10 รอผมอยู่ตรงนั้น
เลขาฯ สาวรีบชะลอความเร็วลงอย่างระมัดระวัง พยายามเลี้ยงคันเร่งเพื่อให้เครื่องยนต์กลับมาทำงานอย่างราบรื่น แต่เสียงเครื่องยนต์ก็ยังคงอ่อนแรงและไม่สม่ำเสมอ ในที่สุดรถของเธอก็มาหยุดนิ่งอยู่ตรงกลางสี่แยกไฟแดงแห่งหนึ่ง
ณัฐชารีบเหยียบเบรกและเปลี่ยนเป็นเกียร์ว่างด้วยสัญชาตญาณ ก่อนจะตัดสินใจดับเครื่องยนต์เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ แต่เมื่อพยายามบิดกุญแจสตาร์ทใหม่อีกครั้ง สิ่งที่ได้ยินคือเพียงเสียงเครื่องยนต์ที่หมุนคว้างอย่างสิ้นหวัง...ไร้การตอบสนองใดๆ จากเครื่องยนต์
รถของเธอกลายเป็นก้อนเหล็กที่หยุดนิ่งอยู่กลางสี่แยกที่เต็มไปด้วยยวดยานคันอื่น ๆ ที่พยายามบีบแตรไล่ด้วยความหงุดหงิด แสงไฟสีแดงและสีเขียวสลับส่องกระทบใบหน้าของเธอ ณัฐชากลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเฝื่อน เธอรู้สึกถึงความโดดเดี่ยวและความเปราะบางที่มาพร้อมกับความไม่มั่นคงที่เธอพยายามหนีมาตลอด
ณัฐชาก้มลงมองแผงหน้าปัดรถยนต์ที่ไฟสถานะหลายดวงสว่างวาบอย่างผิดปกติ เหงื่อเย็นเยียบผุดขึ้นบนหน้าผาก เธอรีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายไปยังคนเดียวที่เธอสามารถพึ่งพาได้ในเวลานี้...คือรามัญ
หลังจากที่รามัญส่งบุตรสาวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยเป็นวันแรกเรียบร้อยแล้ว เขาก็รีบขับรถยนต์คู่ใจมุ่งหน้าขึ้นเหนือทันที โดยมีภาพของณัฐชา เลขาฯ คนใหม่เป็นแรงผลักดันให้เขารีบเดินทางให้ถึงจุดหมายอย่างรวดเร็ว
รถยนต์กำลังทะยานไปตามถนนอย่างเงียบเชียบ ท่ามกลางบรรยากาศฝนตกในเขตต่าง ๆ ก่อนถึงตัวเมืองลำปาง เขากำลังคิดถึงรายละเอียดงานที่เชียงใหม่ เมื่อจู่ ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นขัดจังหวะความเงียบสงบ เป็นสายเรียกเข้าจากณัฐชา
รามัญกดรับสายที่พวงมาลัยรถอย่างรวดเร็ว พร้อมด้วยรอยยิ้ม แต่เพียงวินาทีเดียวที่เขาได้ยินเสียงของเธอ รอยยิ้มนั้นก็จางหายไปสิ้น
“คุณรามคะ... รถของณัชชา...มันสะอึกค่ะ” เลขาฯ สาวที่ขับรถล่วงหน้าไปก่อน กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด
“แล้วตอนนี้เครื่องมันก็ดับไปแล้วค่ะ ณัฐชาจะทำยังไงดีคะ”
“ใจเย็น ๆ นะ ณัฐชา! เกิดอะไรขึ้น! บอกผมมาว่าคุณอยู่ตรงไหน!” น้ำเสียงของรามัญเปลี่ยนจากความนุ่มนวลเป็นความร้อนรนในทันทีเพียงเพราะห่วงใยเธอ
ณัฐชาเล่าว่า เธอได้ขับรถฝ่ากระแสฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก จนน้ำท่วมนองพื้นถนนในเมือง และเธอตัดสินใจขับลุยผ่านไป จนกระทั่งรถเริ่มมีอาการกระตุกรุนแรงและดับไปในที่สุด
“คุณรอผมอยู่ตรงนั้นนะ” รามัญรีบให้เธอส่งโลเคชั่นมาให้
“ณัฐชาจะรอคุณนะคะ” เลขาฯ สาวตอบอย่างหมดหนทาง แววตาของเธอคงเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น เพราะกลางสี่แยกที่รถติดคือจุดที่อันตรายที่สุด รถหลายคันผ่านไปมา เธอเปิดไฟฉุกเฉินเอาไว้ พลางปัดน้ำฝนด้านหน้าเพื่อรอคอยเขาอย่างมีความหวัง
“คุณห้ามลงจากรถเด็ดขาดนะ! ผมกำลังไปหาคุณ!!”
