ตอนที่4
อัญริสาถูกโอบกอดโดยร่างหนาของคนที่เปรียบเสมือนเจ้าของชีวิตเธอ หลังเสร็จกิจกรรมเข้าจังหวะที่เพิ่งจบไปหมาดๆ เธอมีความสุขทุกครั้งที่อย่างน้อยเขาก็ยังกอดเธอเอาไว้ ถึงแม้จะรู้ว่าอ้อมกอดนี้ไม่ได้คิดอะไรเกินเลยไปมากกว่าคู่นอนเลยก็ตาม
“คุณนนท์ หลับหรือยังคะ”
“มีอะไร”
“เปล่าค่ะ ริสาแค่ถามเฉยๆ” ร่างเล็กพลิกตัวหันหน้าเข้าซุกอกแกร่งของเขาที่อบอุ่นจนเธอไม่อยากละออกจากตรงนี้
“แน่ใจ?”
“ค่ะ แน่ใจค่ะ” เธอแค่อยากได้ยินเสียงของเขาก่อนนอนเพียงเท่านั้น แค่เขาตอบรับกลับมาก็พอแล้ว
“ไม่มีอะไรก็นอนได้แล้ว ฉันต้องตื่นแต่เช้า”
“ค่ะ ฝันดีนะคะ” เธอทำหน้าที่ของตนเองได้ค่ำคืนนี้จบลง ก่อนนอนเธอจะต้องบอกฝันดีเขาทุกครั้งที่ได้นอนด้วยกัน แต่เขาไม่เคยโต้ตอบอะไรกลับมาจนเธอชินกับความเงียบขรึมของเขาไปโดยปริยาย
เช้าวันใหม่เตียงกว้างมีเพียงแค่หญิงสาวที่ถูกทิ้งให้นอนอยู่คนเดียว ร่างหนาที่นอนกอดกันตลอดทั้งคืนได้ลุกไปตั้งแต่ช่วงเช้ามืดโดยไม่ให้เธอได้รู้ตัว อัญริสานั่งมองเตียงนอนที่ว่างเปล่าก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นเงินจำนวนหนึ่งที่ถูกวางทิ้งไว้ทุกครั้งที่เขามาหา
“ริสาไม่ได้อยากเงินของคุณสักหน่อย” เธอเก็บเงินที่เขาวางทิ้งไว้เข้าตู้เซฟขนาดเล็กที่อยู่ในห้องนอน
ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาเธอได้เงินจากการหลับนอนกับเขา แต่ไม่เคยได้ใช้เงินนั้นเลยเพราะทุกวันนี้ก็ใช้จ่ายด้วยบัตรเครดิตที่เขาให้ไว้เมื่อนานมาแล้ว เงินที่ได้จากเขาทุกบาทจึงถูกเก็บเอาไว้เผื่อที่จะคืนเขาในสักวัน
ในวันหยุดอัญริสาไม่มีที่ให้ไปนอกจากอยู่บ้านทำทุกอย่างวนซ้ำมาตลอดหนึ่งปี เธอมักจะหมดเวลาไปกับการทำความสะอาดบ้านและอ่านหนังสือเพื่อที่จะเรียนให้จบ เธออยากมีสิ่งที่ทำให้เขาภูมิใจในตัวเธอย่างสักนิดก็ยังดีที่ไม่ใช่มีประโยชน์แค่ร่างกาย
“คุณนนท์จะชอบกินขนมไหมนะ” เธอแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย เพราะได้เจอกันแค่สัปดาห์ละครั้งหรือมากกว่านั้นแค่ตอนที่เขาต้องการปลดปล่อย
อัญริสาไม่มีโอกาสถามสิ่งที่เขาชอบหรือไม่ชอบเพราะกลัวเขาจะรำคาญ เพื่อที่จะได้อยู่ใกล้เขาแบบนี้ต่อไปจึงไม่กล้าเซ้าซี้เกินหน้าที่ของตนเอง อาหารที่กินร่วมกันก็มีเพียงไม่กี่มื้อเธอจึงไม่เคยรู้เลยว่าชอบหรือไม่ชอบอะไร
