11 หลุมพรางของท่านประธาน
ช่วงพักกลางวัน ที่มหาวิทยาลัย
หลังการรับประทานอาหารกลางวันเรียบร้อยพีรยาก็โทรศัพท์หารามัญผู้เป็นบิดาด้วยความเป็น ที่หอประชุมคณะการตลาดเต็มไปด้วยเสียงอึกทึกครึกโครม พีรยานั่งตัวแข็งทื่ออยู่บนเก้าอี้พลางยิ้มให้รุ่นพี่อย่างเป็นมิตรขณะที่ถูกรุ่นพี่เชคชื่อ แม้ว่าภายในช่องท้องของเธอจะกำลังปวดร้าวอย่างหนักจากอาการปวดท้องประจำเดือน มันเป็นความปวดที่จู่โจมมาอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้ใบหน้าสวยหวานของเธอซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด
“น้องนัตตี้! ทำไมไม่ใส่รองเท้าหุ้มส้นตามระเบียบ” เสียงแหลมของ พี่น็อต รุ่นพี่ปีสองดังขึ้นทันทีหลังจากเชคชื่อของเธอผ่านไป เขาเหลือบรองเท้าแตะสีขาวที่เธอสวมมาแทนรองเท้าคัตชูหนังที่ถูกระเบียบ
นัตตี้พยายามยกมือไหว้พลางอธิบายด้วยเสียงแผ่วเบา
“ขอโทษค่ะพี่... คือรองเท้าหนูมันเปียกเพราะเดินลุยน้ำท่วมเมื่อเช้านี้ค่ะ” พีรยาเอ่ยตอบอย่างแผ่วเบา ขณะที่ความทรงจำเมื่อช่วงเช้ายังคงฉายวนอยู่ในหัวของเธอ
หลังตัดสินใจกางร่มลงจากรถของคุณพ่อ พีรยาก็ต้องเผชิญกับสภาพน้ำท่วมที่ท่วมขังสูงเกินข้อเท้า เธอต้องเดินลุยน้ำเย็นเฉียบเข้าไปในมหาวิทยาลัยอย่างทุลักทุเล จนรองเท้าคัตชูของเธอเปียกชุ่มจนใช้การไม่ได้
พีรยาจึงต้องแวะร้านสะดวกซื้อ เพื่อจัดหารองเท้าแตะคู่ใหม่มาเปลี่ยนก่อนเข้าเรียน แถมความปวดร้าวจากอาการปวดท้องเมนก็กำลังเริ่มคืบคลานเข้ามา เธอจำต้องซ่อนความทรมานทั้งหมดไว้ภายใต้รอยยิ้มที่สดใส เธอไม่ได้บอกคุณพ่อเลยแม้แต่น้อย เพราะเธอรู้ดีว่า พ่อของเธอจะต้องเป็นห่วงเธอมาก
การต้องยืนเผชิญหน้ากับรุ่นพี่ที่ดุดันในสภาพที่ร่างกายอ่อนแอเช่นนี้ เป็นการทดสอบที่หนักหน่วงที่สุดในวันแรกของการเข้าเรียนมหาวิทยาลัย แต่ในเมื่อเธอมีเหตุผลมากพอก็ไม่เห็นจะต้องกลัวอะไร
“ก็ถือว่าผิดระเบียบ!!!... ยังไงพี่ก็ต้องทำโทษน้อง” พี่น็อตไม่ฟังเหตุผล
“คือหนูปวดท้องเมนค่ะ” พีรยาตัดสินใจบอกความจริงอย่างตรงไปตรงมา เพราะความเจ็บปวดทำให้เธอทนไม่ไหวแล้ว
“หนูขอนั่งฟังเฉย ๆ ได้มั้ยคะ”
“แล้วทำไมไม่แจ้งพวกพี่ตั้งแต่เข้ามาล่ะ พอสั่งทำโทษแล้วมาบอกว่าตัวเองเป็นเมน น้องจะให้พี่เชื่องั้นเหรอ” รุ่นพี่ปีสองที่ชื่อว่าน็อต ทำท่าไม่เชื่อเธอ ก่อนจะพลางทำเสียงเยาะเย้ยเธออย่างสนุกปาก
“อย่ามาหาข้ออ้างหน่อยเลย! น้องรู้มั้ยการใส่รองเท้าผิดระเบียบ มันคือการท้าทายอำนาจของรุ่นพี่! ลุกขึ้นมา! แล้ววิ่งรอบหอประชุม 5 รอบ นี่เป็นการลงโทษที่น้องกล้าเถียงพี่!”
นัตตี้กัดริมฝีปากแน่น เธอพยายามจะลุกขึ้น แต่ขาของเธออ่อนแรงเกินกว่าจะทำตามคำสั่งนั้นได้
ทันใดนั้นเอง!... เสียงทุ้มที่หนักแน่นและเต็มไปด้วยอำนาจก็ดังขึ้นจากฝั่งประตูทางเข้าของหอประชุม ทำให้เสียงโหวกเหวกในห้องประชุมเงียบลงฉับพลัน
“พอได้แล้ว!!!”
