บท
ตั้งค่า

บทที่ 21 จะไม่ใช่ได้อย่างไร

ร่างสูงโปร่งสวมทับด้วยผ้าสีหม่นเทาเร่งรีบเดินไปยังห้องทรงพระอักษรอย่างรีบร้อนเพื่ออยากรีบเข้าเฝ้า เขาต้องการยืนยันบางอย่างให้แน่ใจ หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายเมื่อวาน เขาพ่ายต่ออุบายของฮ่องเต้ที่ให้องครักษ์มาคอยคุมเขาและกันเขาออกห่างจากใครบางคน ใช้อำนาจในทางไม่ชอบโดยการกักขังหน่วงเหนี่ยวเขาตั้งแต่เมื่อวานจนถึงวันนี้ เขาคาดเดาเลยว่าน้องสี่และน้องห้าคงถูกกันให้อยู่แต่ในตำหนักไม่ต่างจากเขา ป่านนี้เขายังไม่ได้พบกับทั้งสองคนเลย

เหตุการณ์ที่เหมือนปาฏิหาริย์เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเขาและผู้คนมากมาย การปรากฏกายของดวงหน้าหวานที่เขาโหยหามาตลอดหลายปีจะมาหยุดยืนต่อหน้าทุกคนกลางเวที!

องค์ชายสามเช่นเขาเป็นผู้มีวิชายุทธ์เลิศล้ำและสามารถคิดค้นศาสตร์ใหม่ๆ จนสามารถสร้างกองกำลังที่แข็งแกร่งไม่แพ้ใคร อีกทั้งยังมีความจำเป็นเลิศในลักษณะท่าทางของมนุษย์ ไส้ศึกที่แฝงตัวไม่ว่ากี่รายมักถูกเขาจับได้อย่างง่ายดาย ทำให้เขาจับคนที่คิดคดทรยศได้อย่างง่ายดาย แล้วมีหรือจะไม่สามารถจำนางได้ แม้นางจะดูเปลี่ยนไปเพียงใดก็ตาม

เหตุการณ์กลางลานแสดง เขามองเห็นถึงสายตานางที่กวาดมองไปยังเสด็จพี่แล้วมาหยุดที่เขาเพียงชั่วครู่ ก่อนจะเบนสายตาไปยังน้องสี่น้องห้า เขาเฝ้าสังเกตอากัปกิริยาของนางก็รู้ได้เลยว่านางเป็นใคร สายตาของนางระคนสับสนอยู่ในทีแต่ก็เผยให้เห็นความจริงทุกสิ่งผ่านแววตา

แต่ทันใดที่เขาคิดจะลุกขึ้นเพื่อก้าวขึ้นไปหานาง ก็มีขุนนางสิ้นคิดคนนึงตะโกนกล่าวหานางว่าเป็นคนร้าย นางจึงรีบวิ่งหนีไป

น่าจับไปคุมขังในสำนักของเขาสักเดือน!

เขาคิดจะวิ่งตามไปแต่ถูกหยุนซีกันท่าไว้ก่อนๆ เสด็จพี่จะมายืนอยู่ต่อหน้าเขาทั้งสามแล้วกล่าวสั้นๆ

"ปล่อยให้ข้าจัดการเอง พวกเจ้าจงเฉยไว้ก่อน นี่เป็นคำสั่ง"

นั่นเป็นอีกครั้งที่เขารู้สึกหงุดหงิดในใจกับการตัดสินใจของเสด็จพี่ฮ่องเต้

เมื่อทรงรับสั่งเสร็จก็เดินหายไปยังทิศทางที่สาวเจ้าวิ่งหนีไป

หากนางคือฟ่านเยว่ซินตัวจริง เสด็จพี่คงหานางเจอได้ไม่ยาก เพราะไม่ว่ากี่ปีต่อกี่ปี นางมักชอบไปซ่อนตัวที่เดิมไม่ว่าในยามอยากแกล้งพวกเขาหรือยามที่เสียใจแล้วไปแอบร้องไห้เพียงลำพัง พวกเขาจำต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเสียทุกครั้ง ไม่งั้นต่อไปหากนางหนีไปซ่อนที่อื่น มีหวังพวกเขาคงต้องลำบากรื้อวังหลวงตามหานางเป็นแน่

หลังจากเสด็จตามไป ฮ่องเต้แอบสั่งให้หยุนซีมาคุมพวกเขากลับไปยังตำหนักของแต่ละคน

แต่วันนี้เขาจะไม่ยอม เขาต้องได้เข้าเฝ้าเสด็จพี่ฮ่องเต้เพื่อถามว่าพระองค์นำนางไปซ่อนไว้ที่ไหน

คราวนี้จะทรงเล่นเล่ห์เพทุบายอะไร เขาจะไม่ยอมอีกต่อไป!

