4 งานแต่งในฝัน
ณ ไร่ชาขนาดใหญ่ใจกลางเมืองเชียงราย
งานแต่งในสวนสีเขียว กับผู้คนที่ใส่ชุดในธีมสีเขียวไล่ระดับ ตั้งแต่เขียวพาสเทล เขียวอ่อน เขียวแก่และเขียวน้ำทะเล
งานแต่งในสวนนี้ประดับประดาไปด้วยต้นไม้สีเขียวเข้มที่เจ้าสาวชอบปลูก มีพวงไฟเล็กๆ ประดับตามต้นไม้เหล่านั้น
‘พินชอบต้นไม้มากกก โดยเฉพาะกวักมรกต...ในงานแต่งงานของเรา จัดธีมธรรมชาติในสวน สีเขียวดีไหมคะกฤช’ เสียงของตัวเองในวันวาน แว่วเข้ามาทันที เมื่อได้เห็นงานแต่งงานที่เหมือนหลุดออกมาจากความฝัน
ความฝันที่เธอวาดมันขึ้นมาคนเดียวตลอด 9 ปีที่ผ่านมา
“ชอบไหม” เสียงทุ้มกังวานดังมาจากทางด้านหลัง จนเธอต้องหลุดออกจากภวังค์และหันไปเผชิญหน้า
ชายหนุ่มร่างสูงสง่า ในชุดสูทสีขาวตัดด้วยเนกไทสีเขียวพาสเทล เสริมคำว่า ‘ความฝัน’ ให้กับงานนี้ได้เป็นอย่างดี
ธาดาเป็นชายหนุ่มรูปงาม ที่สูงสง่า ผิวพรรณสีขาวแต่กร้านแดด ทำให้เขาดูแข็งแรง เข้ากันกับหุ่นกำยำที่มองผ่านเนื้อผ้ายังเด่นชัด แตกต่างจากอดีตของเธอ ผู้ดูร่างเล็กกว่า
นายแพทย์คมกฤชไม่ใช่คนสูงสง่า หากแต่สูงกว่าเธอเล็กน้อย ผิวพรรณของเขาขาวเหมือนคนที่มีเชื้อจีนและหุ่นของเขาค่อนข้างผอมเพรียว แต่ไม่ได้แห้งก้าง
“คุณรู้ได้ยังไง ว่าฉันอยากได้งานแต่งงานธีมนี้” เธอถามเขาอีกครั้ง หลังจากที่ถามไปแล้วตั้งแต่เมื่อสามวันก่อน วันที่ได้ไปลองชุด ว่าเขาทราบได้ยังไง ว่าเธออยากได้ชุดแต่งงานแบบนี้
“คุณเล่นแชร์ลงในโซเชียลต่อเนื่องมาตั้งหลายปี ไม่รู้สิแปลก” เขาว่าเชิงขำ ยื่นมือให้เธอจับ เชิงชวนเข้าไปในงาน เพราะหลังจากเสร็จพิธีรดน้ำสังข์ เธอก็ขอมาเดินเล่นรอบงาน เพราะคนข้างในเยอะมาก หญิงสาวบอกเขาว่า หายใจไม่ค่อยสะดวก
“แต่ฉันก็ไม่ได้สรุปนี่ ว่าอยากได้แบบไหน แชร์มั่วไปหมดด้วยซ้ำ” พินยุพาเป็นคนที่มีเพื่อนใน Facebook เยอะมาก เธอไม่แปลกใจว่าทำไมเขาถึงได้เป็นเพื่อนกับเธอด้วย
“ถ้าอย่างนั้น ผมว่าผม...สมควรได้รับคำชม มากกว่าคำถามนะ”
เขาก็เป็นซะอย่างนี้ ไม่ว่าเธอจะถามอะไรเกี่ยวกับเขา เขาก็ไม่เคยตอบตามตรง แถมยังเฉไฉไปเรื่อยได้อย่างนี้เสมอ
“คุณบอกฉันไม่ได้จริงๆ ใช่ไหม ว่าเราเคยรู้จักกันมาก่อนหรือไม่ เมื่อไหร่ แล้วทำไมคุณถึงอยากแต่งงานกับฉัน?” เธอเลือกที่จะถามคำถามนี้กับเขาอีกครั้ง แม้จะไม่เคยได้คำตอบ ตลอดระยะเวลา 1 สัปดาห์ที่ได้เป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายกันมา
เขาโทรหาเธอทุกคืน มาหาเธอที่บ้านทุกวัน แม้พินยุพาจะทำงานเป็นสาวธนาคาร แต่หลังเลิกงานเขาก็มารับไปทานข้าวนอกบ้านบ้าง หรือมารับประทานฝีมือมารดาเธอที่บ้านด้วยกันบ้าง
“บอกคุณไป ผมก็ไม่น่าค้นหาสิ” เขาตอบง่ายๆ ตามประสา เวลาอยู่กับคนอื่นเขาดูอบอุ่น จริงจัง จริงใจ เป็นผู้ใหญ่ สุขุม
แต่เวลาอยู่กันสองต่อสอง เขาออกจะกวนนิดๆ ทำให้ยิ้มได้บ่อยๆ เขาก็ไม่ใช่คนที่น่ารังเกียจอะไร เธอติดแค่เรื่องเดียวในตอนนี้ก็คือ...
เธอเพิ่งจะรู้จักเขาไม่นาน
“จะน่าค้นหาหรือไม่น่าค้นหา เราก็แต่งงานกันแล้ว” เธอฉีกยิ้มถามเขา เพราะตอนนี้คนช่างกวน กำลังพาเธอเข้าไปพูดคุยกับแขกผู้มีเกียรติที่กำลังนั่งรับประทานอาหารกันอยู่
โชคดีที่งานนี้จัดแบบเรียบง่าย จัดแค่ช่วงเช้ามีพิธีการและจัดให้ร่วมรับประทานอาหารตอนกลางวัน แบบเรียบง่าย สบายๆ ตามที่พินยุพาตั้งใจมาตลอด
“หมายความว่ายังไง คุณจะเห็นผมเป็นของตายเหรอ” ดูเขาพูดเข้า เธอส่ายหัวให้เชิงปล่อยผ่าน เพราะตอนนี้พูดอะไรก็ไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่
“เหมาะสมกันอย่างกับกิ่งทองใบหยก ขอให้ครองรักกันไปนานๆ ถือไม้เท้ายอดทองตะบองยอดเพชรเลยนะจ๊ะ” ญาติผู้ใหญ่ทั้งฝ่ายเขาและเธอ ต่างก็อวยพรเป็นเสียงเดียวกัน
แม้ว่าหลายๆ คนจะแอบกังขา ว่าสองคนนี้ไปคบหากันตั้งแต่เมื่อไหร่
“ได้ข่าวว่า...นางหักอกแฟนหมอ แล้วมาคบกับพ่อเลี้ยง ก็อย่างว่าแหละ...หล่อรวยกว่าซะขนาดนี้ ใครมันจะไม่ทิ้งคนเก่าล่ะจริงไหม” และแขกฝ่ายซุบซิบที่พูดทำนองนี้ก็เยอะมากเช่นกัน
“เห็นจะจริง บางคนบอกว่าแฟนนางเสียใจจนไปควงผู้ชายเลยนะ แต่ก็สมควรละ คบมาตั้งนานไม่ยอมแต่ง เป็นใครจะไม่เลิก ถึงจะเป็นหมอก็เถอะ”
และแม้ว่าการซุบซิบนี้จะไม่มีความจริงอยู่เลย แต่พินยุพาก็รู้สึกฟังแล้วลื่นหูมากกว่า...
หากจะต้องได้ยินคนเขานินทากันว่า
“ไม่ใช่เพราะแฟนหมอบอกเลิก เพราะรู้ตัวว่าเป็นเกย์ แล้วนางเสียศูนย์มาคว้าพ่อเลี้ยงนี่แต่งงานเพื่อไม่ให้เสียหน้าหรอกนะ”
“โอ๊ย เสียศูนย์แล้วได้พ่อเลี้ยงเป็นผัวฉันก็ยอมนะ ทั้งหล่อกว่า รวยกว่า...หรือเป็นแกจะไม่เอา”
ใช่ สำหรับพินยุพาแล้ว เธอยังยอมรับไม่ได้ กับการที่ตัวเองจะต้องถูกแฟนที่คบกันมานานถึง 9 ปี หลอกว่าไม่ได้ชอบผู้หญิง
มันไม่ใช่แค่การถูกหลอกเรื่องรสนิยมทางเพศ แต่มันคือการถูกหลอกให้คิดว่ารักยังไงล่ะ! มันเจ็บ...จนเกินจะยอมรับได้จริงๆ
และยิ่งเธอรอเขามาจนอายุล่วงเข้า 37 ปีแล้วอย่างนี้ ถ้าเธอไม่ได้มีคนมาขอแต่งงาน เธอจะเป็นยังไง เธอคงเสียใจ เสียหาย แหลกสลายไม่มีชิ้นดีไปแล้ว!
“หิวไหม อยากกินอะไรรึเปล่า” เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นข้างหูอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าสีหน้าของเจ้าสาวไม่ได้ดีเท่าไหร่นัก เสียงนินทาพวกนั้น มีหรือที่เขาจะไม่ได้ยินด้วย
“สักหน่อยก็ดีค่ะ” เธอไม่อยากยืนอยู่ตรงนี้ต่อแล้วไง ทั้งๆ ที่ไม่มีทางจะรับประทานอะไรลงได้แน่ๆ
“ผมให้คนเตรียมซุปข้าวโพดไว้ให้แล้ว ไปทางโน้นกันเถอะ” ทางโน้นที่ว่าก็คือบริเวณที่พี่สาวและน้องสาวของเธอพากันนั่งอยู่ เหมือนทุกคนจะพากันมานั่งพักหลังจากดูแลแขกกันเป็นอย่างดีแล้ว
“รู้ได้ยังไงว่าฉันชอบซุปข้าวโพด”
“ไว้ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคุณ แล้วค่อยมาถามดีกว่าเนาะ” พินยุพาส่ายหน้าให้กับความเป็นเขาที่เริ่มชินนิดหน่อย
“ฉันไม่คุยกับคุณละ” แล้วเธอก็เดินนำหน้าเขาไปยังบริเวณนั้นทันที
แม้จะอยากได้คำตอบ ถึงที่มาที่ไปทั้งหมดของเขา และคิดเห็นเหมือนคนอื่นที่ว่า การแต่งงานกับใครสักคนมันจะต้องเป็นเรื่องใหญ่
แต่ความเสียใจและไม่อยากเสียหน้า ทำให้เธอเลือกอะไรไม่ได้
“อ้าวพี่พินมานู่นแล้ว” น้ำเสียงเชิงตื่นเต้นดีใจพร้อมกับวิ่งมารับของพัตยุพา ทำให้เธอยิ้มออก
เพราะตั้งแต่เช้า เธอไม่ได้มีโอกาสพูดคุยกับพี่สาวและน้องๆ ของตัวเองหรือมารดาเลย
“ขอซุปข้าวโพดให้คุณพินหน่อยนะครับ” น้ำเสียงทุ้มกังวานเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าบ่าว ทำให้บรรยากาศที่ดูตึงเครียดของเหล่าพี่น้อง ผ่อนคลายลง
ใช่ เพ็ญยุพา พลอยยุพาและพัตยุพา กำลังปรึกษากันเรื่องกระแสข่าวในโลกโซเชียลที่มีคนวิพากษ์วิจารณ์งานแต่งของพี่สาวไปต่างๆ นานา
“อย่าเพิ่งให้ยัยพินรู้ เดี๋ยวมันไม่สบายใจ” เพ็ญยุพากระซิบบอกพลอยยุพาที่ดูเดือดร้อนกว่าใคร อยากจะตอบโต้แทนพี่สาวอย่างดุเดือดเต็มที่
“ฉันขอจัดการพวกมันได้ไหม มาพูดได้ยังไงว่าพี่พินทิ้งพี่หมอกฤชมาแต่งงาน เรื่องอะไรจะต้องปล่อยให้พี่สาวเราตกเป็นจำเลยสังคมทั้งที่ไม่เป็นความจริงด้วยล่ะ”
พินยุพาเห็นสองพี่น้องยืนคุยกันเชิงกระซิบกระซาบอยู่อีกมุมหนึ่ง ก็เดินเข้าไปใกล้
ใกล้พอที่จะได้ยิน...ว่าสองคนนั้นพูดคุยอะไรกัน
“ให้พี่ตกเป็นจำเลยสังคมเถอะพลอย”
“พี่พิน!” พลอยยุพาว่าเชิงตกใจ หากแต่ไม่ได้เสียงดังจนเกินไปนัก
“ให้สังคมเข้าใจไปแบบนี้นั่นแหละดีแล้ว”
“ทำไมล่ะพี่พิน พี่ไม่ผิดนะ พี่หมอกฤชต่างหากที่เป็นคนผิด เขาต้องถูกสังคมประณาม...ไม่ใช่ลอยนวลแบบนี้” พินยุพาค่อยๆ ถอนหายใจออกมา พอนึกถึงอดีตคนรักทีไร มันก็เหมือนมีเปลวไฟพัดผ่าน
“ถือว่าพี่ขอร้องเถอะนะ...” น้ำเสียงสั่นเครือเจือด้วยน้ำตาคลอเบ้า ทำเอาพลอยยุพาและเพ็ญยุพาต้องพากันเม้มริมฝีปากเข้า
ทำไมพวกเธอจะมองไม่ออก ว่าพินยุพาเศร้าแค่ไหน การแต่งงานครั้งนี้ไม่ได้เป็นผลดีต่อสายเลือดของพวกเธอเลย สองสาวทราบดี
มันมีบางอย่างเกี่ยวกับพ่อเลี้ยงธาดาที่พวกเธอยังสืบหาข้อมูลไม่ได้ และรู้สึกเป็นห่วงพินยุพาสุดใจเลยแหละ
“พี่พิน...ซุปข้าวโพดมาแล้วค่ะ รีบไปทานเร็ว” และพัตยุพาผู้พยายามทำให้สถานการณ์ทุกอย่างดำเนินไปได้ ในวันดีดีของพี่สาว เลือกที่จะไม่ยืนกระซิบกระซาบกับใครเขา แต่ช่วยดึงพี่สาวสุดที่รักของตัวเองออกไปแทน
โดยที่สี่สาวไม่รู้เลยว่า มีสายตาหนึ่งมองมา จากมุมหนึ่งของงาน แววตาที่ไม่ประสงค์ดีนั้นมีรอยยิ้มเชิงพึงพอใจ ปะปนมาด้วย