บท
ตั้งค่า

7 ถ้าได้เราเจอกันอีก

“ตกลง...พี่เสี้ยวรับงานนี้เพราะว่าอะไรเหรอคะ?” เสียงกระซิบกระซาบระหว่างกลุ่มพนักงาน ดังระงม เมื่อได้อ่านคำประกาศเตรียมรับงานใหม่จากทางไลน์กลุ่ม

“ฉันว่าน่าจะเป็นเพราะเงิน 7 หลักนะ เห็นปานบอกว่า คุณพิมพ์แข จ่ายไม่อั้นเลยงานนี้” วาวาตอบทุกคนอย่างนั้น แต่แววตาแอบครุ่นคิดว่ามันน่าจะมีสาเหตุแท้จริง

“ใช่ๆ แถมยังบอกอีกนะว่า ถ้าจะขอเพิ่มอีกเท่าไหร่ ก็ขอได้เลย อนุมัติแบบไม่ต้องขอพิจารณาก่อนอีกด้วย” สมนาคุณรีบสมทบ เพราะตัวเองได้รับคำสั่งให้ทำงบการเงินแบบด่วนจี๋จากเจ้านายทันทีเช่นเดียวกัน

“แต่เห็นบอกว่า งานนี้เป็นงานโค้ชชิ่งเดี่ยว พวกเรามีหน้าที่คอยรับคำสั่งเท่านั้น ไม่ได้ร่วมปฏิบัติการณ์ด้วย พี่เสี้ยวจะไหวไหมคะนี่” คนที่เป็นกังวลกว่าใครรีบว่า พร้อมกับถอนหายใจ กระชับแฟ้มเอกสารในอกแน่น

“โอ๊ย ระดับน้องเสี้ยวแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก มีอะไรบนโลกนี้ด้วยเหรอที่แกจะทำไม่ได้ ไม่เคยมีนะ” สมนาคุณรีบว่า ก่อนส่งแววตาเปล่งประกาย นึกไปถึงใบหน้าหล่อคม ขาวสว่างของบุคคลที่จะได้รับการโค้ชชิ่ง ก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้

“แต่ถ้าน้องเสี้ยวจะขอความช่วยเหลือจากใคร ฉันขอเสนอตัวเป็นคนแรกเลยนะ” และว่าต่อแบบระริกระรี้

“แหมๆ ไม่ได้เลยนะพี่น่ะ เอาใหญ่...” วาวาทำเป็นออกแรงผลักเชิงแกล้ง แววตายังไม่คลายความครุ่นคิดนั้นลง

เพราะคิดยังไงก็เหมือนจะคิดไม่ออก

“ก็คุณทินกรเขาหล่อขนาดนั้นนี่ จะไม่ให้ฉันเคลิ้มได้ยังไง ยิ่งได้ไปเห็นคลิปที่โหลดเก็บเอาไว้...”

“พี่ส้ม! พอได้แล้วค่ะ พูดจาอะไรน่าเกลียด!” น้องเล็กอย่างเลขาสาว ออกแรงผลักสมนาคุณแรงกว่าวาวา ทำทีสะดีดสะดิ้งเดินห่าง หน้าแดงซ่าน

“แหมๆ ทำเป็นว่าน่าเกลียด ไหนบอกว่าไม่เคยดูไงจ๊ะ!” แล้วสาวๆ ก็พากันแซวน้องเล็ก อย่างสนุกสนานใหญ่

ไม่มีใครรู้เลยว่า ภายใต้คำสั่งอันเด็ดขาดและดูจะไม่ได้หวาดหวั่นสิ่งใด

มีการถอนหายใจเป็นร้อยรอบพันรอบ ซ่อนอยู่

จันทร์คืนแรมยังนึกไม่ออกเลยด้วยซ้ำ ว่าถ้าได้เจอหน้าเขาอีกครั้งตัวเองจะแสดงสีหน้ายังไง จะพูดอะไร เธอออกแบบตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ

“ไง...ได้ยินชื่อนี้เข้าไป ถึงกับอึ้งเลยเหรอ?” เหมือนวาดว่าเชิงตื่นเต้น เมื่อเห็นเจ้านายน้อยของตัวเองนิ่งไป หลังได้รับคำรายงาน