หญิงสาวลงมือทำคุกกี้ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอมั่นใจว่าตนเองทำมันได้ดีที่สุด คุกกี้สีสันดูสวยน่ากินถูกจัดใส่กล่องอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยถูกวางเรียงรายทั้งที่เธออยู่คนเดียวและมั่นใจว่าคงกินเองคนเดียวไม่หมดเป็นแน่
“เผลอทำเยอะอีกแล้วเรา” เพราะว่างจนมีเวลาจึงลืมตัวเผลอทำมากเกินไปซึ่งปัญหาต่อจากนี้คือเธอควรทำอย่างไรต่อจากนี้
“เอาไปแบ่งคุณน้าในหมู่บ้านดีกว่า” ว่าจบก็หยิบคุกกี้ที่ตั้งใจทำใส่ถุงกระดาษลายน่ารักเพื่อนำไปให้คุณน้าใจดีที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านเธอนัก แต่ท่านมักจะเป็นเพื่อนชวนคุยทุกครั้งที่เธอไปออกกำลังกายที่สวนสาธารณะ
อัญริสากดออดเรียกคุณน้าที่มักจะเจอกันบ่อยๆ อยู่หลายครั้ง ทว่าประตูบ้านยังคงปิดสนิทไร้เสียงตอบรับจากเจ้าของบ้าน
“คงไม่อยู่มั้ง” เมื่อคิดว่าคงไม่มีใครอยู่ใบหน้าสวยซึมสลดคอตกเตรียมกลับบ้านก็เจอกับคุณน้าใจดีที่เพิ่งกลับถึงบ้านพอดิบพอดี
“อ๊ะ! คุณน้า สวัสดีค่ะ”
“อ้าว! หนูริสามาทำอะไรจ๊ะ” หญิงวัยกลางคนส่งยิ้มอ่อนโยนให้หญิงสาวที่มักจะมาเป็นเพื่อนชวนคุยอยู่ประจำ
“ริสาทำคุกกี้มาให้ค่ะ แต่เห็นบ้านปิดเลยกำลังจะกลับ”
“น้าไปซื้อของที่ห้างมาน่ะ พอดีวันนี้หลานชายจะมาเยี่ยม หนูริสามาทานมื้อเย็นที่บ้านน้าได้นะ”
“ไม่เป็นไรดีกว่าค่ะ ขอบคุณที่ชวนริสานะคะ” อัญริสารีบปฏิเสธเพราะเธอเป็นคนนอกไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับท่าน เป็นแค่เพื่อนบ้านที่รู้จักกันเท่านั้น
“เสียดายจัง น้าอยากให้หนูได้เจอกับหลานชายน้า”
“เอาไว้โอกาสหน้าดีกว่านะคะ”
“จ้ะ ยังไงก็ขอบคุณสำหรับคุกกี้นะจ๊ะ หน้าตาน่ากินเชียว” หญิงวัยกลางคนส่งยิ้มให้พร้อมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
อัญริสาเดินกลับบ้านที่เป็นที่พักพิงของเธอมาตลอดหนึ่งปีโดยที่พยายามเก็บความลับเรื่องสถานะของตนเองมาตลอด เธอกลัวว่าถ้าวันหนึ่งคนที่ใจดีที่สุดกับเธอรู้ความจริงว่าสิ่งที่เธอเป็นนั่นไม่ต่างจากนางบำเรอ ขายร่างกายเพื่อความอยู่รอด ท่านจะอ่อนโยนกับเธอแบบนี้หรือจะรังเกียจเธอ
หญิงสาวเดินสวนกับรถยนต์คันหรูที่เพิ่งขับเข้ามาโดยไม่ได้สนใจว่าคนขับด้านในเป็นใคร เพราะสิ่งเดียวที่เธอคิดอยู่ตอนนี้คือคิดถึงคนที่เพิ่งแยกจากกันเมื่อเช้า จนกระทั่งรถยนต์คันที่ขับสวนกับเธอได้จอดที่หน้าบ้านของคุณน้าใจดีที่เธอเพิ่งเดินจากมา
“เหม ทำไมมาเร็วจังเลย อายังไม่ทันได้เตรียมของเลย”
“ผมคิดถึงคุณอานี่ครับ” ชายหนุ่มร่างสูงลงจากรถเข้าสวมกอดคุณอาสุดที่รักของตนเองทันที
“อ้อนเป็นเด็กไปได้ เข้าบ้านดีกว่าลูกเดี๋ยววันนี้อาทำของโปรดให้”
