ตอนที่ 8
ร่างกายก็ไม่มีสิ่งใดบุบสลาย เรื่องนี้จะมีแค่เธอกับเขาเท่านั้นที่รู้ ร่างกายที่เคยหวงแหนยังคงเป็นของเธอ… หากแต่สิ่งที่ได้สูญเสียไปแล้วก็คือความรู้สึก
ภายหลังจากจัดแจงเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทางอย่างลวกๆ พ่อเลี้ยงเดโชมองหาโทรศัพท์อย่างขัดใจ เมื่อพบว่ามันไม่อยู่บนโต๊ะ เขาลืมไปเสียสนิทว่าตัวเองนั่นแหละที่กวาดมันกระเด็นกระดอนไปพร้อมกับกองเอกสารเพราะความรีบร้อนเมื่อครู่
ร่างสูงใหญ่ก้มเก็บโทรศัพท์ เขาดูงุ่นงาน เก้ๆ กังๆ ก่อนจะกดเรียกคนนอกห้อง ครู่ต่อมาป้าศรีก็เข้ามาพร้อมกับน้ำเย็นเฉียบและเบียร์ในแก้วที่พรายฟองยังผุดพราย
“เอ่อ… จะให้ป้าเก็บข้าวของพวกนี้เลยไหมคะ?”
ป้าศรีตะกุกตะกัก กวาดสายตาไปตามเอกสารที่กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น แม้ว่าแกจะแสดงสีหน้าฉงน… แต่ก็เดาได้ไม่ยากว่าเสียงตึงตังที่เกิดขึ้นภายในห้องเมื่อครู่นั้นคืออะไร?
“ยังก่อน…”
พ่อเลี้ยงเดโชตอบสั้นๆ ป้าศรีหลุบสายตาลงอย่างเข้าใจสถานการณ์ รีบก้าวออกไปจากห้องอย่างรู้งาน
เมื่อเริงรตีก้าวออกมาจากห้องน้ำ เป็นจังหวะเดียวกันกับโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าของเธอส่งเสียงดังขึ้นมาพอดี
“สวัสดีค่ะ เริงรตีพูดค่ะ…”
เธอยกโทรศัพท์มือถือขึ้นแนบหู เสียงแผ่วเบาแว่วมาจากปลายสาย แล้วสิ่งที่ได้รับรู้… ก็ทำให้โลกทั้งใบของเธอราวจะวูบดับลงในวินาทีนั้น
“คะ!… อะ.. อะไรนะคะ…?” เริงรตีอุทานลั่น
มือไม้เบาหวิว ราวจะทรงตัวเอาไว้ไม่ไหว เรือนร่างนิ่งงันราวกับถูกสะกดด้วยประโยคเพียงสั้นๆ จากปากของผู้ที่อยู่ปลายสาย
เธอยกมือข้างหนึ่งขึ้นปิดปาก แหงนหน้าขึ้นมองเพดานห้อง กระพริบตาถี่ๆ เพื่อขับไล่หยาดน้ำตาซึ่งไหลพรากออกมาโดยไม่รู้ตัว ให้กลับลงไปขังอยู่ในดวงตาดังเดิม
“เกิดอะไรขึ้นครับ…”
ด้วยความตกใจว่าต้องเกิดเรื่องร้ายอะไรขึ้นสักอย่างเป็นแน่แท้? เขารีบก้าวยาวๆ ตรงรี่เข้าประคองร่างซวนเซของเธอเอาไว้ได้ทันท่วงที
เธอซบหน้าร้องไห้กับอกเขา เห็นได้ชัดว่าใบหน้าสะสวยของเริงรตีเปลี่ยนไปเป็นซีดเซียวราวกับหน้ากระดาษที่ปราศจากตัวอักษร
“เสี่ยกำพลค่ะ…”
เธอบอกทั้งสะอื้น สูดหายใจแรงคล้ายกำลังรวบรวมสติเพื่อเค้นเอาถ้อยคำออกมา
“ทำไม…?” หัวคิ้วของเขาขมวดมุ่น
“เสี่ยกำพลสิ้นใจแล้วค่ะ…”
เธอไม่ได้ร้องไห้ออกมาดังๆ ก็จริง แต่ก็สะอื้นแรงจนตัวโยนด้วยความสะเทือนใจ
เสี่ยกำพลก็คือสามีของเธอที่นอนทอดร่างแน่นิ่งราวกับเจ้าชายนิททราอยู่บนเตียงผู้ป่วยภายในห้องไอซียูของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งมานานกว่าหกเดือน ด้วยอาการเส้นเลือดในสมองแตก
ชั่วขณะหนึ่งซึ่งเกิดอาการคล้ายจะเป็นลม ใบหน้าของสามีก็ผุดพรายขึ้นในมโนภาพของเธอ ภาพนั้นยังจดจำได้ติดตา ศีรษะของเขาโล้นเกลี้ยงเพราะถูกโกนเพื่อผ่าตัดซ้ำแล้วซ้ำอีก มองเห็นรอยเย็บเต็มไปหมด รอบศีรษะโพกพันเอาไว้ด้วยผ้าขาว สายยางพลาสติกเส้นเล็กๆ ระโยงระยางอยู่ทั้งจมูกและปาก
เริงรตีสะอื้นฮั่ก ไม่อาจหักห้ามน้ำตาที่รินไหล ความเสียใจเมื่อได้รู้ว่าเขาสิ้นใจ… บางที่อาจจะยังน้อยกว่าความเสียใจเพราะรู้สึกผิดในสิ่งซึ่งเธอเพิ่งกระทำกับพ่อเลี้ยงเดโชเมื่อครู่…
เริงรตีรู้สึกสับสนและชิงชังตัวเองขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เมื่อนึกถึงภาพของสามีในขณะที่กำลังจะสิ้นลมหายใจคาเตียงคนไข้ภายในห้องไอซียูของโรงพยาบาล ซึ่งตอนนั้น… คงเป็นจังหวะเดียวกันกับร่างของเธอที่กำลังแดดิ้นจวนเจียนจะสิ้นใจตายคาโต๊ะทำงานของพ่อเลี้ยงเดโชเช่นกัน… ต่างกันตรงวิธีที่ถูกทำให้ขาดใจ
“ผมเสียใจด้วยนะครับ… เรื่องสามีคุณ”
พ่อเลี้ยงเดโชกล่าวด้วยสุ้มเสียงเศร้าสลด แม้ว่าเขาจะเอ่ยออกมาจากใจจริง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกผิดบาปคลายไปจากดวงตาที่ชุ่มไปด้วยรื้นน้ำตาของคนฟัง
“ให้ผมไปส่งคุณที่โรงพยาบาลนะครับ”
เขากุมมือเธอแล้วบีบเบาๆ ขันอาสาอย่างจริงใจ ทว่า
เริงรตีกลับรู้สึกว่ากำลังถูกยัดเยียดความละอายยิ่งขึ้น หากต้องไปเผชิญหน้ากับร่างไร้ลมหายใจของชายที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘สามี’ ของเธอ พร้อมๆ กับ ‘ชู้รัก’ ที่เพิ่งผ่านสังเวียนสวาทกันมาสดๆ ร้อนๆ
“ขอบคุณค่ะ แต่อย่าดีกว่า… รตีอยากไปคนเดียวค่ะ”
ตอบเสียงเศร้า พ่อเลี้ยงเดโชพอจะเข้าใจได้ในเหตุผลของเธอ เลยไม่รู้สึกว่าถูกปฏิเสธน้ำใจแต่อย่างใด
“ผมรักคุณนะครับรตี… ”
สิ้นเสียงแผ่วเบาราวกระซิบ เขาสวมกอดเธอจากด้านหลัง เอื้อมมือใหญ่ไปกุมที่มือเรียวบางของเธอแล้วบีบเบาๆ ราวจะตอกย้ำให้เธอเชื่อมั่นว่าเขาจริงใจแค่ไหน
แต่สำหรับเริงรตี… เธอกลับรู้สึกว่า ‘คำรัก’ ยังเร็วไปอยู่ดี สำหรับความสัมพันธ์ของเธอกับเขาที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อครู่ แม้จะลึกซึ้งและข้ามขั้นตอนจนได้เสียกันแล้วก็ตาม
“คิดถึงผมนะครับ… ถ้าต้องการความช่วยเหลือ ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ เรื่องอะไรก็ตาม ผมยินดีเสมอถ้าเป็นคุณ”