“คุณเสี้ยว เป็นโค้ชชิ่ง ที่จะมาช่วยดูแลคุณทิน ในช่วงเวลาที่ถูกควบคุมความประพฤตินี้ค่ะ”

ทินกรยังไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธเรื่องการถูกควบคุมความประพฤติ หลังจากมารดาแจ้งคำสั่งลงมาผ่านเลขาที่ไว้ใจ

“เสี้ยว? เสี้ยวไหน” แววตาที่อึ้งไปนั้น ฉายความครุ่นคิดออกมา จนเหมือนวาดต้องฮึดฮัดใส่

“อะไรกันคะ จำไม่ได้จริงหรือว่าแกล้ง?”

“จะแกล้งเพื่ออะไร” ว่าอย่างจริงจังบ้าง จนฝ่ายนั้นต้องถอนหายใจ พร้อมยื่นประวัติของโค้ชส่งให้ เพราะต้องเตรียมข้อมูลให้เจ้านายในทุกเรื่องเสมอเป็นปกติ

“คุณเสี้ยว ชื่อจริงว่าจันทร์คืนแรม นามสกุลเลิศล้ำ ประวัติการทำงานเป็นโค้ชผู้ล้ำเลิศ แถมยังเคยเป็นเพื่อนผู้ช่วยผลักดันให้บอสน้อยของพี่เรียนจบชั้นมัธยมปลายมากับใครเขาได้อีกด้วย” คนที่ไม่เชื่อว่าทินกรจะลืมจันทร์คืนแรมไปแล้วจริงๆ ลอบสังเกตสีหน้าของคนที่กำลังพลิกประวัติในแฟ้มดูอย่างใจเย็นแบบไม่ให้คลาดสายตา

และเธอก็ได้เห็นจริงๆ ว่า...

แววตาคมนิ่งคู่นั้น มีแวววูบไหว แม้เพียงเล็กน้อยก็ตามแต่ มันมากพอแล้วจริงๆ สำหรับแววตาที่ไม่ค่อยจะแสดงออกอะไรให้ได้เห็น

ผู้หญิงคนนี้ มีอิทธิพลยันหัวใจของคุณทินแน่ๆ ไม่ใช่แค่ช่วยเรื่องเรียนหรอก!

“พอจะจำเพื่อนขึ้นมาได้แล้วใช่ไหมคะ...?”

“อือ” ตอบเหมือนไม่ได้ใส่ใจ ปิดแฟ้มลง พร้อมวางแบบเหมือนโยนทิ้งแบบส่งๆ

“พี่นัดโค้ชเสี้ยวเข้ามาพบในวันนี้ช่วงบ่าย เตรียมตัวกันยังไงบ้างดีคะ”

“ต้องเตรียมด้วยเหรอ” ขัดขึ้น จนคนที่กำลังจะส่งแฟ้มสำหรับการเตรียมตัวถัดไปให้ เบรกมือตัวเองหัวแทบจะทิ่ม

“ก็ต้องเตรียมสิคะ เขาจะมาโค้ชเรา ไม่ได้มาเยี่ยมเยียนธรรมดาซะหน่อย เราจะต้องรู้สิคะ ว่าจะต้องทำอะไรยังไงบ้าง”

“ใครบอกว่าผมจะยอมให้โค้ช”

“อ้าว ไม่ยอมได้ยังไงล่ะคะ คุณพ่อท่านให้โอกาสแล้ว ก็ต้องทำตามประสงค์ของท่านสิคะ!” เหมือนวาดเริ่มเสียงดังขึ้น ความหงุดหงิดเดิมๆ เริ่มประเดประดังเข้ามา เรื่องนี้ไม่ง่ายเหมือนเดิมๆ อีกแล้วสิน่า!