“องค์ชายสามเสด็จ! ขอองค์ชายสามทรงพระเจริญพ่ะย่ะค่ะ” กงกงหยุดการฝนหมึกแล้วก้าวออกมาทำความเคารพองค์ชายสามเฉิงต้าหลง

“ขอเสด็จพี่ทรงพระเจริญ” องค์ชายสามเพียงประสานมือไว้ด้านหน้า เงยสบตาคมอย่างไม่เกรงกลัว

“ว่าอย่างไรต้าหลง มีเรื่องอะไรทุกข์ร้อนใด ถึงขั้นเจียดเวลาออกมาจากสำนักฝึกของเจ้าเพื่อมาหาข้าถึงที่นี่”

“ทรงตรัสถามว่าหม่อมฉันหนีองครักษ์มาได้อย่างไรจะเหมาะกว่า นางอยู่ที่ใด” องค์ชายสามประชดประชันพลางยกยิ้ม ต่อมาถึงถามพร้อมกับรอยยิ้มที่หายไปแทนด้วยใบหน้าบึ้งตึง

ฮ่องเต้ทรงวางพู่กันลง มองไปยังพระอนุชาพร้อมเลิกคิ้วข้างนึงเป็นเชิงถาม

“เจ้าหมายถึงผู้ใดกัน”

"ทรงทราบดีว่าหม่อมฉันหมายถึงผู้ใด ตกลงนาง อยู่ ที่ ใด” องค์ชายเฉิงต้าหลงพูดเน้นทีละคำอย่างไม่หลบสายตา

"หากเจ้าไม่บอกมา ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร วันนึงมีคนเข้าเฝ้าข้ามากมาย เจ้าหมายถึงผู้ใดเล่า" ฮ่องเต้ยังคงเย้าแหย่องค์ชายสามที่บัดนี้ควันออกหู

"หม่อมฉันต้องการตัว ฟ่านเยว่ซิน!" องค์ชายสามเอ่ยเน้นชื่อด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้น จนฮ่องเต้ส่งสายตาเชิงตำหนิก่อนจะเอ่ยตอบ

“หลุมฝังศพของราชวงศ์ เจ้าเองก็รู้ไม่ใช่หรือต้าหลงว่าหลุมศพนางอยู่ที่ไหน ถึงแม้เจ้าจะไม่เคยโผล่หน้าไปเยี่ยมหลุมฝังศพเลยสักครั้ง” ฮ่องเต้ทรงทราบดีว่าพระอนุชาคนนี้ไม่อาจทำใจยอมรับความเป็นจริงได้และไม่เคยหยุดโทษตัวเองที่หนีหายไป กว่าองค์ชายสามจะตัดสินใจกลับมาก็สายไปเสียแล้ว

“ทรงเลิกล้อหม่อมฉันเล่นเสียทีพ่ะย่ะค่ะ ไม่งั้นหม่อมฉันจะรื้อค้นทุกตำหนักในวัง แม้แต่ตำหนักของพระองค์” เฉิงต้าหลงพูดจริงทำจริง

“บังอาจ!” ฮ่องเต้ตบโต๊ะเสียงดัง ทุกคนในนั้นพากันสะดุ้งยกเว้นเพียงองค์ชายสาม พระองค์ยอมรับว่าการพูดคุยกับอนุชาองค์นี้เปรียบดั่งดีดพิณให้วัวฟัง [1] ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ก็พูดกันไม่รู้เรื่อง เป็นเช่นนี้เสียทุกครั้งตั้งแต่ฟ่านเยว่ซินจากไป

บรรยากาศเริ่มขมุกขมัว กงกงมองไปยังฮ่องเต้กับองค์ชายสามที่มองจ้องไปยังสายตาของอีกฝ่ายราวกับราชสีห์แยกเขี้ยวใส่เสือโคร่ง ไม่มีใครยอมใคร

