ตอนที่ 9
เขากล่าวทิ้งท้ายเอาไว้อย่างมีนัยสำคัญ
ครู่ต่อมา รถบีเอ็มดับเบิ้ลยูสีแดงเลือดนกคันหรู ก็แล่นออกมาจากคฤหาสน์ไม้หลังงามของพ่อเลี้ยงเดโชด้วยความรีบร้อน
จากบานหน้าต่างของห้องทำงาน เขาแหวกม่านมองส่งจนรถของเธอแล่นลับไปกับสำแสงสุดท้ายของวัน ท่ามกลางสายหมอกสีขาวที่โรยตัวลงปกคลุมไร่องุ่นกว้างใหญ่ไพศาล
ขณะที่รถกำลังแล่นจากมา เริงรตีเอื้อมมือออกไปกดปุ่มปรับลดบานกระจกไฟฟ้าลงจนสุดราง ปล่อยให้สายลมที่พัดแรง โลมลูบใบหน้า รับแรงปะทะที่ตอกย้ำความด้านชาน่าละอายกับสิ่งที่เพิ่งกระทำลงไปด้วยอารมณ์เพียงชั่ววูบ
ในจังหวะหนึ่ง ปลายเท้าของเธอเหยียบลงบนแป้นคันเร่งจนสุดแรง แผ่นหลังบอบบางกระแทกเข้ากับเบาะนั่ง ทั้งรถและคนพุ่งทะยานไปข้างหน้าด้วยความแรงสูงอย่างไม่นึกหวาดกลัวอันตรายใดๆ
เริงรตีรู้สึกได้ถึงปรอยน้ำตาใสๆ ของตัวเองที่ปลิวกระเซ็นไปตามแรงลมและความเร็วของรถ
เมื่อละสายตาที่ทอดมองดูการจากไปของเริงตรีอยู่เงียบๆ พ่อเลี้ยงเดโชก้าวกลับมาคว้าแก้วเบียร์เย็นฉ่ำ ทรุดร่างท้วมใหญ่ลงนั่งบนเก้าอี้ พร้อมกับยกแก้วเบียร์ขึ้นจิบอย่างสบายอุรา ในสมองครุ่นคำนึงถึงข่าวการเสียชีวิตของเสี่ยกำพล… ว่าแท้จริงก็คือของขวัญชิ้นใหญ่ที่เขาทิ้งเอาไว้ให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งก็คือตัวเขากับเริงรตี คงถึงเวลาแล้วที่เขาควรจะได้เชยชมเธอบ้าง หลังจากที่แอบมองมานานหลายปี
เขาอิ่มเอม สมใจอยาก กับการร่วมรักเร่าร้อนที่เพิ่งผ่านพ้นมาเมื่อครู่ก็จริง หากแต่พ่อเลี้ยงกลับไม่ได้รู้สึกเพียงพออย่างที่มันควรจะเป็น กับผู้หญิงคนนี้…
ยิ่งได้ใกล้ชิดก็ยิ่งทำให้เขาอยากครอบครองเธอมากยิ่งขึ้น ในวันที่สวรรค์เพิ่งเปิดทาง ทุกสิ่งทุกอย่างดูราวจะรู้เห็นเป็นใจไปเสียหมด ท่ามกลางข่าวการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของสามีเธอ
วันต่อมา… ท่ามกลางทะเลเมฆสีขาว แลเห็นเป็นริ้วรายลดหลั่นสลับสล้างอยู่เหนือน่านฟ้า ใบหน้าสวยสะอางของสาวน้อยฉาบเอาไว้ด้วยเครื่องสำอางเพียงบางๆ ดวงตาคู่งามซึ่งบัดนี้บวมช้ำเพราะเพิ่งผ่านการร้องไห้มาตลอดทั้งคืน ทำให้ต้องอำพรางเอาไว้ด้วยแว่นกันแดดสีดำกรอบใหญ่ เรือนผมยาวสลวยสีดำขลับขมวดเป็นมุ่นมวยเอาไว้ด้านหลัง
เธอทอดสายตาอันเลื่อนลอยผ่านหน้าต่างบานเล็กของเครื่องบินโบอิ้ง 747 ลำใหญ่ ของสายการบินแควนตัส ที่ทะยานขึ้นจากสนามบินเพิร์ธ ซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของประเทศออสเตรเลีย มุ่งตรงสู่ประเทศไทยอันเป็นจุดหมายปลายทาง
หญิงสาวรู้สึกได้ว่ายิ่งเข้ามาใกล้บ้านมากขึ้นเท่าไร หยาดน้ำตากลมเกลี้ยงก็ยิ่งรินไหลออกมาอาบนวลแก้ม ซ้ำรอยเดิมที่เพิ่งจะแห้งเหือดลงเมื่อครู่
จากนั้นไม่นานนัก แว่วเสียงประกาศจากลำโพงภายในตัวเครื่อง บอกให้ผู้โดยสารรัดเข็มขัด และปรับพนักเก้าอี้ให้ตั้งตรง เตรียมพร้อมสำหรับการร่อนลงในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า
สาวน้อยอดคิดไม่ได้ว่าเธอน่าจะมีความสุขมากกว่านี้ หากการเดินทางกลับมาบ้านในครั้งนี้… จะมีบิดามารอรับเธอเหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา
ภายหลังจากเครื่องบินร่อนลงจอดและรับกระเป๋าสัมภาระจากสายพานลำเลียงเป็นที่เรียบร้อย ที่บริเวณประตูทางออก เสียงเรียกของสตรีวัยกลางคนที่มารอรับ ก็ดังขึ้นทันทีที่เห็นเรือนร่างคุ้นตาของลูกสาว
“ทางนี้จ้ะลูก... ไอวี่”
เริงรตีโบกมือเบาๆ ให้กับลูกสาวที่เพิ่งเดินทางมาถึง หล่อนเรียกชื่อเธอว่า ‘ไอวี่’ จนติดปาก
“ แม่คะ…”
ไอวี่มองไปตามทิศทางที่มาของเสียง แลเห็นใบหน้าซีดเซียวของเริงรตีผู้เป็นมารดา หล่อนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีดำ ข้างๆ กายไร้เงาของคนเป็นบิดา
เมื่อทั้งคู่เข้ามาใกล้กันในระยะเอื้อมกอด ผู้หญิงต่างวัยสองคนก็โผเข้าหากัน สองแขนสวมกอดกัดแนบแน่น หยาดน้ำตารินไหล พร่างพรูออกมาราวกับนัดหมาย
“ฮือๆ… พ่อไม่อยู่กับเราแล้วนะลูก”
คนเป็นมารดาบอกกับลูกสาวทั้งเสียงสั่นเครือ ไอวี่เองก็สะอื้นฮั่กๆ จนตัวโยน ท่ามกลางบรรยากาศของการพบเจอที่เต็มไปด้วยความโศกสลด
ที่ศาลาสวดศพ
เมื่อเดินทางมาถึง ไอวี่รู้สึกตัวเบาหวิว ในสมองของเธอว่างโหวง มือไม้อ่อนเปลี้ยไร้เรี่ยวแรง ก้าวลงมาจากรถพร้อมกับจิตใจหายวาบ
เธอก้าวเดินช้าๆ ไม่ได้ทักทายสายตาของผู้คนรู้จักที่มองมา ตรงไปยังโลงซึ่งฉาบเอาไว้ด้วยสีทองอร่าม สลักเสลาเป็นลวดลายเครือเถาและประจำยามวิจิตรบรรจง รอบๆ โลงศพประดับประดาไว้ด้วยดวงไฟเล็กๆ หลากสีสัน กระพริบพราวไปกับดอกกุหลาบสีขาวซึ่งประดับประดาเอาไว้อย่างสวยงาม เคียงขนาบด้วยพวงหรีดมากมาย ตั้งเรียงรายออกไปทั้งซ้ายขวา พวงหรีดดอกลิลลี่สีขาว ช่อใหญ่สะดุดตา ถูกตั้งไว้บริเวณด้านหน้าสุด ที่มุมด้านล่างคาดเฉียงไว้ด้วยตัวอักษรสีขาวบนพื้นสีดำ มีข้อความเขียนเอาไว้ชัดเจนว่า ‘ฟาร์มอัครพลไพศัลย์’ ของพ่อเลี้ยงเดโช บ่งบอกให้รู้ถึงที่มาของหรีดพวงนั้น