“ครับคุณอา” ร่างสูงโปร่งเชื่อฟังคำบอกของคุณอาทุกอย่างเพราะท่านเป็นน้องสาวของพ่อและยังเป็นคนดูแลเขามาตั้งแต่เด็ก แต่ท่านเพิ่งตัดสินใจย้ายออกมาอยู่คนเดียวเมื่อสองปีก่อนนี้เอง
“ช่วงนี้ยุ่งเหรอลูกถึงไม่ค่อยมาหาอาเลย”
“ก็นิดนึงครับอา พอดีที่บริษัทเพิ่งเปลี่ยนระบบใหม่เลยวุ่นวายนิดหน่อยครับ”
“พักผ่อนบ้างล่ะ อาเป็นห่วงเรานะเหม” เอมอรคุณอาแสนอ่อนโยนของหลานอดเป็นห่วงคนตรงหน้าไม่ได้ เพราะรู้ว่าเหมราชผู้เป็นหลานชายเพียงคนเดียวเวลาทำอะไรจริงจังแล้วจะทำสุดจนบางครั้งฝืนร่างกายตัวเองจนป่วย
“ครับคุณอา ว่าแต่คุกกี้อันนี้อาทำเองเหรอครับ” เหมราชชี้ไปที่กล่องคุกกี้ที่วางอยู่บนโต๊ะด้วยความสงสัย
“เปล่าจ้ะ หนูริสาเอามาให้น่ะ เสียดายที่กลับไปก่อนเลยไม่ได้เจอกัน”
“ใช่คนที่เพิ่งเดินสวนออกไปหรือเปล่าครับ ผู้หญิงตัวเล็กๆ หน้าตาสวยๆ”
“เห็นหนูริสาด้วยเหรอเรา”
“ครับ ก็น่ารักขนาดนั้นไม่เห็นได้ยังไงล่ะครับ” ชายหนุ่มพูดพลางยิ้มๆ เมื่อนึกถึงคนที่เพิ่งสวนกันจนเขาต้องเหลียวหลังกลับไปมอง แม้จะเห็นใบหน้าไม่ชัดมากแต่ก็รับรู้ได้ถึงความน่ารักของอีกฝ่าย
“นิสัยเหมือนพ่อไม่มีผิดเลยนะเรา” ผู้เป็นอาส่ายหน้าอย่างยิ้มๆ
“ผมไม่ได้เหมือนพ่อสักหน่อยครับ รายนั้นเจ้าชู้จนแม่ยังทนไม่ได้เลยครับ” เหมราชไม่ค่อยจะลงรอยกับพ่อของตนเองมากนักตั้งแต่ที่ท่านหย่าร้างกับแม่ไปเพราะความเจ้าชู้ แต่เพราะเป็นลูกชายคนเดียวเลยต้องจำยอมรับหน้าที่สานต่อธุรกิจของครอบครัว
“ยังไม่ให้อภัยพ่อเขาอีกเหรอ เรื่องมันก็ผ่านไปหลายปีแล้วนะ ตอนนี้แม่เขาเองก็มีครอบครัวใหม่แล้ว”
“ก็ถ้าพ่อไม่เจ้าชู้แม่จะขอหย่าไหมล่ะครับ”
“โธ่ๆ มากินข้าวดีกว่าจะได้อารมณ์ดีขึ้น” เอมอรลูบหัวหลานชายด้วยความเอ็นดู แม้เหมราชจะอายุเข้าเลขสามแต่อย่างไรก็ยังเป็นเด็กชายตัวน้อยในสายตาของเธอเสมอมา
อัญริสากลับถึงบ้านที่เงียบเหงาก็ต้องอยู่คนเดียวอีกครั้ง สิ่งที่เธอต้องทำในวันนี้จบลงแล้วแต่เวลายังไม่ผ่านพ้นไปจึงทำได้แค่นั่งรอเวลาให้ดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าเพื่อเปลี่ยนเป็นวันใหม่
“อยากให้เป็นวันศุกร์อีกจัง” แม้จะเพิ่งผ่านมาแค่เมื่อวานแต่เธอก็อยากให้เขามาหาอีกแล้ว
คนตัวเล็กทำได้แค่นั่งมองรูปที่แอบถ่ายเขาไว้ในโทรศัพท์เพื่อให้หายคิดถึง รูปที่เธอแอบถ่ายจะต้องเป็นความลับตลอดไป ห้ามเผยแพร่ลงโซเชียล ห้ามให้ใครเห็นจนต้องซ่อนเอาไว้อย่างดี ถึงจะไม่มีโอกาสได้ถ่ายรูปคู่กันก็ไม่เป็นไร