ยามนี้ท่านราชองครักษ์หยุนซีไปอยู่เล่นกับองค์ชายน้อย ไม่รู้ว่าพักนี้เกิดอะไรขึ้น องค์ชายน้อยงอแงหนักจนไม่มีใครเข้าหน้าติด จึงจำต้องให้หยุนซีไปคอยดูแลอย่างใกล้ชิด ส่วนเขาจึงจำต้องรับหน้าการทะเลาะกันของพี่น้องแต่เพียงลำพัง

ข้าราชบริพารต่างกลัวจนตัวสั่นหมอบลงไปกับพื้นหลังจากเสียงทุบโต๊ะ แต่ในขณะนั้นเองขันทีหน้าห้องก็เข้ามารายงานว่ามีคนมาขอเข้าเฝ้า ดั่งเทพสวรรค์ตีกลองช่วยชีวิต

“ผู้ใด?!”

“เป็นหญิงสาวนางหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีรายงานจบ ฮ่องเต้ก็ลุกขึ้นร้องบอกให้นางรีบเข้ามา พร้อมกับลุกจากเก้าอี้ ไปยังเบื้องหน้าโต๊ะ มองเลยผ่านองค์ชายสามไปยังประตู

ขันทีถอยออกไปเปิดทางให้หญิงสาวเข้ามา เมื่อนางก้าวเท้าเข้ามาด้านในก็หยุดย่อถอนสายบัวตรงหน้าฮ่องเต้และองค์ชายสามพอดิบพอดี

ฟ่านเยว่ซินชะงักไป เมื่อเห็นว่าองค์ฮ่องเต้ไม่ได้ประทับอยู่เพียงลำพัง แต่กลับมีใครอีกคนอยู่ด้วย…พี่สาม!

ย้อนกลับไปสักเล็กน้อย

ฟ่านเยว่ซินยังไม่ทันก้าวออกจากตำหนักก็ขู่ขันทีทั้งสองนายไม่ให้ไปฟ้องฮ่องเต้ นางจะกราบทูลพระองค์เอง ขันทีจำต้องฟังคำสั่งแล้วยืนเฝ้ายามต่อไป

เยว่ซินเดินออกมาจากตำหนักตรงไปที่สวนนั้น เมื่อไปถึงนางพยายามก้มหาสมุดเล่มนั้น แต่กลับไม่พบ นางพยายามเดินหาบริเวณรอบๆ เผื่อนางทำตกไว้ที่ไหน แต่ก็ไม่เจอเลย

ในสมุดนั้นนางไม่ได้เขียนเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ แต่เป็นภาษาจีน หากใครเปิดดูอาจสร้างความยุ่งยากแก่นางได้ นางคิดเพียงว่าหากสมุดเล่มนั้นมีพลังอำนาจพอจะพานางมายังภพนี้ได้ ก็คงมีพลังมากพอจะทำสิ่งอื่นได้หรืออย่างน้อยก็พอเป็นทางหนีให้กับนาง หากนางจนแต้มพลาดพลั้งทำการไม่สำเร็จ ก็อาจช่วยให้นางได้กลับไปยังโลกนั้นก็เป็นได้

นางต้องการได้สมุดนั้นคืนกลับมา

ฟ่านเยว่ซินใช้เวลาต่ออีกสักพักในการควานหาสมุดเล่มนั้นแต่ก็ไม่พบ นางร้อนใจจึงตัดสินใจไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้เพื่อสอบถามให้กระจ่างว่าทรงเก็บสมุดเล่มนั้นไปหรือไม่ ไม่อยากคุยด้วยก็จำต้องคุยแล้ว

กลับมาต่อทางด้านฮ่องเต้มองไปยังฟ่านเยว่ซินที่เปลี่ยนมาใส่ชุดขาวลายดอกเหลียนฮวา [2] สีชมพูที่เคยชอบใส่เมื่อครั้งก่อนจะเป็นพระชายา นางยังคงงดงามเหมือนเดิม ดวงหน้าหวานถูกแต่งแต้มเพียงเล็กน้อย มีเพียงตาที่กรีดให้คมลึกแล้วตวัดเฉียงขึ้น ทำให้ตาดูคมขึ้นกว่าเดิม ปากสีธรรมชาติ

ฮ่องเต้เผลอจ้องมองนานจนกงกงต้องกระแอมในคอเพื่อให้รู้สึกตัวแต่ไม่ใช่ฮ่องเต้องค์เดียวที่สะดุ้ง ยังมีชายหนุ่มรูปงามในห้องอีกคนที่สะดุ้งไปตามๆ กัน

“เจ้ามาหาข้ามีอะไรหรือไม่”