คำสั่งที่หนักแน่นและเต็มไปด้วยความห่วงใยนั้น ทำให้ใจของณัฐชาที่กำลังตื่นตระหนก... อุ่นใจขึ้นมาเล้กน้อย ในที่สุดเธอก็รู้ว่าเธอไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวอีกต่อไป เมื่อเขาวิดีโอคลอหาเธอตลอดการเดินทาง
ณ มหาวิทยาลัยชื่อดัง
พีรยาเข้าปฐมนิเทศในช่วงสิบโมงเช้า ฝนเริ่มเบาบาง แต่บรรยากาศภายในโรงยิมชั้นบนสุดของตึกกลับหนาวเหน็บผิดปกติ พีรยากับเพื่อน ๆ ในคณะเข้าพบอาจารย์ที่ปรึกษาและฟังคำแนะนำได้ไม่นาน จากนั้นรุ่นพี่ก็สั่งให้น้อง ๆ ปีหนึ่งทั้งหมดเดินขึ้นตึกไป เธอเดาว่ามันคงสถานที่ที่เป็นสมรภูมิแห่งการรับน้อง
พีรยายืนกอดอกรออยู่กับเพื่อนๆ ความกระสับกระส่ายเกาะกุมอยู่ในดวงตาของทุกคน สักพักเสียงฝีเท้าหนักๆ ก็ดังเข้ามาพร้อมกับกลุ่มรุ่นพี่ที่อยู่ปีสอง พวกรุ่นพี่เดินเข้ามาพร้อมกับออร่าแห่งอำนาจ ใบหน้าของแต่ละคนบึ้งตึงไร้รอยยิ้มเธอเดาว่าพวกเขาคงเป็นพี่ว๊าก ทำให้ความอบอุ่นสุดท้ายที่ได้รับจากอาจารย์เมื่อครู่มลายหายไปสิ้น
“น้อง ๆ จัดแถว พวกพี่จะเชคชื่อ!” เสียงหนึ่งแผดดังขึ้นมากลางอากาศ พีรยาและเพื่อนๆ สะดุ้งเฮือก
พอจัดแถวเสร็จรุ่นพี่ปีสอง ก็สั่งให้รุ่นน้องนั่งลง จากนั้นพี่ว๊ากก็เปลี่ยนกันเข้ามายืนอบรมพวกน้อง ๆ รุ่นพี่หลายคนยืนด้วยท่าทีที่พร้อมจะกดดันน้อง ๆ ทุกวินาที แล้วการเชคชื่อเสร็จผ่านไป มีรุ่นน้องคนหนึ่งยังไม่มา รุ่นพี่จึงสั่งทำโทษน้อง ๆ ที่เหลือ พีรยาคิดในใจ แบบนี้ก็ได้ด้วยเหรอ!
