บท
ตั้งค่า

8 เผชิญหน้า

“ต้องขอโทษคุณเสี้ยวมากๆ เลยนะคะ ที่ไม่สามารถควบคุมตัวคุณทินเอาไว้ได้ ทำให้คุณเสี้ยวเสียเวลาไปด้วยเลย” เหมือนวาดยกมือไหว้จันทร์คืนแรมอีกครั้ง หลังจากที่ปล่อยให้เธอรอมาร่วมชั่วโมง แต่ตัวเองก็ไม่สามารถติดต่อทินกรได้

จันทร์คืนแรมยกมือขึ้นรับไหว้ แววตาไร้แววแห่งความตระหนกหรือรำคาญใจ เธอยังคงสงบสมกับเป็นมืออาชีพ

และใช้ปากกา I-pad สีขาว ขีดเขียนไปบนจอกว้าง อย่างไม่เดือดร้อนต่อ

“คุณเหมือนวาดใจเย็นๆ ก่อนนะคะ นี่ถือว่าเป็นเรื่องปกติมากๆ สำหรับคุณทินค่ะ คนอย่างเขา ถ้าลองไม่ได้เต็มใจแล้ว ก็ดื้อด้านได้อย่างถึงที่สุดแน่ๆ”

“ไอ้ความจริงข้อนั้น พี่ก็เข้าใจไม่แพ้ใครนะคะ แต่เราจะทำยังไงดีละคะ ที่จะทำให้คุณทินแกยอมมาพบคุณเสี้ยวได้” จันทร์คืนแรมกลอกสายตาไปมาเล็กน้อย ก่อนมองตรงไปยังเหมือนวาด ที่สวมชุดสูทสีเขียวเป็ดตัวเก๋ รับกับกางเกงขายาวสีเดียวกัน

ส่งเสริมให้เธอดูเป็นผู้หญิงยุคใหม่ที่ปราดเปรียวไม่แพ้เธอ ซึ่งดูแล้ว น่าจะคุยกันได้หลายๆ เรื่องอยู่

“แล้วคุณทิน รู้แล้วใช่ไหมคะ ว่าคนที่จะโค้ชให้เขา...คือเสี้ยว” ทีแรกเธอก็ไม่กล้าถามหรอก คำถามนี้

แต่เมื่อมาถึงขนาดนี้ มันก็จำเป็นที่จะต้องใช้ประกอบเป็นข้อมูล และหัวใจของเธอก็เต้นแรงขึ้นมา เมื่อจะได้รู้คำตอบ

“รู้แล้วนะคะ พี่เอาประวัติคุณเสี้ยวให้ดูด้วย...ไม่แน่ใจนะคะ ว่าหลังเรียนจบ ได้มีปัญหาอะไรกันรึเปล่า?” เหมือนวาดคิดว่า การที่เธอได้รู้ทุกอย่างแท้จริงอย่างทะลุปรุโปร่ง จะทำให้งานนี้ง่ายขึ้นได้

และมันก็เป็นไปดังคาด จันทร์คืนแรมสะดุดกับคำถาม...เหมือนมีอะไรในใจ แบบเดียวกับที่เกิดขึ้นกับทินกร

“ถ้ามี...บอกพี่ได้นะคะ มีอะไรจะได้ช่วยกันค่ะ”

“เปล่าหรอกค่ะ” จันทร์คืนแรมรีบปฏิเสธ กลบเกลื่อนแววตาพิรุธพวกนั้นให้จางหายได้อย่างรวดเร็ว สมกับที่เป็นมืออาชีพ

“อันที่จริง เราสองคนก็ไม่ได้สนิทอะไรกันมาก ช่วยกันแค่เรื่องเรียนเท่านั้น และเรื่องมันก็ผ่านมาเป็นสิบปีแล้ว คุณทินอาจจะลืมดิฉันไปเรียบร้อยแล้วล่ะค่ะ”

“หรือไม่ ก็คงจะเบื่อกับการที่จะโดนบังคับสารพัดอีก เลยหลบหลีกซะเลย” จันทร์คืนแรมไม่ได้เปิดช่องให้เหมือนวาดพูดอะไร ต่อความทุกอย่างเองเสร็จสรรพ เพราะรู้ดีว่าผู้หญิงฉลาดอย่างเลขาของเพ็ญแข คงจะมีจิตวิทยาดีอยู่ไม่น้อย