“ซินซิน” องค์ชายสามขานเรียกชื่ออย่างที่เคยเรียกในสมัยก่อน

ฟ่านเยว่ซินหันไปสบตากับองค์ชายสาม ก่อนจะเบือนหน้ากลับมามองพระพักตร์ฮ่องเต้

“สมุดของหม่อมฉัน ทรงเก็บไปหรือไม่” น้ำเสียงหวานที่เปล่งออกมาเป็นครั้งแรก ทำให้ฮ่องเต้กับองค์ชายสามถึงกับน้ำตารื้น พวกเขาคิดถึงน้ำเสียงนี้เหลือเกิน

“ส.. สมุดใดหรือเจ้า” ฮ่องเต้ถามเมื่อตั้งสติได้

“หม่อมฉันทำสมุดตกไว้แล้วหาไม่เจอ ลักษณะด้านหน้ามีกระดาษหนาสีน้ำตาล ด้านในมีกระดาษสอดไว้หลายๆ แผ่น คล้ายหนังสือตำราเพคะ” ฟ่านเยว่ซินพยายามอธิบายพร้อมทำท่าทางประกอบถึงลักษณะของสมุดที่นางตามหา

มันน่าเอ็นดูเสียจนฮ่องเต้กับองค์ชายสามมองตาไม่กะพริบ จนอุ้ยกงกงต้องส่งเสียงกระแอมในลำคอ

“เอ่อ ข้าไม่เคยเห็นเลย แต่ข้าจะให้ทหารตามหามาคืนเจ้า ข้ายินดียิ่งนักที่เจ้ายอมปริปากพูดกับข้า ซินเอ๋อร์”

"ซินซิน เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดคุยกับคนที่เคยสั่งลงโทษเจ้าอย่างเลือดเย็นหรอก" องค์ชายสามได้โอกาสเตะตัดขาฮ่องเต้

“ต้าหลง!!” ฮ่องเต้โกรธจัด กงกงได้ยินก็รีบปาดเข้าไปปลอบให้ทรงพระทัยเย็นลง แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาห้ามทัพเสียก่อน

“ทรงกล่าวสิ่งใด หม่อมฉันไม่เข้าใจเท่าไหร่นัก หม่อมฉันขอทูลตามตรงว่าหลงเข้ามาที่นี่อย่างอุกอาจ สมควรรับโทษหนักที่เข้ามาถึงเขตพระราชฐานด้านในโดยไม่ได้รับอนุญาต ถึงหม่อมฉันจะกลัวถูกโทษทัณฑ์ แต่หม่อมฉันคงให้เข้าพระทัยผิดว่าตัวหม่อมฉันเป็นพระชายาไม่ได้เพคะ" ">ร่างบางตอบโต้กลับไปอย่างไม่กลัวเกรงแล้วทำเป็นว่าตนเองไม่ใช่พระชายาฟ่านเยว่ซินคนนั้น

“เหมือนกันเพียงนี้ จะไม่ใช่ได้อย่างไร” ฮ่องเต้ถามเสียงเบา

"คนหน้าเหมือนมีอยู่ทั่วไป หม่อมฉันขอพระราชทานอภัยที่ทำให้ทรงเข้าพระทัยผิดและไม่รีบปฏิเสธเสียตั้งแต่เมื่อวาน ขอทรงเมตตาด้วยเพคะ" ฟ่านเยว่ซินกล่าวพร้อมคุกเข่าลงหมอบกราบเพื่อขออภัยโทษ

“ไม่จริง! เจ้าจะไม่ใช่นางได้อย่างไร ตอบข้ามา! หากเจ้าไม่ใช่นาง เจ้ารู้ได้อย่างไรว่ามีช่องที่ซ่อนตัวได้อยู่ตรงนั้น คนที่รู้มีเพียงพวกข้ากับฟ่านเยว่ซินเท่านั้น” ไม่เพียงแต่ฮ่องเต้ที่รอฟังคำตอบ ตัวองค์ชายสามเองก็รอฟังคำตอบของนางเช่นกัน

ยิ่งกว่านั้นเหมือนองค์ชายสามจะจับพิรุจได้บางอย่าง ทั้งสองคอยจ้องหญิงสาวตรงหน้าอย่างจับผิดว่านางจะตอบเยี่ยงไร

[1] อุปมาถึงการเจรจาด้วยเหตุผลกับคนที่ไม่รู้จักเหตุผล

[2] ดอกบัว

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel