3 จากวันที่เธอเดินไปจากฉัน
พลอยนภัสบีบมือแน่น หัวใจของเธอเต้นแรงอีกครั้ง...เขาต้องการอะไรจากเธอกันแน่ ตอนนี้เธอมีชีวิตที่ธรรมดาเรียบง่าย ผมสีดำขลับของเธอก็ยังคงยาวเคลียไหล่ไม่เหมือนเมื่อตอนอยู่มัธยมปลาย เธอสาวและสวยขึ้นมาก เธอยังคงไม่ได้มีแฟนสักคนด้วยซ้ำ แม้ว่าจะมีผู้ชายมาจีบ นั่นเป็นเพราะเธอไม่ได้รักผู้ชายคนนั้น เธอ...ไม่ได้รักเขาแบบที่รักปรเมศวร์ แต่ถ้าจะพูดให้ถูก เธอไม่เคยรักใครแบบที่รักปรเมศวร์เลย
“เดี๋ยวอาจารย์ขอตัวก่อนนะพอดีคาบต่อไปมีสอน เดี๋ยวตอนเย็นเธอมาหาครูใหม่นะ พลอยนภัส ถ้ายังไงแล้วดิฉันจะติดต่อไปนะคะคุณปรเมศวร์” อาจารย์ที่ปรึกษารีบพูดโดยหันหน้าไปมาระหว่างสองคนที่ยืนจ้องกันอยู่ เพราะเลยเวลาสอนมาหลายนาที พูดเสร็จอาจารย์ที่ปรึกษาก็รีบเดินออกจากห้องไปอย่างรีบเร่ง
“ฉันก็มีเรียนพอดีเลยค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ” ก่อนที่เธอก้าวเท้าออกจากห้อง ข้อมือเล็กก็ถูกฉุดรั้งไว้ด้วยมือหนา เธอกำลังอยู่ตามลำพังสองต่อสองกับปรเมศวร์ ในห้องเรียนที่ว่างเปล่า
“นั่งลงสิ” ปรเมศวร์บอก พลางผายมือให้เธอนั่งลงบนเก้าอี้ของเธอเมื่อสักครู่
“....” หญิงสาวเหลือบไปมองเก้าอี้ของตน แต่ไม่คิดว่าขาของเธอจะขยับเดินก้าวไปหามันได้อย่างลำบากที่สุด
“เชิญคุณนั่งเถอะค่ะ”
“ไม่เป็นไร” เขาตอบ
“ถ้าอย่างนั้น ฉันก็จะยืนด้วย” สีหน้าของเขาไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย
“ฉันจะสบายใจมากกว่า ถ้าเธอจะนั่ง” มันไม่ใช่คำขอร้อง แต่เป็นคำสั่งมากกว่า พลอยนภัสเงยหน้าขึ้นมองเขารู้สึกสงสัยระคนแปลกใจ เขาไม่เคยใช้น้ำเสียง ‘สั่ง’ กับเธอมาก่อน เขาไม่เคยขึ้นเสียงหรือออกคำสั่งตั้งแต่เธอรู้จักกับเขามา เขามักจะหยิ่งผยองมั่นใจและผึ่งผายในตนเสมอ แต่เขาไม่เคยทำท่าเป็นเจ้าขุนมูลนาย ไม่เคยทำตัวอย่างเป็นทางการ แต่ตอนนี้เขาเป็นทั้งสองอย่าง
“ก็ได้ค่ะ” เธอตอบด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง
“อาจารย์ที่ปรึกษาเธอต้องการงบทำวิจัยเท่าไหร่”
“ฉันต้องคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษาก่อนค่ะ เพราะฉันเป็นแค่ผู้ช่วยอาจารย์เท่านั้น” พลอยนภัสตอบ พลางหยิบงานวิจัยของเธอขึ้นมาแนบออก เตรียมพร้อมจะเดินออกไปจากห้องที่แสนจะอึดอัดนี้ ปรเมศวร์หรี่ตาลง
“เธอจะรีบไปไหน..อยู่คุยกันก่อนสิ” เธอยิ้ม นี่แปลว่าเขาสังเกตเห็น
“ฉันมีเรียนค่ะ” หญิงสาวนั่งลงเก้าอี้ของตน โดยไม่อยากเสียมารยาทซึ่งจริง ๆ เธอวันนี้เธอไม่มีเรียนและอีกอย่างเธอกำลังจะเริ่มฝึกสอนแล้ว
“คุณไม่จำเป็นต้องบริจาคเงินของคุณหรอกค่ะ...ฉันกับเพื่อน ๆ และอาจารย์พอจะหาเองได้”
“ถ้าหากว่าเธอช่วยฉัน ฉันก็ยินดีที่จะให้ทุนในการทำวิจัย” เขาต้องการความช่วยเหลือจากเธองั้นหรือ...พลอยนภัสรู้สึกถึงน้ำหนักที่กดทับลงบนอกของเธอ และแน่ใจว่าตนกำลังจะขาดอากาศตายหญิงสาวพยายามบังคับตัวเองให้หายใจเข้าและหายใจออก พยายามเก็บอาการเสียขวัญไว้ให้มากที่สุด ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องเสียขวัญ เธอไม่ได้เป็นหนี้เขาสักหน่อย ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่มันจบไปสามปีกว่าแล้วนับจากวันนั้น
เธอพยายามที่จะรวบรวมสติให้มากที่สุดเมื่อสบตาเขา ชายหนุ่มจ้องเธอเขม็ง เหมือนว่าเขากำลังประเมินหญิงสาวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า พลอยนภัสหน้าแดง เหงื่อในมือเธอชุ่มไปด้วยความประหม่า
“คุณอยากให้ฉันช่วยเรื่องอะไรคะ”
“เรื่องที่เธอทำได้ดีน่ะสิ” เขาเดินเข้ามาหาเธออย่างช้าๆ หญิงสาวพยายามตั้งใจฟังในสิ่งที่เขาจะพูดมากกว่าจะรับรู้ถึงความใกล้ชิดกับเขา แต่ชายหนุ่มก็เดินเข้ามาใกล้มากเกินไป จนเธอตั้งตัวไม่ทัน
“ที่นี่ในสถานศึกษานะคะ” เธอเตือนสติเขา
“ใช่” ร่างสูงของเขาค้ำตัวเธอไว้
“คุณจะทำอะไร” เธอพูดออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“ทำเหมือนเมื่อสามปีก่อนไง”
“สามปีก่อน” เธอทวนคำนั้นซ้ำ ไม่อาจละสายตาจากใบหน้าที่หล่อเข้มนั้นได้ ตลอดระยะเวลาสามปีที่ผ่านมา เธอยอมรับว่าไม่สามารถลืมผู้ชายตรงหน้าได้ สามปีที่ผ่านมาพลอยนภัสทุ่มให้กับการเรียนเพื่อลืมเรื่องราวในอดีต หญิงสาวพยายามฝืนยิ้มให้เป็นธรรมชาติมากที่สุด เมื่อสติกลับคืนเธอจึงเอ่ยขึ้นก่อนที่เขาจะทำในแบบเดิม ๆ
“อย่าค่ะ”
“ใจเย็น ๆ สิ..สาวน้อย ฉันเพียงแค่จะเช็ดหมึกที่ติดอยู่ตรงคางเธอ” เขาเอื้อมเอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดรอยหมึกออกให้ แล้วโชว์ให้ดูว่าบนผ้าเช็ดหน้ามีสีดำติดด้วยรอยหมึกจริง ๆ
“ขอบคุณค่ะ” เธอกล่าวขอบคุณที่เขาไม่ทำรุ่มร่ามในห้องนี้
“คุณบอกหน่อยสิคะ ...ว่าฉันจะช่วยอะไรคุณได้”
“งานนี้เธอถนัดอยู่แล้ว” เขาตอบด้วยน้ำเสียงธรรมดา เธอรู้สึกถึงความน้อยใจในคำพูดของเขา และอารมณ์ที่อยู่ระหว่างความโกรธที่ไร้เหตุผลกับน้ำตาที่เอ่อขึ้นในใจ ทำให้เธอโพล่งออกมา
“แล้วงานมันคืออะไรล่ะคะ” ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของปรเมศวร์จ้องเธอนิ่ง ยากที่จะอ่านความรู้สึกของเขาได้ ดวงตาของเขาเป็นประกาย ความเครียดปะทุขึ้นรอบ ๆ
“เธอจะรับข้อเสนอของฉันหรือเปล่า” เหมือนกับทั้งคู่กำลังต่อสู้กัน ต่างอยู่กันคนละด้านของกำแพงที่ไม่สามารถเอาชนะกันได้
“ฉันยังไม่รู้งานของคุณ” เธอพูดผ่านไรฟัน ความโกรธทำให้เธอทั้งร้อนและหายใจติดขัด ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขามันเป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว มันนานจนไม่มีประโยชน์ที่จะรื้อฟื้นมันขึ้นมาอีก ความจริงก็คือ การพูดเรื่องที่ผ่านมา ทำให้เธอต้องเผชิญกับความเจ็บปวดอีกครั้ง