“ผมไม่เคยอยากได้โอกาส”

“คุณทิน...พี่กราบละคะ อย่าดื้ออีกเลยนะคะ การถูกตัดเงินในเวลาที่เราทำงานทำการอะไรก็ไม่เป็นแบบนี้ มันแย่มากนะคะ ยอมๆ ไปเถอะค่ะ แล้วค่อยหาทางดื้อเอาภายหลัง” เหมือนวาดไม่อยากจะเห็นอาทิตย์ในร่างอวตาร ไม่อยากเห็นฤทธิ์เดชของอาทิตย์ ที่พร้อมจะแผดเผาทุกอย่างตรงหน้า

บางทีเธอก็คิดนะ ว่าทินกรไม่ควรจะชื่อทินกร โลกใบนี้ไม่ควรมีดวงอาทิตย์สองดวงยังไงล่ะ!

“เรื่องที่จะพูดมีแค่นี้ใช่ไหม” ว่าพร้อมลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง

“เดี๋ยวสิคะคุณทิน จะไปไหนคะ วันนี้ห้ามออกไปไหนนะคะ ต้องรอโค้ชอยู่ที่บ้าน นัดเขาเอาไว้เรียบร้อยแล้ว” เหมือนวาดกางแขนออกจนสุด เพื่อขวางไม่ให้เจ้านายน้อยของตัวเองหลุดลอดไป ด้วยใบหน้าที่พร้อมจะร้องไห้ พระอาทิตย์ดวงที่สองกำลังนำความร้อนระอุมาให้เธออีกรอบแล้ว!

“ใครเป็นคนนัด”

“พี่ไงคะ พี่นัดให้แล้วเสร็จสรรพ สงสารพี่เถอะนะคะ ไม่อย่างนั้นคุณแขเอาพี่ตายแน่!”

“พี่นัด ก็อยู่เจอไปสิ...ผมไม่ได้นัดด้วย” แล้วทินกรก็เดินออกจากห้องทำงานและรับแขกของพิมพ์แขไป ปล่อยให้เลขาสาวของมารดาเต้นเหยงๆ ร้อนใจว่าจะทำยังไงดี!

ทินกรก้าวลงจากรถแท็กซี่ ก่อนเดินไปตามริมถนนนอกเมือง ที่ผู้คนไม่ได้พลุกพล่านนัก

วันนี้เขาสวมเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนสีซีดตามแบบฉบับที่ชอบใส่ในวันสบายๆ ไม่อยากพบเจอกับความวุ่นวาย ด้วยรองเท้าผ้าใบเน่าคู่เดิม ที่เหมือนจะมีอยู่คู่เดียว

เขาชอบมาเดินเล่นที่นี่ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ทุกครั้งที่มีเรื่องให้ต้องครุ่นคิดหรือทบทวน เขามักจะมาที่นี่...

สวนสาธารณะเก่า ที่ตอนนี้ถูกปรับปรุงให้มีบริเวณและพื้นที่สำหรับการเดินและวิ่งได้สะดวกขึ้น มีดอกไม้และพันธุ์ไม้ต่างๆ หลากหลายพันธุ์กระจายอยู่

เขาไม่ได้มาที่นี่สักพักใหญ่ๆ ตั้งแต่เกิดเรื่อง...

เขาไม่มีเรื่องที่จะต้องทบทวนอะไร ไม่จำเป็นต้องทบทวนอะไร ทั้งๆ ที่ควรจะทบทวนเป็นอย่างยิ่ง

“ขนมปังให้อาหารปลาจ้า...ขนมปังจ้า...” เสียงของแม่ค้าขายขนมปัง ดังมาจากริมหนองน้ำเล็กๆ ที่มีปลาตัวใหญ่แหวกว่าย

ภาพช่วงเวลาเดิมๆ ได้หวนย้อนเข้ามาแบบไม่ได้ตั้งใจ

‘ฉันชอบเวลาที่ได้เขวี้ยงขนมปังให้ปลาที่สุดแล้ว มันรู้สึกสะใจไปพร้อมๆ กับโล่งใจ ยิ่งตอนปลางับขนมปังของฉัน ฉันยิ่งรู้สึกโล่งใจ เหมือนไอ้ความกังวลใจต่างๆ ถูกกลืนกินและขบเคี้ยวไปต่อหน้าต่อตา’

เสียงของคนที่เคยพาเขามาที่นี่ครั้งแรก แวบเข้ามาพร้อมกับใบหน้าที่เพิ่งจะเห็นไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว

ใบหน้าจากรูปถ่าย...ที่ดูเปลี่ยนแปลงไปมาก ยกเว้น แววตา

“เอาขนมปังห้าแถวจ้ะป้า” แล้วเสียงในห้วงความทรงจำ ก็ดังชัดขึ้นมา

“นี่จ้ะ...ร้อยห้าสิบบาท” ทินกรยังไม่ยอมหันไปมองยังต้นเสียงนั้น เหมือนกำลังตั้งสติ...

