บทที่ 10
“ขวัญขอบคุณคุณพ่อคุณแม่มากนะคะ” ขวัญชนกยกมือไหว้อย่างสุภาพ แล้วหันไปยิ้มเศร้ากับเพื่อนสาว “เธอด้วยนะพราว...แต่ฉันยังไม่อยากปล่อยให้ลุงชาติอยู่คนเดียว นี่ตั้งแต่กลับมาฉันก็ยังไม่ได้คุยกับลุงเลย แกเมาหลับนอนอยู่ตรงโซฟา ไม่ยอมล็อกประตูบ้านด้วยซ้ำ แถมยังปล่อยให้บ้านช่องรกมากจนฉันทำความสะอาดไม่ไหว ต้องโทรไปขอร้องให้แม่บ้านคนเก่ามาทำความสะอาดให้ ระหว่างทำความสะอาดฉันเลยมาหาเธอที่นี่ก่อน”
“ขวัญแน่ใจเหรอว่าจะอยู่บ้านหลังนั้น บอกตามตรงนะว่าแม่เป็นห่วง กลัวชาติจะทำอะไรบ้าๆ กับขวัญเหมือนเมื่อตอนสองปีก่อนอีก” พิมพ์พรรณหมายถึงเหตุการณ์ที่วรชาติ ลุงแท้ๆ พยายามจะปลุกปล้ำขวัญชนก หลังจากเมาหนักจนขาดสติเมื่อสองปีก่อน ตอนที่บุพการีของขวัญชนกจากไปด้วยอุบัติเหตุได้เพียงไม่กี่เดือน
“ขวัญจะระวังนะคะคุณแม่ ขวัญอยากลองคุยกับลุงชาติตอนที่แกไม่เมาดูก่อน แต่ถ้ามันไม่มีประโยชน์ ขวัญคงต้องบากหน้ามาขอพึ่งใบบุญคุณพ่อคุณแม่แน่ๆ ค่ะ เพราะขวัญไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนอีกแล้ว” หญิงสาวตัดสินใจตามที่พูดจริงๆ อยากลองเจรจาขอร้องให้วรชาติเลิกดื่มเหล้าดูก่อน แต่ถ้าตกลงกันไม่ได้ เธอจะไม่ลังเลเรื่องการหันหลังให้กับผู้เป็นลุงอีก เพราะถือว่าเขาเลือกหนทางชีวิตให้กับตัวเองแล้ว
“แต่ถ้ามีเรื่องอะไร รีบมาหาพ่อกับแม่ทันทีเลยนะขวัญ” ศ.ดร.อนุสรณ์ย้ำด้วยน้ำเสียงจริงจัง รู้สึกไม่ไว้ใจคนอย่างวรชาติเลย เพราะนับตั้งแต่กลายเป็นพวกขี้เหล้าเมายา วรชาติก็สร้างแต่ความวุ่นวาย งานการไม่เคยไปดูแล ปล่อยให้คนสนิทคอยจัดการทุกอย่างแทน จนบริษัทนำเข้ารถยนต์ของเขาเกือบจะถูกโกงไปอยู่แล้ว
“ค่ะ ขอบคุณนะคะที่เมตตาขวัญ” เป็นอีกครั้งที่หญิงสาวยกมือกระพุ่มไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสอง
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ แม่ว่าขวัญเลิกคิดเรื่องเศร้าๆ แล้วทานของว่างกับน้ำหวานที่แม่เอามาให้ดีกว่านะลูก วันนี้มีข้าวเกรียบปากหม้อ แม่จำได้ว่าพราวกับขวัญชอบทานกัน” พิมพ์พรรณลูบไล้ผมดัดลอนที่ย้อมด้วยสีน้ำตาลทองอย่างเอ็นดู ก่อนจะมองสบตากับสามี “เราออกไปข้างนอกกันดีกว่าพ่อ ลูกๆ จะได้ทำงานกันต่อ” ศ.ดร.อนุสรณ์พยักหน้ายิ้มๆ แล้วเดินเคียงคู่ออกไปพร้อมกับภรรยา สวนกับสาวใช้ที่ถือหนังสือเล่มหนึ่งเข้ามาในห้องพอดี
“คุณพราวคะ คุณพริมให้อิ๋งเอาหนังสือขึ้นมาให้ค่ะ บอกว่าให้เปิดอ่านหน้าที่คั่นไว้เลยนะคะ คุณพริมไม่ได้เอาขึ้นมาให้เองเพราะมีสายด่วนจากเพื่อนที่อเมริกาน่ะค่ะ” อิ๋งยื่นหนังสือที่พิมพ์นาราสั่งให้นำมาให้พิมพ์ประภัทรจนถึงมือ เรียบร้อยแล้วก็หมุนตัวเดินตามหลังเจ้านายทั้งสองไป
ทันทีที่ประตูปิดลงสองสาวก็มองสบตากัน ขวัญชนกกะพริบตาถี่ๆ ไล่หยาดน้ำตาที่พร้อมจะหลั่งรินออกมาได้ทุกเมื่อ พิมพ์ประภัทรเห็นแบบนั้นก็ไม่อยากพูดอะไรเพื่อสะกิดแผลในใจอีก เธอหันไปมองจานของว่างที่วางอยู่บนโต๊ะ ทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา วางหนังสือของพี่สาวไว้บนตัก แล้วส่งข้าวเกรียบปากหม้อเข้าปาก
“อื้อหือ อร่อยสุดๆ เลยขวัญ ถ้าไม่กินฉันกินหมดคนเดียวนะ” เธอทำหน้าเหมือนได้ลิ้มรสอาหารมหัศจรรย์
“ฉันไม่ยอมหรอกยัยพราว นั่นมันก็ของโปรดฉันเหมือนกันนะยะ” ในที่สุดขวัญชนกก็กลับมาเป็นคนเดิมในระยะเวลาอันรวดเร็ว มันคงไม่ง่ายแบบนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะอยู่ใกล้ชิดกับคนน่ารักอย่างพิมพ์ประภัทร
เธอเดินไปนั่งบนโซฟาตัวตรงข้าม แล้วเลื่อนจานของว่างไปทางตัวเอง “ขอบใจเธอมากนะพราว เธอกับคุณพ่อคุณแม่ดีกับฉันมาตลอดเลย พูดแล้วน้ำตาจะไหลอ่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า เราอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก ฉันสัญญาว่าจะไม่ทอดทิ้งเธอ เราจะเป็นเพื่อนกันตลอดไปเลยนะ แต่ได้ยินแล้วก็ห้ามดราม่าใส่ฉันล่ะ มันดูไม่ใช่ตัวเธอเลย ขวัญชนกที่ฉันรู้จักออกจะรั่วและอารมณ์ดี ไม่ใช่คนขี้แยเสียหน่อย จริงไหม”
“รู้แล้วย่ะ เลิกพูดมากเถอะ เดี๋ยวกินไม่ทันฉันนะ” แล้วสาวเจ้าก็ใช้ช้อนส้อมจิ้มข้าวเกรียบปากหม้อแสนอร่อยเข้าปากไปสองชิ้นซ้อน นานถึงสองปีแล้วที่ไม่ได้ลิ้มชิมฝีมือของพิมพ์พรรณ แต่ก็ประจักษ์แก่ตัวเองในตอนนี้แล้วว่ายังคงอร่อยล้ำเหมือนเดิม ได้รับประทานอาหารจากรสมือนี้ครั้งใด เธอก็มักจะคิดถึงมารดาของตัวเองทุกที
พิมพ์ประภัทรกับขวัญชนกจัดการกับของว่างจนเรียบ จากนั้นก็เริ่มพูดคุยเกี่ยวกับรายละเอียดเรื่องการทำน้ำหอมอีกครั้ง ขวัญชนกตั้งใจว่าจะเป็นผู้ช่วยที่ดีไม่วุ่นวายให้เพื่อนเสียงาย และในอนาคตก็จะเก็บรักษาสูตรที่เพื่อนคิดค้นไว้เป็นความลับจนตัวตาย แต่ก่อนอื่นเธอคงต้องหาความรู้ใส่ตัวเสียบ้าง ซึ่งพิมพ์ประภัทรไม่ใช่พวกหวงวิชาแต่อย่างใด
“ช่วยเล่าอะไรเกี่ยวกับน้ำหอมให้ฟังบ้างสิพราว”
