคนเอาแต่ใจก็จริง แต่การเอาแต่ใจตัวเองในคราวนี้ ดูจริงจังและเครียดมากกว่าปกติ เพราะเธอรู้ดีว่าหลังจากนี้ บุตรสาวจะต้องเจอศึกใหญ่
เรื่องการวางแผนเปิดโรงพยาบาลใหม่ ที่ซุ่มสร้างมาสักพักของฝั่งวิบูลย์ สร้อยทองเพิ่งจะมาทราบ จึงหยุดคิดวิธีไปง้อให้ฝ่ายนั้นมาทำงานด้วย ไม่ว่าจะเป็นสินีหรือวิบูลย์
‘มาทำกันแบบนี้ มันหยามกันเกินไป ยังไงเราจะต้องลุกขึ้นสู้กันให้สุดเลยนะพ่อ ให้มันรู้กันไป ว่าใครจะแน่กว่ากัน!’
คำพูดที่พูดกับสามีในวันนั้น ยังคงดังก้องย้ำเตือนว่า เธอจะต้องทำทุกวิถีทาง เพื่อให้โรงพยาบาลปัญญาภูมิได้คงอยู่ตลอดไป
“ทานซะหน่อย...อย่าทำตัวเป็นเด็กดื้อ ในยามที่จะทำการใหญ่สิคุณหมอ” น้ำเสียงเย็นๆ ดังขึ้นจากทางด้านหลัง ทำเอาคนที่นั่งร้องไห้อยู่ รีบปาดน้ำตา
“ขวัญขอโทษค่ะแม่ชี...ขวัญไม่ไหวจริงๆ” น้ำตานองแอบสองแก้มของคนที่เป็นแค่เด็กหญิงเสมอของ แม่ชีสร้อยสังวาล กำเนิดรัก ทำเอาท่านต้องเข้าไปกอดปลอบ
“ไม่เป็นไร จะอ่อนแอแค่ไหนแม่ชีก็ไม่ว่า แต่ขอให้ทานข้าวทานปลา...บ้าง” ว่าพร้อมยกถาดที่เตรียมอาหารก้นบาตรพระมาให้
“ขอบคุณแม่ชีมากเลยนะคะ เวลามีปัญหา ขวัญก็มาเดือดร้อนแม่ชีตลอดเลย” สร้อยสังวาลรีบส่ายหน้า พร้อมถอนหายใจ
“มาได้ตลอด ไม่ต้องเกรงใจ...”
“แต่มาแล้วต้องได้อะไรกลับไป ไม่ใช่มาเฉยๆ” คนใจดีที่มีความเด็ดขาดในตัวเสมอ ตั้งแต่ที่ยังไม่ได้บวชนั้น ทำเอาเด็กสาวในสายตา ถึงกับสะดุดกึก
แม่ชีสร้อยสังวาลเป็นพี่สาวแท้ๆ ของสร้อยทองมารดาของเธอ จึงมีศักดิ์เป็นป้า แต่สู่ขวัญก็จะเรียกท่านว่าแม่ชีจนติดปาก เพราะสร้อยสังวาลบวชมานานกว่า 10 ปีแล้ว
“หรือจริงๆ แล้ว ขวัญไม่น่ามาเป็นหมอ ไม่เหมาะสมที่จะมาเป็นหมอ”
“อย่าว่าตัวเองอย่างนั้น อย่าโทษตัวเอง หรือตำหนิตัวเอง ไปจนครบทุกมิติ ที่ไม่เกี่ยวกับปัญหาจริงๆ ที่กำลังเผชิญอยู่” คำสอนของแม่ชี ทำเอาสู่ขวัญถึงกับต้องมุ่ยหน้า
“ขวัญไม่อยากแต่งงานจริงๆ นะคะแม่ชี ไม่อยากแต่งงานมาตั้งแต่แรก...ไม่ใช่เพราะแค่ว่าเขาเป็นคนไม่ดี แต่เพราะขวัญไม่ได้อยากจะมีชีวิตคู่ แม่ชีเข้าใจขวัญดีใช่ไหมคะ” สร้อยสังวาลยิ้มออกมาเล็กน้อย เมื่อแพทย์หญิงไม่รู้จักโต พูดในเชิงจะหาพวก
“แม่ชีเข้าใจ เข้าใจอย่างดี เรื่องนี้แม่ชีว่า แม่เขาทำไม่ถูก”
“ใช่ไหมคะ! อย่างนี้...แม่ชีก็ไปช่วยพูดกับแม่ให้หน่อยขวัญสิคะ ช่วยขวัญด้วยนะคะ”
“และแม่ชีก็เข้าใจ ว่าคนอย่างสร้อยทอง หากคิดจะทำอะไรแล้ว เขาไม่เปลี่ยนใจง่ายๆ หรอก”
ดีใจจนยิ้มออกนอกหน้าได้ไม่ถึงสามวินาที สู่ขวัญก็ต้องหุบยิ้มฉับ
“หมายความว่า แม่ชีจะไม่ช่วยขวัญเหรอคะ?”
“ไม่ใช่ว่าจะไม่ช่วยเลย ก็จะลองคุยกับแม่เขาให้ดู...”
“ไม่รู้แหละค่ะ ถ้าแม่บังคับให้ขวัญแต่งงาน ขวัญจะยอมทิ้งทุกอย่าง บวชอยู่ที่นี่กับแม่ชีตลอดชีวิตเลยคอยดูสิ” คนใจร้อนพูดไปอย่างนั้น โดยที่ไม่คิดเลยว่า ชีวิตจริงนั้น ตัวเองมีภาระหน้าที่อะไรที่ต้องทำอยู่
“คิดก่อนค่อยพูด เรื่องบวช ไม่ใช่ว่าใครจะมาพูดกันซี้ซั้วได้นะ” เตือนด้วยรอยยิ้ม ติงอย่างมีปัญญา ไม่ได้ตำหนิจนอีกฝ่ายรู้สึกแย่
“เฮ้อ ขอโทษค่ะ...แต่ถ้าไม่บวชจริง แกล้งว่าจะบวชแบบชีพราหมณ์เอาเฉยๆ เพื่อให้แม่รับปากว่าจะไม่บังคับแต่งงานแล้ว พอจะได้ไหมคะ?”
“แม่ชีผิดศีลด้วยไม่ได้หรอก”
“งั้นไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวเรื่องนี้ ขวัญจะจัดการเอง!” สร้อยสังวาลได้แต่ถอนหายใจแล้วก็ส่ายหน้า รู้ดีว่าพูดอะไรไปตอนนี้ หลานสาวก็คงยังยืนยันอยู่แบบนั้น
เผลอๆ อาจจะแอบทำและไม่เล่ารายละเอียดให้ฟัง จนเสียหายใหญ่ได้ สู้ทำเป็นไม่เสริมหรือไม่ขัด แล้วรอรู้ทุกอย่างและคอยช่วยเหลืออยู่ห่างๆ จะดีกว่า