ไม่อย่างนั้น คงไม่ได้รับหน้าที่ให้ดูแลเรื่องใหญ่ขนาดนี้

เพ็ญแขเป็นผู้หญิงฉลาด เอาอยู่ทุกอย่าง แม้การแสดงออก จะพยายามไม่ให้ตัวเองเป็นคนที่แข็งหรือตึงจนเกินไป ก็ตาม

ความสามารถในการมองคนออกของจันทร์คืนแรมนี้ ทำให้เธออยู่ในสายอาชีพโค้ชได้อย่างสบาย และก้าวหน้ากว่าที่คิดเอาไว้

“แล้วถ้าเป็นอย่างนี้ คุณเสี้ยวจะเอายังไงต่อเหรอคะ?” น้ำเสียงและแววตาของคนหมดปัญญา เต็มไปด้วยความขอร้องและภาวนาเต็มที่

ขอให้มีด้วยเถอะ!

“มีแน่นอนค่ะ ถ้าเขาไม่ยอมมาเจอเราดีดี เราก็ต้องเป็นฝ่ายไปเจอเขาเอง”

“เจอเขาเอง? เขาไม่ยอมให้เจอ แล้วเราจะเจอเขาได้ยังไงล่ะคะ?” อันนี้คนฉลาดอย่างเหมือนวาดงงจริงๆ เพราะที่ผ่านมา เธอไม่เคยหาตัวทินกรเจอเลย ถ้าเขาไม่ต้องการให้เจอ

ยากเสียยิ่งกว่าเล่นซ่อนหา!

“เรื่องนั้น ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของดิฉันเถอะค่ะ หน้าที่ของคุณวาด มีแค่...ช่วยกรอกข้อมูลตามนี้ให้ดิฉันก็พอค่ะ” แล้วเหมือนวาดก็รับเอา I-pad ของเธอมาไว้ในมือแบบงงๆ

แบบฟอร์มที่คล้ายกับแบบสอบถาม มีทั้งแบบมีตัวเลือกและแบบให้กรอกเป็นคำตอบ

“อันไหนตอบได้ ตอบเลยนะคะ อันไหนไม่แน่ใจก็ตอบแต่วงเล็บไว้ได้ค่ะว่าไม่แน่ใจ หรือถ้าไม่ได้เลย ก็เว้นไว้นะคะ ไม่ต้องเครียด” ความเป็นมืออาชีพของจันทร์คืนแรม ทำเอาความกังวลของเหมือนวาด ค่อยๆ ลดน้อยถอยลง

“อื้อหือ สมกับที่เขาล่ำลือกันจริงๆ นะคะ ว่าสมาร์ทปราดเปรียว โค้ชเสี้ยวเอาอยู่!” เพราะแต่ละคำถามที่ถูกใส่ในแบบทดสอบนั้น เป็นคำถามเกี่ยวกับพฤติกรรมของทินกรทั้งหมด

มันสามารถเชื่อมโยงให้เธอสามารถตามหาเขาเจอได้...

“ยังไงก็ต้องลองดูกันก่อนค่ะ เสี้ยวไม่รับปากหรอกนะคะ ว่าจะสำเร็จหรือเปล่า” พูดออกมาอย่างนั้นก็จริง แต่เหมือนวาดไม่ได้เห็นความวิตกกังวลใด ในแววตาจริงใจคู่นั้นเลย

เธอรู้ว่าแววตานี้ไม่ได้รับการประดิษฐ์ แถมยังเปิดเปลือยความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองออกมาจนหมดสิ้น

แสดงว่าลึกๆ ก็มั่นใจว่าตัวเองจะทำได้แน่ๆ

“นี่ค่ะ เรียบร้อยแล้ว” คนที่อยู่กับทินกรมาจนรู้นิสัยของเขาอย่างหมดเปลือก ตอบได้ทุกข้อแบบไม่มีละเว้น แถมยังมั่นใจและแน่ใจมากๆ จึงทำเสร็จในเวลาอันรวดเร็ว

“ขอบคุณมากเลยนะคะ ยังไง เสี้ยวจะรายงานความคืบหน้าอีกที จากนี้...ขอจัดการทุกอย่างไปตามแผนที่เราวางไว้กันนะคะ”