ชายหนุ่มรุ่นพี่ปีสี่ที่สูงโปร่งหล่อเหลาในชุดเสื้อช็อปของคณะก้าวเดินเข้ามาภายในหอประชุม รัศมีของเขาแผ่ออกมาอย่างน่าเกรงขามกว่ารุ่นพี่ปีสองทุกคน วันนี้เขาไม่ได้มาเพราะความบังเอิญ แต่ได้รับคำสั่งจากอธิการบดีให้มาคอยดูแลการรับน้องไม่ให้เกินขอบเขต เพราะเมื่อปีที่แล้วมีเรื่องร้องเรียนการรับน้องที่ไม่เหมาะสม
“พี่ภู! แต่น้องเค้าทำผิดระเบียบนะครับ” น็อตรีบเถียงทันที แต่ก็ไม่กล้าสบตารุ่นพี่ร่างสูงคนนั้น
“แล้วนายไม่ได้ฟังเหตุผลที่น้องเค้าบอกรึไง” ภูรวิชถามกลับอย่างเย็นชา เขาเดินช้า ๆ เข้าไปใกล้พีรยา ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ใบหน้าซีดเผือดของเธออย่างเป็นห่วง
“เมื่อเช้า นายเข้ามหา’ลัย ไม่เห็นหรือไงว่า...น้ำมันท่วม”
“แต่กฎก็ต้องเป็นกฎสิครับ” น็อตพยายามยืนยัน
“อธิการบดีสั่งให้พวกเราดูแลน้อง ๆ อย่างเหมาะสม อันไหนผ่อนปรนได้ก็ควรจะผ่อนปรน” ภูรวิชเอ่ยอย่างชัดเจนเพื่อจัดการรุ่นน้องที่บ้าอำนาจ
“นายไม่เห็นรึไง ว่าน้องเค้าปวดท้องจนหน้าซีดขนาดนี้ การเรียกให้ไปวิ่งมันเรียกว่าการทำโทษ หรือการทำร้ายกันแน่ ปีนี้พวกนายจะต้องรับน้องให้อยู่ในขอบเขต อันไหนที่หนักก็ไม่ควรทำ” ภูรวิชสั่งเสียงเข้มก่อนจะหันทางพีรยาอีกครั้ง สายตาคมกริบคู่นั้นเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนลงทันที ราวกับเขามองเห็นความเปราะบางที่เธอพยายามซ่อนไว้
ภูรวิช ไม่ได้สนใจเสียงโวยวายของรุ่นน้องปีสองอีกต่อไป ดวงตาคมกริบของเขาลดวูบลงมาสบกับดวงตาที่รื้นไปด้วยน้ำตาของพีรยา เขาก้มตัวลงเล็กน้อยเพื่อให้อยู่ในระดับเดียวกับเธอ
“นัตตี้!!!” เขาเรียกชื่อเธอจากป้ายห้อยคออย่างแผ่วเบา น้ำเสียงทุ้มนุ่มนั้นราวกับเสียงกระซิบที่แยกเธอออกมาจากความวุ่นวายทั้งมวล
“คะ” พีรยาตอบรับแทบไม่ทัน
“ถ้าไม่ไหว ไปพักที่ห้องพยาบาลก่อนมั้ย” ภูรวิชรีบเสนอทางออกที่เธอโหยหามานาน เธอทำท่าจะลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล มือของเธอเกาะขอบโต๊ะไว้แน่น
“เดินไหวมั้ยเนี่ย!” ภูรวิชเห็นอาการของเธอ เขายื่นมือออกไปประคองแขนเธอไว้ทันที สัมผัสที่อบอุ่นและหนักแน่นนั้นทำให้ไฟฟ้าสถิตแล่นไปทั่วร่างของพีรยา
“ไหว... ไหวค่ะพี่” พีรยาตอบด้วยเสียงสั่นเครือ หัวใจของเธอเต้นผิดจังหวะอย่างรุนแรงเมื่อเห็นว่า รุ่นพี่ที่หล่อเหลาและมีอำนาจที่สุดในคณะคนนี้... กล้าที่จะท้าทายกฎเพื่อปกป้องเธอ ถึงแม้เขาจะได้รับมอบหมายจากอธิการบดีก็ตาม แต่เธอพอจะมองออกว่าทั้งหมดมันเต็มไปด้วยความห่วงใยส่วนตัวของเขา ทำให้พีรยารู้สึกอบอุ่นและตื้นตันจนแทบจะร้องไห้ออกมา
“วันหลังถ้าไม่ไหวแบบนี้ ก็ไม่ต้องฝืนนะ” ภูรวิช กล่าวเบา ๆ ขณะประคองร่างของ พีรยา (นัตตี้) ให้เดินออกจากหอประชุมที่วุ่นวาย เขาไม่ได้รอให้เธอตอบ แต่ช้อนมือขึ้นมาประคองแผ่นหลังของเธอเบา ๆ ราวกับจะแบ่งปันน้ำหนักตัวของเธอมาไว้ที่เขาครึ่งหนึ่ง
“หนูเดินไปเองก็ได้ค่ะ” พีรยาพยายามที่จะดึงตัวออก เพราะรู้สึกเขินอายที่ถูกรุ่นพี่ที่ทั้งหล่อเหลาและดูดีที่สุดในคณะประคองเดินต่อหน้าคนอื่น
“อย่าดื้อสิ” ภูรวิชยิ้มมุมปาก
“รู้เหรอว่าห้องพยาบาลไปทางไหน” เขาถามราวกับออกคำสั่งแต่ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกกดดัน กลิ่นน้ำหอมสะอาด ๆ จากกายของเขาลอยมากระทบ หัวใจของพีรยาเต้นระรัว
“เมื่อเช้ามาสายเหรอ” ภูรวิชเอ่ยถาม ขณะที่ดวงตาคมกริบของเขาจับจ้องไปที่ใบหน้าที่ซีดเผือดของเธอ
“ค่ะ พอดีทางผ่านเจออุบัติเหตุรถพ่วงคว่ำขวางถนน หนูก็เลยให้คุณพ่อมาส่งอีกทาง”
“อ๋อ” ภูรวิชพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“โชคดีที่มาถึงอย่างปลอดภัยนะ”
“พี่ชื่อพี่ภูนะ อยู่ปีสี่” เขาแนะนำตัวโดยไม่ต้องรอให้เธอถาม เป็นการเปิดเผยสถานะอย่างเป็นกันเอง
“ค่ะ”
“เอารองเท้าไปถอดไว้ที่ไหนเหรอ ที่ว่ามันเปียก”
“ตากเอาไว้ที่ห้องค่ะ”
“ถึงแล้วห้องพยาบาล” ภูรวิชหยุดลงหน้าห้องพยาบาลที่เงียบสงบ มือของเขาค่อย ๆ คลายออกจากการประคอง
“พี่ภูส่งหนูแค่นี้ก็ได้ค่ะ” พีรยารีบกล่าว
“เอาบัตรนักศึกษามามั้ย” ภูรวิชไม่สนใจคำพูดของเธอ แต่ถามถึงสิ่งที่จำเป็น
“เอามาค่ะ”
“นั่งรอตรงนี้นะ” ภูรวิชสั่งอย่างอ่อนโยน
“เดี๋ยวพี่ยื่นเรื่องให้”
พีรยาได้แต่มองตามแผ่นหลังที่แข็งแรงของเขาด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจ การดูแลของเขาช่างละเอียดอ่อนและเต็มไปด้วยความเอาใจใส่ จนทำให้เธอรู้สึกพิเศษอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ราวกับว่าเธอไม่ใช่แค่น้องปีหนึ่งที่กำลังปวดท้อง... แต่เป็นคนสำคัญที่เขาตั้งใจจะปกป้อง
12.30 น.
หลังจากการขับรถเกือบสองชั่วโมงของรามัญ ก็มาถึงบริเวณสี่แยกไฟแดงที่รถของณัฐชาจอดเสียอยู่ ท่ามกลางความวุ่นวายของเมืองรถม้าที่ฝนกำลังตกหนักอย่างไม่ลืมหูลืมตา
ก่อนจะเดินออกจากตัวรถรามัญก็เอื้อมมือคว้าเสื้อสูทราคาแพง ที่แขวนไว้อย่างดีทางด้านหลังออกไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากในรถไม่มีร่ม เขาใช้เสื้อสูทของเขาเองคลุมเหนือศีรษะออกไปที่รถของณัฐชา ก่อนจะเคาะกระจกเรียกเธอ แล้วพาเธอออกมาจากตัวรถ
“เดินระวังนะครับ” รามัญบอกเธอด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใย โดยไม่ได้สนใจเลยว่าตอนนี้ตัวเองกำลังยืนตากฝนอยู่กลางสี่แยก
เขารีบยื่นเสื้อสูทไปคลุมศีรษะของณัฐชาอย่างแผ่วเบาเพื่อปกป้องเธอจากเม็ดฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างหนักหน่วง มืออีกข้างที่แข็งแรงของเขาประคองต้นแขนเรียวของหญิงสาวไว้อย่างอ่อนโยนและมั่นคง นำทางเธอให้ก้าวเดินไปตามถนนที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำ
เสื้อสูทที่เคยเรียบกริบตอนนี้เปียกปอนไปทั้งตัว แต่รามัญไม่ได้แสดงท่าทีหงุดหงิดหรือกังวล เขาจ้องมองเพียงใบหน้าซีดเผือดของณัฐชา และประคองเธออย่างระมัดระวังไปสู่รถของเขาที่จอดเปิดไฟฉุกเฉินอยู่ทางด้านหลัง เพื่อให้แน่ใจว่าเธอจะปลอดภัยและแห้งที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ณัฐชารู้สึกถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านมาจากสัมผัสของเขา และความรู้สึกผิดที่ทำให้เขาต้องเปียกปอน แต่สายตาของเขามีเพียงแต่ความห่วงใย