เหลือบไปมองอีกที ก็เห็นเพียงแผ่นหลังเล็กของผู้หญิงคนนั้น กำลังมุ่งหน้าไปยังบ่อปลา

แผ่นหลังของเธอมีเส้นผมสีดำสนิท ปล่อยสยายไปจนถึงกลางหลัง เธอสวมเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนขาดเข่าสีซีด

เธอคือต้นฉบับ...

เขาคือผู้ลอกเลียนแบบ

‘ทำไมนายชอบแต่งตัวตามฉันเนี่ย คิดเองไม่เป็นหรือไง’ เสียงโมโหของเธอในตอนนั้นทำเอาเขาพึงพอใจ

ใช่ เขาแต่งตามเพื่อให้เธอโมโห

จนแทบไม่รู้ตัวเลยว่า ชอบแต่งแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่

ไม่เห็นเหมือนในรูปเลย

รูปจันทร์คืนแรมในประวัติดูเป็นทางการ ไม่ได้ดูสบายๆ เหมือนที่เห็นอยู่ในตอนนี้

เขาเดินไปแอบอยู่หลังต้นไม้ ยืนมองเธอเขวี้ยงขนมปังให้ปลาอย่างสุดพลัง ราวกับมีร้อยพันเรื่องราวในหัว

“นี่เราต้องไปเจอเขาจริงๆ เหรอเนี่ย...เราจะต้องทำตัวยังไงดีวะ เราจะต้องทำสีหน้ายังไง!” ด้วยความที่เห็นว่าไม่มีใครอยู่บริเวณนี้ จันทร์คืนแรมก็พูดความในใจของตัวเองออกมาดังๆ

“ขนมปัง ช่วยด้วยยยยย...ช่วยพาความประหม่าออกไปจากใจให้ที เอาไปให้หน่อย!” พูดไปโยนขนมปังไป จนคนลอบมองแอบยิ้ม

ภาพของเธอในเวลานี้ ดูไม่ต่างจากเมื่อ 10 ปีก่อน

ผู้หญิงขี้โวยวายคนเดิม เป็นยังไงก็ยังคงเป็นอย่างนั้น อะไรไม่ได้ดั่งใจหน่อย ก็จะปล่อยคำบ่นออกมาเป็นวรรคเป็นเวร

“หรือว่าฉันจะไม่ไป หรือว่าฉันจะยกเลิกดี...” น้ำเสียงอ่อยๆ เหมือนสิ้นหวังของเธอ ทำเอาแววตาคมกระตุก

“มันไม่มีอะไรหรอก เรื่องมันผ่านมาตั้งนานแล้ว เขาคงลืมไปแล้วมั้ง...”

“เขาลืมไปแล้ว เราก็ควรจะลืมด้วย” ประโยคนี้น้ำเสียงของเธอแผ่วลง มองขนมปังก้อนใหญ่ในมือ พร้อมเขวี้ยงออกไปทั้งก้อน แล้วปลาตัวใหญ่ก็พากันรุมตอด ตวัด ลากขนมปังก้อนนั้นจนมันจมลงไปในน้ำ

ใช่ ความรู้สึกพวกนั้น จะต้องเหมือนขนมปังก้อนนี้

จมหายไปเหมือนไม่เคยมีอยู่

“ไม่เคยมีอยู่โว้ย!” แล้วขนมปังก้อนอื่นๆ ก็ถูกฉีกและเขวี้ยงออกไปอย่างสะใจ โดยที่เจ้าตัวไม่รู้เลยว่า มีสายตาคู่หนึ่งจ้องมองพร้อมส่ายหน้าใส่เธออยู่

เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel