บทที่ 22 ถึงจะเหมือนแต่ไม่ใช่ 1
“ไม่จริง! เจ้าจะไม่ใช่นางได้อย่างไร ตอบข้ามา! หากเจ้าไม่ใช่นาง เจ้ารู้ได้อย่างไรว่ามีช่องที่ซ่อนตัวได้อยู่ตรงนั้น คนที่รู้มีเพียงพวกข้ากับฟ่านเยว่ซินเท่านั้น” ฮ่องเต้สักถามอย่างมีน้ำโห พระองค์รู้สึกตีบตันในคอ ด้วยคาดหวังอยากให้นางเป็นคนเดียวกัน พระองค์ทรงเดินลงมายืนหยุดต่อหน้าหญิงสาว
“หากหม่อมฉันไม่กราบทูลฝ่าบาทและองค์ชายสามตามตรงก็เท่ากับหม่อมฉันหลอกลวงเบื้องสูง หม่อมฉันไม่อาจทำเช่นนั้นได้ ส่วนเรื่องที่หม่อมฉันไปซ่อนตัวที่ตรงนั้น เป็นเหตุบังเอิญล้วนๆ ไม่มีสิ่งใดเจือปนแม้สักน้อย พวกทหารวิ่งต้อนหม่อมฉันไปทางนั้นแลพเพราะเหนื่อยจากการวิ่งมาพักนึง จึงคิดหาที่หลบพักชั่วคราวก็ไปเจอโพรงเล็กนั่นพอดีเพคะ” หญิงสาวเงยหน้ามองพระพักตร์ของฮ่องเต้ สบสายตาอย่างแน่วแน่
"ถ้าเจ้ายอมรับว่าเจ้าคือฟ่านเยว่ซิน ไม่ว่าลาภยศสรรเสริญหรือสิ่งใดที่เจ้าปรารถนาข้าจะนำมันมากองอยู่ตรงหน้าเจ้า ข้าขอถามอีกครั้ง เจ้าคือ...ฟ่านเยว่ซินใช่หรือไม่"
"ไม่มีใครหลอกเราได้สำเร็จเท่ากับเราหลอกตัวเอง หม่อมฉันอยากซื่อสัตย์กับหัวใจตัวเอง ขอพระราชทานอภัยให้แก่หม่อมฉันที่ทำร้ายจิตใจพระองค์ หม่อมฉันขอยืนยันคำเดิม ไม่ใช่ เพคะ" สิ้นคำ ฮ่องเต้หันหลังกลับไม่ยอมให้หญิงสาวเห็นพระพักตร์ที่บิดเบี้ยว คิ้วขมวดพลางกัดปากแน่น มีเพียงอุ้ยกงกงที่เห็นสีหน้านั้นจนต้องแอบกัดแขนเสื้อระงับไม่ให้น้ำตาไหลด้วยความสงสารองค์เหนือหัวของตน
ฟ่านเยว่ซินโกหกออกไปคำโต ไม่ใช่ไม่รับรู้ถึงความรู้สึกของฮ่องเต้แต่จำต้องทำ การกลับมาครั้งนี้ไม่ได้มีสิ่งที่ต้องสะสางมากมาย จะมาตกม้าตายเพียงเพราะหวนคิดถึงความรู้สึกเก่าๆ ไม่ได้ นางจำต้องใจแข็งเข้าไว้
'เสด็จพี่ อย่าโทษข้าเลย ครั้งนั้นท่านไม่เชื่อข้าและยืนยันว่าจำต้องทำเพื่อราชบัลลังค์และให้เกิดความยุติธรรม ครั้งนี้ข้าก็ทำเพื่อความยุติธรรมของข้าเช่นกัน' ฟ่านเยว่ซินคิดในใจพลางมองไปยังด้านหลังไหล่กว้าง
องค์ชายสามที่มองสถานการณ์มือใหญ่ยกขึ้นมาปิดปากไม่ให้ใครเห็นว่ากำลังยกยิ้มมุมปากอยู่ เขาวิเคราะห์เหตุที่เกิดตรงหน้าทั้งท่วงทา กิริยา คำพูดทุกอย่างของหญิงสาว หากนางอยากจะหลอกเขาคงต้องไปฝึกอีกสักร้อยปี เขาเหล่ไปมองฮ่องเต้ทั้งเห็นใจและสะใจในเวลาเดียวกัน เสด็จพี่ของเขาคงไม่รู้ตัวว่ากำลังโดนสาวน้อยเอาคืนหมัดใหญ่ๆ ตรงฮุกเข้ากลางลำตัว
ตามจริงหากเสด็จพี่มีสติมากพอที่จะวิเคราะห์จะจับได้ทันทีว่าเรื่องที่นางพูดน้อยส่วนนักคือความจริงหรือแทบไม่มีความจริงอยู่เลย
ฟ่านเยว่ซินหันไปสบตาองค์ชายสามที่มองจ้องมายังนาง จนนางต้องเป็นฝ่ายหลบสายตา ในบรรดาองค์ชายทั้งห้า คนที่นางอยากพบเป็นคนสุดท้ายก็คือองค์ชายสามต้าหลงผู้นี้ นางรู้ดีในความปราดเปรื่องทั้งด้านวิชายุทธและการจับผิดจนนางประหม่าตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาที่นี่แล้วเห็นว่าฮ่องเต้ไม่ได้ประทับแต่เพียงลำพัง ประจวบเหมาะกับองค์ชายสามที่เข้าเฝ้าอยู่
นางเห็นเขาแวบหนึ่งเมื่อวาน แต่ไม่คิดว่าจะมาเจอกันกระชั้นชิดเช่นนี้ เขากลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
เหอะ เมื่อก่อนเคยบอกว่าจะไม่กลับมาอีกแล้วไง
ฮ่องเต้หลับตาลงชั่วครู่แล้วสูดลมหายใจเข้าปอดลึกเพื่อคลายอารมณ์ขุ่นมัวพร้อมกับเดินกลับไปนั่งประทับตามเดิม ก่อนจะกล่าวกับหญิงสาวต่อ
"ในเมื่อเจ้า...ไม่ใช่..นาง เจ้าคือใคร จงบอกชื่อเสียงเรียงนามของเจ้ามา" ฮ่องเต้หยิบพัดชี้ไปยังหญิงสาวตรงหน้า
"ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันมีนามว่า 'จันทรกาล' เพคะ แต่มารดามักเรียกหม่อมฉันว่าซิน หม่อมฉันอายุ 25 มาจากเซียนหลัว เมืองแห่งนึงอันไกลโพ้น หม่อมฉันเดินทางมาท่องเที่ยวกับสหายแต่พลัดหลงกันระหว่างทาง แต่เดิมหม่อมฉันทำการค้าเกี่ยวกับออกแบบและตัดเย็บเสื้อผ้าเพคะ"
"เจ้าคงเป็นแม่ค้าจากต่างแดนถือว่าไม่เลว แล้วเจ้าโผล่มากลางลานแสดงในวังได้อย่างไร"
"หม่อมฉันก็ไม่อาจทราบได้เพคะ ในขณะที่กำลังเดินเล่นอยู่ ณ สถานที่แห่งนึง เห็นประตูบานใหญ่สีแดงลวดลายวิจิตรการตา พอเปิดประตูเข้าไปก็พบว่าอีฟากของประตูเป็นลานที่มีผู้คนนั่งอยุ่กันเต็มที่เบื้องหน้าและแต่งกายแตกต่างจากหม่อมฉันยิ่งนัก หลังจากนั้นก็เป็นอย่างที่ทรงทราบแล้วก็ได้พบกับพระองค์เพคะ"
หลังจากได้ฟังเรื่องเล่าของหญิงสาวนามว่าซิน ฮ่องเต้ก็เงียบไปไม่กล่าวอะไรอีก พระองค์รู้สึกสับสนภายในใจ ที่มาที่ไปของนางยังคงไม่ชัดเจน เมืองเซียนหลัวเป็นเช่นไร พระองค์ไม่เคยได้ยินชื่อเมืองเช่นนี้มาก่อน จึงบอกไม่ได้ว่าทรงปักใจเชื่อทั้งหมด ฮ่องเต้คิดได้ว่าต้องให้หยุนซีไปสืบเรื่องราวให้แน่ชัดกว่านี้ ฟ่านเยว่ซินจากไปกว่า 5 ปี หากคำนวนช่วงเวลาตอนนางจากไปนางอายุเกือบ 20 แม่นางซินบอกว่าตัวเองอายุยี่สิบห้า มันพอดีกันเกินไป
อีกอย่างคนเราหน้าคล้ายกันย่อมเป็นไปได้ แต่จะหน้าเหมือนกันราวกับโขกพิมพ์ออกมาเช่นนี้เป็นไปได้ยากนัก นอกเสียจากใช้หน้ากากหนังมนุษย์ แต่หน้ากากหนังมนุษย์ยังมีจุดบอดตรงที่หนังมันจะเปื่อยยุ่นตามกาลเวลา ไม่อาจคงใส่ไว้ได้นาน อีกทั้งหากล้างหน้าจะลอกออกจะหลุดลอกออกไปทันที นางกำนัลที่พระองค์ให้คอยปรนนิบัติหญิงสาวที่ตำหนักริมบัวคอยรายงานมาตลอดว่านางล้างหน้ากับอ่างที่สาวใช้เอาไปให้ถึงที่นอน ไม่พบสิ่งพิรุธใด
จะมีทางใดพิสูจน์อย่างไรว่านางคือคนเดียวกับฟ่านเยว่ซินหรือไม่หรือควรเก็บนางไว้ใกล้ตัวเพื่อรอการพิสูจน์
ฮ่องเต้นั่งครุ่นคิดโดยไม่เอ่ยอะไรต่อ พอลอบมองไปยังเหวินหลงกับท่วงท่าไม่ทุกข์ไม่ร้อน พระองค์ก็สังเกตเห็นความผิดปกติของอนุชาองค์กลางจนเกิดความคิดบางอย่างขึ้น 'หรือเจ้าสามจะรู้อะไร' แต่คนอย่างองค์ชายต้าหลงต่อให้จับนั่งสอบสวนคงไม่ยอมปริปากบอกอะไร พระองค์คิดอย่างกลุ้มพระทัย
ร่างบางที่นั่งคุกเข่าอยู่นานรู้สึกถึงความชาจากด้านล่าง จึงพยายามส่งสายตาหาฮ่องเต้ให้ทรงประทานอนุญาตให้นางลุกขึ้นเสียที ดูท่าจะทรงลืมตัวว่าเผลอปล่อยให้หญิงสาวนั่งคุกเข่าอยู่อย่างนั้น
ขณะที่บุคคลนึงกำลังใช้ความคิด อีกคนพยายามส่งกระแสจิตเรียก ส่วนอีกคนก็ยืนยิ้มขำมองปฏิกิริยาสองคนอยู่นั้น มีบุคคลนึงก้าวมาเข้ามาขอเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้
