6 นอกจากเธอ ก็ไม่เห็นว่าตาทิน จะเคยฟังผู้หญิงคนไหน
จันทร์คืนแรมกวาดสายตาไปยังข้อมูลทั้งหมดตรงหน้า ซ้ำอีกครั้ง...หลังจากอ่านมาแล้วสามรอบ เมื่อช่วงกลางวัน
เธออ่านมันราวกับว่าเป็นงานสำคัญนักหนา
ก็สำคัญจริงๆ นี่
เถียงตัวเอง ในขณะที่มือกำลังลูบไล้เสี้ยวหน้าคม เรียวยาว ที่มีสันจมูกโด่งพุ่งเด่นหรา...ในรูปถ่ายครึ่งตัว ที่ถูกแนบร่วมมาให้
“ใช้เวลาเรียนอะไรนานขนาดนั้น คงจะเกเรเหมือนเดิมล่ะสิ” เธอส่ายหน้าให้กับประวัติการศึกษาของเขา ในฐานะคุณครูจำเป็น ที่เคยช่วยสอนเขาทุกวิชามาตลอด
ทินกรเป็นคนหัวดี เขาเข้าใจอะไรง่าย จำเก่ง หากแต่ขาดความใส่ใจเท่านั้น
ภาพวันวานที่ตัวเองเอาหัวชนกับเขา เพื่อบังคับให้เขานั่งทำการบ้านและฝึกทำข้อสอบ หวนย้อนเข้ามาในความทรงจำ
“ไปอยู่ที่นั่น...คงจะไม่มีใครพาอ่านหนังสือและเข้าเรียนล่ะสิ” จันทร์คืนแรมรู้สึกไม่สบายใจยังไงก็ไม่รู้ ที่ได้รู้ว่าเขากลับไปอยู่ในจุดที่ย่ำแย่กว่าเดิม
ทั้งๆ ที่เธอ ก็ลากและฉุดเขาขึ้นมาได้แล้วแท้ๆ
“เพราะอะไร ทำไมถึงได้กลับไปทำตัวแบบนั้นอีก” เปรยออกมาแบบไม่ได้ตั้งใจ แต่กลับรู้สึกเย็นวาบไปทั้งใจ...
เพราะอะไรงั้นเหรอ?
ใจดวงน้อยที่เหมือนรู้คำตอบอยู่แล้ว พากันสั่นพร่าขึ้นมา...ภาพค่ำคืนที่แสนจะสุขสมและเช้าวันต่อมาที่แสนจะขมขื่น เป็นคำตอบให้กับคำถามได้อย่างดี
“คงจะเป็นเพราะ...” มันเจ็บปวดเกินกว่าที่จะพูดออกไป ริมฝีปากบางจึงได้เม้มเข้า พร้อมกับถอนลมหายใจ
ดวงตาใสจดจ้องไปยังรูปภาพของเขาอีกครั้ง
ก่อนค่อยๆ แนบศีรษะซบลงไปเชื่องช้า แบบไม่ยอมละสายตาจากรูปนั้น ปลายนิ้วเรียวยาวรูปไล้สันกรามได้รูป ที่วางอยู่อย่างเรียบเฉย ตามอารมณ์ของคนถ่ายรูปทีไร ก็ไม่เคยที่จะยกยิ้ม
เธอรู้สิ ว่าสาเหตุทั้งหมดมันเป็นเพราะอะไร
อาจจะไม่ใช่เพราะเธอโดยตรงหรอก แต่เธอคือสาเหตุให้เกิดเหตุอีกที
‘ก่อนตัดสินใจ คุณพิมพ์แขขอคุยกับเสี้ยวเป็นการส่วนตัวด้วย พอจะสะดวกรึเปล่า’
ชื่อของมารดาทินกร ทำให้หญิงสาวอดนึกไปถึงคราวที่ท่านเดินทางมาขอบคุณเธอถึงโรงเรียน ที่ทำให้ทินกรสอบผ่านเทอมหนึ่งมาได้อย่างสวยงาม
เธอได้ร่วมรับประทานอาหาร พูดคุยและได้รับการพาเดินซื้อของในห้างใหญ่ พิมพ์แขเป็นคนใจดี น่ารัก แถมยังเป็นกันเองมากๆ แต่ก็ยังคงต้องไว้ตัว เพื่อรักษาเกียรตินามสกุลของสามี
“คุณพิมพ์แขคงจะทุกข์ใจกับเรื่องนี้มาก...ถึงได้ออกปากอยากเจอเรา”
อันที่จริง จันทร์คืนแรมก็พอจะทราบว่าทินกรมีปัญหากับที่บ้าน แต่รายละเอียด...เธอไม่เคยได้รู้
คนอย่างทินกร ไม่เคยปริปากพูดเรื่องอะไรง่ายๆ นี่คือความจริงเดียวเกี่ยวกับเขาที่เธอได้รู้
‘ถ้าไม่มีเธอ ฉันก็ไม่รู้ว่าป่านนี้ตาทินจะเป็นยังไง ฉันขอบใจเธอมากนะ’
ประโยคนี้ทำให้จันทร์คืนแรม เปิดลิ้นชักบนโต๊ะทำงานออกมา หยิบกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินเล็กๆ ที่อยู่มุมในสุดออกมา
การอยู่ในมุมที่ลึกที่สุดในลิ้นชัก ก็คงจะเหมือนเรื่องราวและที่มาของมัน ที่ได้อยู่ในส่วนลึกของจิตใจเธอ
‘นี่คือสิ่งตอบแทน...จากฉัน’
มือเล็กเปิดกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินนั้นออก เผยให้เห็นจี้เพชรเม็ดเล็กๆ ใส กับสร้อยทองคำขาว ที่เธอไม่เคยกล้าที่จะนำออกมาใส่
‘ขอบคุณที่ทำให้ลูกชายของฉัน เรียนจบม.หกกับใครเขาได้’
สร้อยและจี้ถูกหยิบออกมาสัมผัสอีกครั้ง ด้วยความรู้สึกทบทวนและชั่งใจ ว่าเธอจะเอายังไงต่อไป เธอจะรับงานนี้หรือไม่...
หรือไม่ควรที่จะกลับไปเกี่ยวข้องอะไรกับเขาอีก
“ฉันดีใจนะ ที่เธอยอมออกมาเจอฉัน” พิมพ์แขยิ้มกว้าง เอื้อมมือมาสัมผัสมือบางของคนที่นั่งตรงกันข้าม ด้วยรูปลักษณ์ที่งามพร้อมกว่าเมื่อสิบปีก่อน
เด็กผู้หญิงหน้าตาจืดชืดธรรมดา ผมเผ้ารุงรังในวันนั้น ดูสวยผุดผาด ทั้งการแต่งกาย แต่งหน้าและกิริยามารยาท
“คุณพิมพ์แขสบายดีนะคะ” เธอเอื้อมมือสัมผัสตอบรับ ด้วยรอยยิ้มเคารพน้อมเหมือนที่เป็นมา
ไม่ว่ารูปลักษณ์ภายนอกเธอจะเปลี่ยนไปแค่ไหน แต่แววตาของเด็กสาวในวันนั้น ก็ยังคงเป็นคู่เก่า...
พิมพ์แขแทบจะร่ำไห้ออกมา
“ไม่เลยจ้ะ ฉันไม่สบายเลย ไม่สบายทั้งใจและกาย” ความหวังสุดท้ายนั่งอยู่ตรงหน้านี้แล้ว เธอจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้จันทร์คืนแรมใจอ่อน
“ตาทินทำให้ฉันปวดหัว สร้างแต่เรื่อง ทั้งๆ ที่ก็โตจนปูนนี้ ฉันล่ะกลุ้มใจ๊กลุ้มใจ...” แล้วพิมพ์แขก็สาธยายปัญหาของทินกรที่สร้างเอาไว้ทั้งหมด ตั้งแต่เรียนจบชั้นมัธยมปลาย และได้ไปเรียนต่อที่นิวยอร์ก
“ตาทินทำตัวเหลวแหลกกว่าเดิมมากๆ มากเสียยิ่งกว่าครั้งไหนๆ เมามาย เสียใจ จนเหมือนจะเสียผู้เสียคน ไปอยู่นิวยอร์กสองถึงสามปี กว่าจะยอมเรียนมหาวิทยาลัยให้ พอเข้าไปเรียน ก็เรียนๆ เลิกๆ กว่าจะจบมาให้ได้ ก็ปาไปหลายปี...”
คำบอกเล่าเหล่านั้น ทำเอาจันทร์คืนแรมรู้สึกเหมือนโดนบีบหัวใจ เกิดคำถามมากมายขึ้นมาในหัว
เราคือต้นเหตุที่ทำให้เขาเป็นแบบนั้นเหรอ?
“แล้ว...แฟนของทินล่ะคะ”
“ตั้งแต่เรียนจบ ก็ไม่เห็นหนูหยาดอีกเลย...ตาทินไม่เคยพูดถึง และก็ไม่เห็นคบใครอีกจนทุกวันนี้นะ คงจะมีปัญหากัน ตาทินรักหนูหยาดมาก ก็เลยเสียใจมาก จนไม่กล้าเปิดใจให้ใคร” จันทร์คืนแรมเม้มริมฝีปากเข้า อยากจะย้อนเวลากลับไปตบปากตัวเองเมื่อ 1 นาทีที่แล้ว
จะถามออกไปทำไม!
“เราเองก็เหมือนกัน หายไปเลยอีกคน ติดต่อยังไงก็ติดต่อไม่ได้ รู้รึเปล่า ว่าตาทินกับหนูหยาดเขามีปัญหาอะไรกัน” จันทร์คืนแรมรีบส่ายหน้า พร้อมยิ้มน้อยๆ เก็บอาการส่วนอื่น เอาไว้จนลึกสุดกิริยา
“เสี้ยวต้องขอโทษคุณพิมพ์แขด้วยนะคะ ที่หายไป พอดีว่าช่วงนั้นโทรศัพท์เสี้ยวเสีย แล้วก็ยุ่งๆ เกี่ยวกับการเข้าเรียนมหาวิทยาลัยด้วย ไม่ได้ติดต่อเพื่อนคนไหนเลยเหมือนกันค่ะ”
ตอนนั้นจันทร์คืนแรม เลือกที่จะไปเรียนมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาคเหนือ ที่ไกลสุดเขตประเทศไทย เป็นคณะที่เธอไม่ได้ชอบนัก แต่ต้องไป...เพราะอยากจะหนีไปให้ไกล
ไม่คิดเลยด้วยซ้ำ ว่าคนที่เธออยากหนี ได้หนีไปไกลยิ่งกว่า
“ช่างมันเถอะจ้ะ เรื่องมันผ่านไปแล้ว มาเริ่มใหม่ด้วยการช่วยฉันหน่อยนะ...” พิมพ์แขไม่เคยแทนตัวเองว่าแม่ หรือเรียกจันทร์คืนแรมว่าเป็นลูก เพราะอยากจะเว้นระยะห่าง ไม่ให้ดูสนิทสนมจนเกินไป
แม้กระทั่งตอนนี้...
เหตุผลทั้งหมด ก็เพราะว่าเธอเป็นบุคคลหนึ่งที่ใช้นามสกุลภักดีศาลอยู่ การวางตัวต่างๆ ต้องเป็นไปตามระเบียบของตระกูลที่ได้กำหนดเอาไว้ตั้งแต่บรรพบุรุษ
“นอกจากเธอ ฉันก็ไม่เห็นว่าตาทิน จะเคยฟังผู้หญิงคนไหน” พิมพ์แขกระชับมือของจันทร์คืนแรมเข้า จ้องเข้าไปในดวงตาเด็กสาวคนนั้น ที่ยังไม่ได้เปลี่ยนไป
“ฉันอยากให้เธอช่วยทำยังไงก็ได้ ให้ตาทิน หยุดสร้างความเดือดร้อนซะที!...”
“เพราะถ้าตาทินยังสร้างความเดือดร้อนอยู่แบบนี้ ภักดีศาลไม่เอาตาทินไว้แน่ ถือว่าเห็นใจฉันเถอะนะ จะให้ฉันทำยังไงก็ได้...จะให้ฉันกราบเธอก็ได้”
“อย่าค่ะคุณพิมพ์แข ไม่ต้องทำขนาดนั้นหรอกค่ะ” หญิงสาวรีบจับมือขาวเนียน ที่ยังไม่เหี่ยวย่นตามวัยเอาไว้มั่น เชิงห้ามปราม
“ฉันรู้ว่าเรื่องที่ตาทินทำ มันสร้างความเสื่อมเสีย จนใครก็คงไม่อยากจะเอาตัวลงมาแปดเปื้อนหรือถูกมองไม่ดีไปด้วย แต่ฉันมั่นใจนะ...ว่าเธอมีความสามารถ มีความสามารถในการโค้ชชิ่งตั้งแต่ยังเรียนอยู่
ตอนนี้เธอประสบความสำเร็จในการโค้ชชิ่งคนแล้ว เธอต้องเก่งกว่าตัวเองในวันวาน ฉันเชื่อ...ว่าเธอจะช่วยฉันได้”
ไอ้เรื่องอยากช่วย เธออยากช่วยแน่อยู่แล้ว
อยากช่วยมากๆ...
แต่เธอไม่มั่นใจ ว่าเธอจะสามารถช่วยอะไรได้เหมือนเดิมไหม
เพราะเรื่องระหว่างเธอกับเขา มันไม่เหมือนเดิมแล้ว!
ทุกอย่างเปลี่ยนไป ตั้งแต่ ‘คืนนั้น’ แล้ว
เปลี่ยนไปในชนิดที่เธอก็ยังไม่กล้า...จินตนาการหรือคาดเดาว่า ถ้าได้เจออีกครั้ง มันจะเป็นยังไง
ถ้าได้เจอกันอีกสักครั้ง เธอก็ไม่รู้เลยว่า เขาจะว่ายังไง แล้วเธอจะรู้สึกอะไร...จะไหวรึเปล่า
เธอไม่รู้จริงๆ...