“น้อง ๆ ปีหนึ่งทุกคน สก็อตจั๊มพ์!” คำสั่งเด็ดขาดตามมา พีรยารับรู้ถึงแรงกระแทกจากพื้นสู่ข้อเท้าหลายครั้งจนเริ่มเหนื่อยหอบ อาการปวดท้องเมน ที่เป็นอยู่แล้วยิ่งกำเริบหนักขึ้นไปอีก ความเจ็บปวดเสียดแทงทำให้ใบหน้าของเธอจนบัดนี้มันซีดเผือดลงเรื่อย ๆ
พี่ว๊ากเสียงดังราวกับฟ้าร้อง ท่ามกลางบรรยากาศที่กดดันจนหายใจไม่ทั่วท้อง เพื่อนบางคนเริ่มทานทนไม่ไหว จากนั้นพี่ ๆ ก็สั่งให้พวกเธอหยุด และนั่งลง
รุ่นพี่กำลังขู่ขวัญน้อง ๆ ด้วยอำนาจที่เพิ่งจะได้รับมาจากการเลื่อนตัวเองที่เคยอยู่ปีหนึ่งขึ้นไปเป็นปีสอง พีรยามองไปรอบๆ และเห็นความหวาดกลัวในดวงตาของเพื่อนๆ เธอพยายามกัดฟันอดทน และไม่ยอมให้ตัวเองส่งเสียงหรือร้องออกมา
พี่ระเบียบ คนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับสมุดเล่มเล็กๆ ในมือ เขายืนพูดถึงกฎระเบียบที่น้อง ๆ ปีหนึ่งต้องปฏิบัติตาม
“น้อง ๆ ปีหนึ่งทุกคนจะต้องมาถึงมหา'ลัยก่อนเจ็ดโมงเช้า” พีรยาได้ฟังเช่นนั้น เธอก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรเพราะสำหรับเธอแล้วนี่ไม่ใช่ปัญหา เพราะสมัยช่วงประถมหรือมัธยม เธอติดรถพ่อมาเรียนตั้งแต่ตีห้าครึ่ง กินข้าวในรถมาตลอด แต่เธอก็ได้ยินเสียงเพื่อนบางคนเริ่มบ่นพึมพำอย่างอึดอัดว่าทำไม่ได้ และทันทีที่รุ่นพี่ได้ยินเสียงบ่นนั้นก็กลายเป็นหายนะ พี่ระเบียบคนเดิมเรียกเพื่อนของเธอออกไปว๊ากข้างหน้าแถวทันที จากนั้นก็สั่งทำโทษ
เพื่อนในคณะของเธอคนหนึ่งมาสาย รุ่นพี่ก็สั่งทำโทษ ก่อนจะหันมาเตือนน้อง ๆ ที่นั่งอยู่ว่า ถ้าใครมาสายเกินเวลาแม้แต่วินาทีเดียว พี่จะลงโทษสถานหนัก ความตรงต่อเวลาถูกใช้เป็นเครื่องมือในการแผ่อำนาจของรุ่นพี่อย่างสมบูรณ์แบบ
“น้อง ๆ จงตั้งใจฟังให้ดี และปฏิบัติตาม ข้อหนึ่ง...น้องๆ ปีหนึ่งทุกคน จะต้องห้อยป้ายชื่อตลอดเวลาที่อยู่ในมอ ห้ามเอาออกเด็ดขาด!” เสียงที่เปลี่ยนมาเป็นโทนราบเรียบแต่เฉียบคมดังขึ้นอีกครั้งหลังจากลงโทษเสร็จน้องคนที่มาสายเรียบร้อยแล้วปล่อยให้เธอกลับมานั่งกับกลุ่มเพื่อน ๆ
“สอง รุ่นน้องจะต้องทักทายรุ่นพี่และรู้จักรุ่นพี่ทุกคน!”
“สาม รุ่นน้องจะต้องเข้าร่วมกิจกรรมสันทนาการที่รุ่นพี่จัดทุกครั้ง!”
“สี่ รุ่นน้องต้องจำรุ่นพี่ให้ได้ทุกคนภายในหนึ่งอาทิตย์!”
“ห้า รุ่นน้องทุกคนจะต้องร้องเพลงประจำมอกับเพลงสันทนาการให้ได้ทุกเพลง!”
พีรยานั่งฟังรุ่นพี่บอกกฏเป็นข้อๆ หัวใจของเธอเต้นช้าลงเพื่อประมวลผล นี่คือ 'กฎเหล็ก' ที่จะกำหนดชีวิตในรั้วมหา'ลัยเดือนแรกของเธอ มันเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าการรับน้องนี้คือการฝึกความอดทน การเชื่อฟัง และการอยู่ภายใต้อำนาจของรุ่นพี่ หากไม่ทำ หรือทำได้ไม่ดี พี่ว๊ากหรือพี่ระเบียบก็จะลงมาว้ากใส่น้องๆ อย่างไม่มีข้อยกเว้น
พีรยาหลับตาลงชั่วครู่ เธอรับรู้ได้ถึงความหนักอึ้งที่ถาโถมเข้ามาในร่างกายและจิตใจอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน เธอต้องรอดจากเดือนแรกนี้ไปให้ได้