“ได้เลยค่ะ ถ้ามีอะไรให้พี่ช่วย โทรมาได้ตลอดเวลาเลยนะคะ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ค่ะ ที่ให้เสียเวลาไปเป็นชั่วโมง” แล้วสองสาวก็ล่ำลากันพร้อมลุกขึ้นยืน เหมือนวาดเตรียมจะเดินไปส่งแขก ตามที่เจ้าของบ้านได้มอบหมายให้เธอได้ปฏิบัติหน้าที่นี้เพียงลำพัง เพราะเพ็ญแขต้องไปทำธุระแทนสามี

“คุณวาดไม่ต้องเดินไปส่งก็ได้นะคะ เดี๋ยวดิฉันเดินไปเองค่ะ” เพราะเห็นว่ามีกองเอกสารมากมายที่ฝ่ายนั้นต้องจัดการ ในห้องทำงานของเพ็ญแข จึงรีบออกตัวไม่รบกวน

พอดีกับที่มีสายโทรเข้ามายังฝ่ายนั้นด้วย

“เอาอย่างนั้นก็ได้ค่ะ พี่ขอโทษด้วยนะคะ เดินทางปลอดภัยนะคะ...” จันทร์คืนแรมโค้งคำนับตอบรับ ก่อนหอบแฟ้มและกระเป๋าทำงานเดินออกไป ผ่านห้องรับแขก ไปยังโถงประตูหน้าที่หรูหราและใหญ่โต

เธอเคยเข้ามาที่บ้านหลังนี้ครั้งหนึ่ง ตอนที่ทินกรไม่สบายและไม่สามารถจะไปเรียนได้ คุณครูประจำชั้นเลยส่งให้เธอมาเยี่ยมและนำข้อมูลกลับไปส่งให้ท่าน พร้อมใบรับรองแพทย์ ที่เข้ามาตรวจเขาถึงบ้านโดยแพทย์ประจำตระกูล

การกลับมาอีกครั้งในหนนี้ ไม่ได้ให้ความรู้สึกต่างออกไป ที่นี่ยังคงดูยิ่งใหญ่ และชวนให้อึดอัด

ใช่ เธอรู้สึกอย่างนั้น หากแต่ด้วยคำว่า ‘มืออาชีพ’ มันค้ำคอเธออยู่ และสามารถช่วยทำให้เธอข้ามผ่านทุกความรู้สึกไปด้วยได้เช่นกัน

จันทร์คืนแรมเดินพ้นโถงประตูสีทองออกมาได้ เดินลงจากบันได 7 ขั้น...จนถึงพื้นคอนกรีตหน้าบ้าน และหันกลับไปมองโถงประตูบานใหญ่นั้นอีกครั้ง

ภาพของใครบางคนซ้อนเข้ามา...

หรือแท้จริงแล้ว เขากับประตูบานนี้จะก็คงจะไม่ได้ต่างกัน ดูสวยงามเกินไป สูงเกินใฝ่ อย่าได้คิดอาจเอื้อม...

ใช่ ตอนที่เธอเริ่มรู้สึกดีกับเขาได้ไม่นาน เธอก็ได้มีโอกาสมาที่นี่ คนที่เกิดมาด้อยกว่าเขาทุกอย่าง ได้ตระหนักรู้กับตัวเองตั้งแต่วันนั้น

ว่าเขาเป็นใคร

เธอเป็นใคร

เด็กสาวในวันนั้นพยายามตัดใจ เพราะเหตุผลพวกนี้ แต่สุดท้าย...

มันก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น

“ช่างเถอะ” โพล่งออกมาบางเบา แต่หนักแน่นเหลือเกิน บริเวณริมฝีปาก

“มันคืองาน...เธอต้องทำงาน งานเท่านั้นนะเสี้ยว” แล้วหญิงสาวก็ตัดสินใจ หมุนตัวเองหมายจะเดินออกไปจากที่นี่ และทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุดก็พอ

“โอ๊ะ!” แต่จังหวะการหมุนอย่างมุ่งมั่นนั้น ก็นำพาให้เธอได้ชนเข้ากับวัตถุมีชีวิตขนาดสูงใหญ่เข้าซะก่อน

“ขอโทษค่ะ” จันทร์คืนแรมกอดแฟ้มตัวเองเอาไว้แน่น เพราะรับรู้ได้ถึงแรงกระเด็นที่กำลังจะทำให้เธอร่วงล้มลงสู่ภาคพื้น

“ระวัง” เสียงทุ้มกังวานดังมา ผสานกับกลิ่นน้ำหอมประจำตัวที่เคยคุ้น ทำเอาคนถูกพยุงใจเต้นแรงขึ้น

ไออุ่นกรุ่นผสานมากับความหอมนั้น ทอมาจากร่างหนา ที่แน่นขนัด เพียงแค่ได้สัมผัสชั่วครู่

“นะ...นาย” จันทร์คืนแรมกะพริบตาถี่ เปล่งถ้อยคำที่ไม่ได้ผ่านการไตร่ตรองออกไป แต่ผ่านความคุ้นชินในใจแน่ๆ

เธอกำลังอยู่ในอ้อมกอดของเขา

เขาที่วนเวียนอยู่ในหัวเธอมาตลอดหลายวัน...

“ระวัง” เมื่อได้สติ เธอก็รีบพาตัวเองออกจากการโอบประคองนั้น จนน้ำเสียงของเขาต้องเข้มขึ้น

วันนี้ ทินกรอยู่ในชุดเดียวกับที่ไปสวนสาธารณะ แต่เธอนั้น กลับมาอยู่ในชุดสูทเรียบร้อยเต็มความเป็นทางการ พร้อมเริ่มงานอย่างเต็มยศ

“ขอโทษค่ะ ที่ดิฉันซุ่มซ่าม” เธอผละออกจากอ้อมกอดนั้นได้สำเร็จ ยืนบนรองเท้าส้นเข็มที่สวมอยู่อย่างสง่า เชิดใบหน้าขึ้นอย่างพองาม

ทีท่าที่พยายามห่างเหินของเธอ ทำเอาใบหน้าคมคายยกยิ้ม

“อื้อ เข้าท่า” ทินกรพยักหน้า ไล่สายตาไปทั่วเนื้อตัวเธอแบบไม่ได้เกรงใจ

“ดิฉันคิดว่าคุณจะไม่มาแล้วซะอีก ก็เลยกำลังจะกลับ” จันทร์คืนแรมมองข้ามสายตาเชิงล้อของเขาอย่างมืออาชีพ เข้าเรื่องงานอย่างหมดจด ขับไล่ความประหม่าก่อนหน้า ความหวั่นไหวในทุกชั่วขณะที่คิดถึงเขา ให้จางหายไปก่อน

แม้มันจะไม่ได้ง่ายเลยก็เถอะ!

“ดิฉัน?...คุณ?” ทินกรทวนคำพูดของเธออย่างกังขา เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ด้วยรอยยิ้มเปล่งประกาย

“ใช่ค่ะ ดิฉันมาทำหน้าที่โค้ชชิ่งให้คุณ ตามคำสั่งของคุณเพ็ญแข”

“แล้วมันจำเป็นจะต้องห่างเหินกันขนาดนั้นด้วยเหรอ” น้ำเสียงที่พูดอย่างเป็นกันเองเหมือนเดิมของเขา ทำเอาจันทร์คืนแรมอยากจะกะพริบตาถี่ๆ ขับไล่ความงวยงง

แต่ทำได้เพียงแค่ ฉายความมุ่งมั่นออกจากแววตา

“เขาไม่ได้เรียกว่าห่างเหินค่ะ เขาเรียกว่าเป็นทางการ ในโลกของการทำงาน เป็นทางการเหมาะสมที่สุดค่ะ” คำว่า ‘มืออาชีพ’ ค้ำคอเธอได้ดีเชียวล่ะ

“เหรอ” ทินกรทำเป็นพยักหน้า รอยยิ้มเลือนหายไปจากใบหน้า จดจ้องเข้าไปยังดวงตาที่แสดงความมืออาชีพอย่างล้นเปี่ยมของเธอ

“ทำไมถึงสละสิทธิ์ ไม่เลือกเรียนครูตามที่ตั้งใจเอาไว้” คำถามนี้ของเขาทำเอาดวงตาใสเบิกกว้าง ใครจะไปคิดล่ะ ว่าเขาจะมาพูดถึงเรื่องเก่าๆ ทั้งๆ ที่เขาเป็นคนหายไปจากชีวิตเธอก่อน

