บทที่ 3
ตอนนั้นกัฟฟาห์คิดว่าได้พบกับแหล่งโอเอซิสที่สามารถเติมเต็มหัวใจ และชีวิตอันแห้งผากให้กับเขาได้เสียที แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นเพียงสิ่งลวงตา ผู้หญิงคนนั้นไม่เคยรักเขา เธอเข้ามาเพียงเพราะเห็นว่าเขาชื่อชีคน้อยแห่งเมืองซิย่า เธอแค่หวังจะผลักดันให้เขาหันมายอมรับตำแหน่งใหญ่โต เคียงบ่าเคียงไหล่ชีคผู้พี่อย่างราซัค
ซูฮานีนั้นกระหายเกียรติยศกับอำนาจอย่างเห็นได้ชัด แต่พอเขาปฏิเสธและยืนยันว่าชอบที่จะใช้ชีวิตอิสระมากกว่า เธอจึงเลือกที่จะจากไปโดยไม่ใยดี การผิดหวังจากซูฮานีทำให้กัฟฟาห์มองเห็นผู้หญิงเป็นเพียงของเล่นคั่นเวลา ไม่คิดจริงจังหรือหวังที่จะรักใครได้อีก หัวใจดวงนี้ราวกับถูกปิดตายไปเสียแล้ว
“คุณกัฟฟาห์ครับ ตกลงว่าจะไปพบท่านชีคราซัคกับคุณพิมพ์พิสุทธิ์เลยไหมครับ” น้ำเสียงที่ถามย้ำเป็นครั้งที่สามของฮาริช ดึงผู้เป็นนายให้สะดุ้งหลุดจากภวังค์ความหลังในที่สุด
“โอเค ไปกันเลยก็ได้ นายล่วงหน้าไปก่อนฉันแล้วกัน เดี๋ยวฉันจะไปกับจามาลเอง”
“ได้ครับ แล้วพบกันที่คฤหาสน์...นะครับ”
กัฟฟาห์รับคำแล้วกดตัดสายไป เจ้าของร่างสูงกำยำสะบัดศีรษะขับไล่เรื่องคนรักเก่าออกไปจากสมอง เวลาสองปีที่ผ่านมาช่วยคลายความเจ็บปวดจนแทบไม่มีอยู่อีก หลงเหลือเพียงแค่ซากหัวใจอันรวดร้าวที่คอยต่อต้านความรักอยู่เสมอ
ชายหนุ่มถอนหายใจขณะยกมือขึ้นจัดเนกไทให้เป็นระเบียบ แล้วเดินออกมาจากห้องโดยไม่มีอารมณ์ใช้สายตาเจ้าชู้หยอกล้อกับเลขานุการคนสวยเหมือนทีแรกอีก
ระยะทางจากเมืองที่เต็มไปด้วยแสงสีและความรุ่งโรจน์ของเมืองบัลลู สู่เมืองหลวงอันแสบสงบ แต่งดงามด้วยสถาปัตยกรรมบ้านเมืองที่หรูหราและเก่าแก่ทรงคุณค่า ต้องใช้เวลาในการขับรถนานเกือบชั่วโมง กัฟฟาห์ไม่ได้ทุกข์ร้อนกับการนั่งรถอย่างยาวนานนั้น เพราะเขามัวแต่จมอยู่กับภาพในอดีต มันจะเป็นแบบนี้ทุกครั้งหลังจากผ่านการลึกซึ้งกับผู้หญิงคนอื่น เมื่อฉากสวาทและการโยนเงินให้เป็นค่าตัวผ่านพ้นไป หัวใจของเขาจะถูกกัดกินจากเรื่องของซูฮานีเสมอ
ไม่ใช่เพราะยังรัก...แต่เพราะเกลียดชังอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ต่างหาก
ชายหนุ่มไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารถยนต์ที่มีจามาลเป็นสารถีนั้น จอดลงที่หน้าคฤหาสน์อันใหญ่โตมโหฬารตั้งแต่ตอนไหน มารู้สึกตัวก็ตอนที่ฟากีร์ คนสนิทซึ่งรับหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยอยู่ที่เมืองซิย่าเปิดประตูรถออก แล้วโค้งให้เพื่อแสดงถึงการให้ความเคารพเจ้านาย
“ยินดีต้อนรับครับนายท่าน ผมมารออยู่ที่นี่ตั้งแต่ชั่วโมงก่อน หลังจากรู้ว่านายท่านจะกลับมา” เสียงทุ้มลึกเอ่ยขึ้นกึ่งเป็นทางการ
ฟากีร์เป็นหนุ่มหล่อที่มีผิวสีแทนสวยงดงาม รูปร่างสูงโปร่งและมีความกำยำล่ำสันสมเป็นบุรุษ ทำให้สาวโสดในเมืองพากันหลงใหลชื่นชม แต่ดูเหมือนเขาจะยังไม่ค้นพบนางผู้เป็นเจ้าของดวงใจเสียที
“บอกว่าอย่าเรียกฉันแบบนั้น” กัฟฟาห์ตำหนิ ทว่าริมฝีปากแย้มยิ้มด้วยความยินดีที่ได้พบกัน
“ขอโทษทีครับ มันเป็นความเคยชินที่ปรับเปลี่ยนยากอยู่เหมือนกัน”
“พยายามอีกหน่อยแล้วกัน ฉันชอบแบบไม่มีพิธีรีตองมากกว่า” มือหนาเอื้อมไปตบไหล่อีกฝ่าย “ท่านพี่คงอยู่ข้างในใช่ไหม เดาว่าน่าจะกำลังพะเน้าพะนอว่าที่ชีคคาอยู่แน่” รอยยิ้มรู้ทันผุดขึ้นบนใบหน้า จามาลกับฮาริชมองสบตากัน แล้วยิ้มกริ่มอย่างเห็นด้วยกับเจ้านาย
“เกรงว่าจะเป็นอย่างนั้นครับ” ฟากีร์ยอมรับแล้วหัวเราะเบาๆ
“แล้วแบบนี้จะมีเวลาให้น้องชายอย่างฉันบ้างไหมนะ”
“มีแน่นอนครับ ท่านชีคสั่งว่าทันทีที่คุณกัฟฟาห์มาถึง ให้เชิญไปพบที่ห้องโถงได้เลย เพราะมีเรื่องสำคัญที่ต้องการปรึกษาค่อนข้างเร่งด่วนครับ” สิ้นคำอธิบายนั้น กัฟฟาห์ก็พยักหน้าแล้วก้าวเดินเข้าสู่คฤหาสน์ชาร์จาราห์อันทรงเกียรติของชีคราซัค
ภายในยังคงกว้างขวางโอ่โถง เต็มไปด้วยความหรูหรางดงามราวกับวิมานบนสรวงสวรรค์ กลิ่นไอของความรักตลบอบอวลไปทั่วทุกพื้นที่ และมันยิ่งเด่นชัดขึ้นเมื่อร่างสูงใหญ่เดินเข้าไปถึงส่วนของห้องโถง พบชีคผู้พี่กำลังส่งยิ้มหวานหยดให้กับคนรักสาวชาวไทยแท้อย่างพิมพ์พิสุทธิ์
“อะแฮ่ม!” แม้นั่นไม่ถือเป็นการทักทายที่ถูกตามธรรมเนียม แต่คนอย่างกัฟฟาห์สนใจเสียที่ไหน อย่างน้อยการกระแอมกระไอของเขาก็ทำให้คู่รักหวานชื่นยอมละสายตาจากกัน ชีคราซัคส่งยิ้มยินดีให้คนที่เพิ่งมาใหม่ ก่อนจะลุกขึ้นมาวางมือบนไหล่ทั้งสองของน้องชาย
“มาเสียทีนะกัฟฟาห์ ฉันคิดว่านายจะไม่กลับมาเยี่ยมเยียนกันเสียแล้ว”
“นั่นสิคะ คุณหายหน้าหายตาไปนานเลยนะ นึกว่าลืมทางกลับมาที่นี่แล้ว ว่าจะให้ฟากีร์ไปตามอยู่แล้วเชียว” พิมพ์พิสุทธิ์เอ่ยอย่างเห็นด้วย ใบหน้ามีรอยยิ้มงดงามประดับอยู่
กัฟฟาห์ยิ้มให้ชีคราซัคและเผื่อแผ่ไปยังว่าที่พี่สะใภ้ สรุปเอาในใจว่าหลังจากผ่านเรื่องราวร้ายๆ มาด้วยกัน พิมพ์พิสุทธิ์ดูนิ่งและวางตัวได้เก่งขึ้น ความเป็นสาวห้าวสุดแสบสันต์ถูกความรักบรรเทาให้ลดลงอย่างเห็นได้ชัด อย่างน้อยหญิงสาวก็รู้จักยิ้มหวานมากกว่าหน้าบึ้งตึงเหมือนแต่ก่อน
“ผมต้องขอโทษทีครับที่แทบไม่ได้กลับมาที่ซิย่าเลย พอดีผมติดงานถ่ายแบบคอลเลคชั่นใหม่น่ะ แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะว่างยาวแล้ว คงได้มาเป็นก้างขวางคอคุณแพรวกับท่านพี่บ่อยๆ อย่าเบื่อผมเสียก่อนล่ะครับ”
พ่อคนกะล่อนพูดแล้วก็ขยิบตาใส่พี่ชาย ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวหรือมากพิธีเวลาอยู่ด้วยกัน ด้วยความที่เหลือกันเพียงแค่สองพี่น้อง ทำให้สองหนุ่มสามัคคีและสนิทสนมกันมาก แต่ก็มีบางครั้งที่กัฟฟาห์หยอกล้อไม่ดูจังหวะเวลา ทำให้ถูกปรามด้วยสายตาดุขรึมอยู่บ่อยๆ