ครั้งนี้ จันทร์คืนแรมได้กะพริบตาถี่เข้าจริงๆ

“ดิฉันขอไม่ตอบเรื่องส่วนตัว ในเวลางานนะคะ” และก็สามารถตั้งสติ ตอบกลับเขาได้อย่างมืออาชีพดังเดิม

“ตอบมา” คนที่อยู่เป็นเพื่อนเธออ่านหนังสือจนดึกดื่น เพื่อให้สอบเข้าคณะที่มีคนแข่งขันมากที่สุด เพราะเป็นคณะที่มีชื่อเสียงในมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศ

ช่วยเธอลุ้น ในวันประกาศผล แววตาสะท้อนความรู้สึกผิดหวังออกมาชัด

“ฉันมารู้ตัวทีหลัง ว่าฉันชอบจิตวิทยามากกว่า” เธอรู้สิ ว่าถ้าไม่ยอมตอบเขาตามตรง จะเกิดอะไรขึ้น

“เธอไม่ใช่คนที่จะเปลี่ยนใจง่ายดายขนาดนั้น” จันทร์คืนแรมสะดุดเข้าอีกครั้ง หลบสายตาคมกล้า ที่ดูจะไม่พอใจรุนแรงเกี่ยวกับเรื่องนี้

“ช่างมันเถอะน่า ฉันตัดสินใจไปแล้ว และตอนนี้งานด้านจิตวิทยา ก็ไปได้ดีมากด้วย” จันทร์คืนแรมสูดลมหายใจลึก ผินสายตาออกจากสันกรามขบแน่นของเขา

เรื่องมันผ่านไปเป็นสิบปีแล้ว แต่ทำไมทุกกิริยาของเขายังเหมือนเดิมไม่ต่าง

เธอคิดว่าเขาจะโกรธเธอมาก...

แต่นี่กลับไม่เป็นอย่างที่คิดเอาไว้

“เหรอ” เสียงเชิงแค่นเอ่ยออกมา “นึกว่า ที่มารับงานนี้ เพราะว่ามันไปได้ไม่ดีซะอีก” จันทร์คืนแรมหันไปมองหน้าเขาทันที

“หมายความว่ายังไง” เขาพูดเหมือนไปรู้อะไรมา

“ที่รับงานนี้ เพราะมั่นใจในฝีมือโค้ชเสี้ยวว่าจะเอาอยู่ หรือเพราะมั่นใจว่ายังไง ก็จะทำได้เหมือนเมื่อ 10 ปีก่อนกันล่ะ” ยิ่งคำพูดเชิงค่อนขอดของเขานี้ ทำเอาเลือดของโค้ชเสี้ยวเดือดปุดๆ ขึ้นมา

“ทั้งสอง” ตอบอย่างมั่นคง มั่นใจ แต่ติดไปทางห้วน

“ไม่มีประโยชน์” แต่เขาก็ขัดขึ้นเชิงเห็นใจ

“ถ้าอยากจะให้งานสายโค้ชไปได้ดีอย่างที่เป็นมา ก็ยกเลิกไปซะ อย่ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้” พร้อมเอ่ยบอกถ้อยคำอันสุดแสนจะหวังดี จนเธอต้องยกยิ้มแผ่วเบาออกมาบ้าง

“เตือนด้วยความปรารถนาดี หรือกลัวว่าเจตนารมณ์ของตัวเองจะไม่สัมฤทธิ์ผลกันแน่” ไหนๆ เขาก็เตือนเธอในฐานะเพื่อนในวัยเยาว์แล้ว ทำไมเธอจะเผยความรู้ทันเขาเหมือนวัยเยาว์ไม่ได้ล่ะ

“กลัวว่าฉันจะทำให้นายกลับเข้าไปทำงานช่วยที่บ้านได้ เหมือนตั้งใจเรียนจนจบม. 6 เหรอ?” ก่อนจะพูดต่อไปอีกว่า

“นายไม่ต้องห่วงหรอกนะ ตอนฉันทำให้นายมีสิทธิสอบ ฉันยังเอาอนาคตของตัวเองเป็นเดิมพันเลย คราวนี้ถ้าฉันจะเอาหน้าที่การงานของตัวเองเป็นเดิมพันบ้าง ก็ไม่น่าจะหนักหนาอะไร”

ดวงตาสองดวงประสานกัน แบบไม่มีใครยอมใคร แม้จะมีคนหนึ่งเริ่มไหวหวั่น...

ความหมายในสายตาคู่คมกริบนั้น ถ่ายทอดบางความรู้สึกที่ทำเอาเธอหายใจติดขัด จมูกโด่งคมที่ตระหง่านอยู่ตรงหน้า ก่อเกิดความประหม่า...หากแต่เธอก็ยังต้องสู้อยู่

การกลับมาเผชิญหน้ากับเขาในรอบ 10 ปี แถมเขายังเป็นหนุ่มแน่นเต็มวัย มันไม่ใช่เรื่องง่าย เธอแทบจะยืนไม่ไหวอยู่แล้ว!

“ดื้อไม่เปลี่ยน” เขาเปรยออกมาในที่สุด เมื่อเธอจ้องกลับแบบไม่ยอมหลบตา

“ก็อย่างที่นายรู้นั่นล่ะ ว่าคนอย่างฉัน ไม่มีวันที่จะเปลี่ยนใจอะไรง่ายๆ ถ้าวันนี้นายยังไม่พร้อมให้ฉันโค้ชชิ่งก็ไม่เป็นไร ไว้วันหลัง...ฉันจะหาทางไปโค้ชนาย ด้วยตัวของฉันเอง” เมื่อรู้ว่าตัวเองเริ่มจะทานทนความรู้สึกที่มีต่อเขาไม่ไหว

เธออยากจะโผเข้าสู่อ้อมกอดเขาจะตาย อยากจะถามไถ่ถึงชีวิตที่ผ่านมาเจียนบ้า

แต่ทำได้เพียงเชิดลำคอ ต่อปากต่อคำกับเขาแบบไม่สะทกสะท้าน คิดว่ามันง่ายเหรอ มันไม่ง่ายแถมยังยากแสนยากอีกต่างหาก!

“เดี๋ยว” จันทร์คืนแรมตัดสินใจจะเดินผ่านเขาไป แต่ถูกมือใหญ่คว้าจับมือเธอเอาไว้ซะก่อน

เหมือนมีกระแสความร้อนแล่นผ่านไปทั่วร่างสาว หัวใจของจันทร์คืนแรมเต้นเร่า ไร้จังหวะ

“ปล่อยค่ะ” แต่ความเป็นมืออาชีพที่ค้ำคอเธออยู่ทุกขณะ ก็ส่งพลังไปให้เธอได้ชักมือตัวเองกลับ ซึ่งแน่นอนว่าสามารถทำได้อย่างง่ายดาย

“ยังไงก็จะไม่ล้มเลิกง่ายๆ ใช่ไหม” เขาจ้องมายังดวงตาซ่อนแววตระหนกของเธอ อย่างจริงจัง

“มันจะไม่มีวันนั้นอย่างแน่นอน” แล้วเธอก็สะบัดหน้า เดินมุ่งไปยังรั้วบ้านหลังใหญ่ บังคับกายบังคับใจไม่หันไปมองเขาแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว

ทินกรไม่ได้พูดอะไรตามหลังมา ไม่มีทีท่าว่าจะก้าวเท้าตามมาด้วย

ไออุ่นจากมือเขายังคงกรุ่นอยู่ที่มือขวา...จนคนรีบเดินจ้ำอ้าว ต้องกำมือตัวเองเอาไว้ พอพ้นรั้วบ้านหลังใหญ่ เธอก็รีบมองซ้ายมองขวา

ยกมือข้างขวาแนบเข้าที่ปลายจมูก...

กลิ่นนายยังคงหอมเหมือนเดิมเลยนะ

ใครจะว่าเธอบ้าบออะไรยังไงก็ได้ เธอไม่ได้เจอเขามาตั้ง 10 ปีเลยนะ เธอขอเถอะ...ขอสูดกลิ่นเขาเข้าให้เต็มปอด!

ต่อหน้าเขา เธอใช้ความเป็นมืออาชีพได้อย่างดีที่สุดแล้ว...คล้อยหลังจากหน้าที่ เธอขอทำตามหัวใจเรียกร้องบ้างก็แล้วกัน!

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel