บท
ตั้งค่า

แปด ความไม่สมเหตุสมผล

ลู่เอินติดตามกัวหรู่เผยตลอดช่วงเช้า ตั้งแต่ไปดูสถานที่เกิดเหตุที่เสี่ยวเอ้อผู้นั้นตาย จนไปดูศพที่โรงเก็บศพ และสุดท้ายช่วงบ่ายก็ตามมาที่ศาลกลางเพื่อตัดสินคดีระหว่างคนมาร้องเรียนอย่างประมุขน้อยฉีและจำเลยที่ถูกกล่าวหาว่ารับซื้อของโจรอย่างเจ้าของโรงประมูล อีกไม่ถึงเค่อต่อไปนี้การตัดสินคดีก็จะเริ่มต้นแล้ว

ลู่เอินมาถึงก็ยืนข้างหลังกัวหรู่เผยคอยสังเกตการณ์อยู่ไกลๆ ในหัวสมองของนางกำลังประมวลผลทุกอย่างอยู่ มันเหมือนขาดชิ้นส่วนบางอย่างไปที่ทำให้สิ่งที่เห็นจวบจนสรุปกันตอนนี้มันดูไม่สมเหตุสมผล แต่นางคิดไม่ออกว่าอย่างไร...

การตัดสินคราวนี้เป็นแบบปิด นอกจากคนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์อย่างพวกลูกน้องในโรงเตี๊ยม คนตระกูลฉีและกัว และคนของโรงประมูลก็ไม่มีใครเข้ามาร่วมฟังคำตัดสินคดีอีก

“เรียนต่อผู้พิพากษาขอรับ อย่างไรข้าก็ยังยืนยันคำเดิมว่าหากไม่มีหลักฐานนอกจากว่าตั๋วไม้การแสดงนี้มีกลิ่นน้ำหอมของคุณหนูฉี ข้าก็ไม่ยินยอมส่งคืนขอรับ แล้วจะยังแจ้งเรื่องนี้ไปที่คนดูแลของไทเฮาอีกด้วย”

ท่าทางหยิ่งยโสของบุรุษคิ้วเชิดอย่างเจ้าของโรงประมูลนี้ทำให้คนมองรู้สึกอารมณ์ขึ้นสูงได้อย่างง่ายๆ เขาไม่มีท่าทางเกรงกลัวอันใดแม้กระทั้งผู้พิพากษาเลย

“ช่างหน้าไม่อายยิ่งนัก ข้าบอกว่าจะขอดูบัญชีรายชื่อคนที่มาขายของแก่เจ้าก็เป็นที่ประจักษ์แล้ว ทว่ากลับบ่ายเบี่ยงเช่นนี้ จะให้เจ้าโจรที่ขโมยมายืนยันก็มิได้ในเมื่อเขาสิ้นลมหายใจไปแล้ว ไม่แน่ว่าอาจเป็นฝีมือของเจ้าก็ได้ที่ต้องการปิดปากเขา! มาฆ่าคนและทำเป็นว่าถูกปล้นบ้านแทน...”

เสียงหนาของประมุขน้อยฉีแสดงออกว่าเริ่มทนมิไหวกับท่าทางนี้แล้ว แต่เขาก็ออกจะกล่าวหาเกินไปจนอาจเป็นภัยได้เลย

“พวกตระกูลฉีก็ช่างชอบกล่าวหาคนโดยไร้หลักฐานเสียจริง เรียนท่านผู้พิพากษาขอรับ ข้าจะขอเรียกร้องเพิ่มเติมที่ตนเองถูกหมิ่นและใส่ร้ายขอรับ”

ความยากของคดีนี้คือสองฝ่ายต่างมีอำนาจอย่างไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน อีกทั้งไม่มีใครยอมใคร ไหนจะคนที่เป็นหลักฐานได้เป็นอย่างดีก็มามาตายพูดไม่ได้แล้วอีกเล่า...

จะจบเรื่องนี้ได้ต้องอาศัยความสามารถของศาลแล้วจริงๆ

การโต้เถียงไปมานี้เหมือนเป็นชิ้นส่วนที่ขาดหายเติมเต็มให้ลู่เอินได้อย่างไม่น่าเชื่อ!

ดวงตาที่กลมโตอยู่แล้วเบิกโพลงพร้อมตะโกนขึ้นเสียงดังเป็นจุดสนใจให้ทุกคนถ้วนทั่ว

“ข้าก็คิดเช่นเดียวกันกับประมุขน้อยฉีที่เอ่ยมาเมื่อครู่!”

“สตรีน้อยผู้นี้คือใครกันเหตุใดมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้!!! ข้าหาได้ส่งใครไปฆ่าปิดปากใครไม่ เช่นนี้ข้าสามารถแจ้งข้อหาพูดหมิ่นกันได้เลยนะ!”

สายตาแข็งกร้าวถูกส่งมาจากเจ้าของโรงประมูลทันที นี่ทำให้ลู่เอินหลุดออกจากภวังค์ความคิดของตนได้

“ไม่ๆเลย ข้าหมายถึงเห็นด้วยว่าบางทีการตายของเสี่ยวเอ้อถงผู้นั้นอาจไม่ใช่เพราะมีโจรมาปล้นบ้านก็ได้ ส่วนเรื่องตายอย่างไรนั้นอาจมิใช่ฝีมือท่านก็ได้หรืออาจใช่ก็มิรู้แน่ชัด”

“เหอะ เรื่องตัดสินคดีหาได้เป็นเรื่องของสตรีเสียที่ใดกัน หุบปากเสียเถอะ กะ...”

“นางคือตัวแทนของข้าเอง ย่อมมีสิทธิ์ยุ่งเกี่ยวกับการนี้ได้!”

เสียงปริศนาดังขึ้นพร้อมการปรากฎตัวของผู้ไม่ได้รับเชิญ เจ้าของน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่แฝงอำนาจลึกลับบางอย่างนี้คือ สหายใหม่ของพี่ชายนางเอง คุณชายอี้!

“ว่าแต่เจ้าคือใครล่ะนี่...”

“คารวะท่านที่ปรึกษาหัวหน้าองครักษ์เสื้อเเพรอี้ขอรับ” คำตอบกลายเป็นผู้พิพากษาที่นั่งรอตัดสินแถลงไขให้แล้ว

อย่าว่าแต่เจ้าของโรงประมูลประหลาดใจเลย ลู่เอินและคนส่วนใหญ่ในที่นี้ก็ประหลาดใจเช่นกัน

คนที่นางเจอมาก่อนหน้าที่แท้เข้ามีตำแหน่งที่มากอำนาจเพียงนี้เลยหรือ?

ที่ปรึกษาของหน่วยองครักษ์เสื้อแพรอันเป็นหน่วยงานพิเศษที่ทำทุกอย่างได้หมดและขึ้นตรงต่อฮ่องเต้เท่านั้น ตำแหน่งนี้ก็เทียบเท่ากับตำแหน่งที่มีการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการอย่างหัวหน้าหน่วยเชียวล่ะ

ที่นั่งตรงกลางแทบกลายเป็นของคุณชายอี้เลยก็ว่าได้หากเจ้าตัวไม่ยกมือห้ามผู้พิพากษาเสียก่อน

“จากที่อ่านรายงานทั้งหมดที่ทางศาลกลางตรวจสอบมาสาเหตุการตายของเสี่ยวเอ้อถงก็ยังไม่แน่ชัด ข้อสันนิฐานที่ว่าเป็นเขาที่ขโมยตั๋วไม้ไปขายที่โรงประมูลหรือไม่ก็เช่นกัน ดูแล้วยังมีหลายจุดที่เรายังไม่สามารถตัดสินได้จริงๆ เช่นนั้นที่คุณหนูไป๋พูดมาก็มิใช่มิมีเหตุผล เจ้ารองเอ่ยในสิ่งที่เจ้าคิดมาหน่อยสิ...”

ลู่เอินรับมือไม่ทันกับการที่อยู่ดีดีตนก็ได้รับจากบุรุษสวมหน้ากากลึกลับนี่จนนิ่งค้างไปชั่วครู่ พอตั้งสติได้ก็ก้าวออกมาพร้อมเอ่ยสิ่งที่ตนเองสงสัยอย่างคนที่ตอนนี้ได้รับความมั่นใจเต็มเปี่ยม ต่างจากเมื่อครู่ที่นางยังลังเลในสิ่งที่ตนคิด

“จากที่ทางคนของศาลกลางตรวจสอบมา ไม่ว่าจะลักษณะบ้านที่เป็นอยู่หรือคำพูดจากปากของคนใกล้ชิดล้วนบอกว่าผู้ตายมิใช่คนมีเงิน ใช้ชีวิตไปวันๆ ไม่น่ามีหนี้อันใดเช่นกัน เขาทำงานหากินไปวันๆเท่านั้นไม่น่าเป็นที่ล่อตาล่อใจให้โจรมาปล้นได้ จึงควรตัดความเป็นไปได้นี้ออก ดังนั้นจะมีอีกสองข้อสันนิฐานก็คือตามที่ประมุขน้อยฉีเดา และก็คนฆ่าตัวจริงตั้งใจทำให้ของในบ้านถูกรื้อค้นเพื่อให้คิดว่าเป็นโจรปล้นจริง”

“ก็เป็นไปได้ แต่ใครกันเล่าต้องฆ่าเขาและจัดฉากพวกนี้”

หรู่เผยและคนอื่นก็คล้อยตามเช่นกัน เขาเอ่ยออกมาในขณะที่ในหัวก็คิดวุ่นวายไปหมด เวลาผ่านไปสักพักก็คิดบางอย่างออกแล้ว

“ช่วงนี้ผู้ตายไม่ได้มีหนี้หรือเรื่องอันใดที่น่าจะไปสร้างศัตรูได้ ยกเว้นก็แต่เรื่องเมื่อวานนี้ที่เขากลายเป็นผู้ต้องสงสัยว่าขโมยตั๋วไม้อันมีค่านี้ไป แล้วก็เป็นเหตุให้พวกเราไปพบว่าเขาสิ้นชีวิตแล้ว!”

“ใช่แล้ว จึงต้องวนกลับมาคิดถึงเรื่องเกี่ยวกับตั๋วไม้อีกรอบอย่างไรล่ะ”

ลู่เอินเอ่ยขอดูบัญชีบันทึกของเจ้าหน้าที่อีกรอบแต่ตอนนี้อยู่ในมือของที่ปรึกษาองครักษ์เสื้อแพรอย่างคุณชายอี้นางจำเป็นต้องไปยืนดูข้างเขา ที่กำลังดูอยู่เช่นกัน พอไล่ดูมาจนจบ หนึ่งสตรีหนึ่งบุรุษที่นิ่งเงียบจนคนรอบข้างเงียบตามนั้นอยู่ดีดีก็เงยหน้าสบกันอย่างไม่นัดหมาย

...หากเป็นเช่นอย่างที่พวกเขาคิด ผู้ตายก็คือแพะรับบาปดีดีนี่เอง ทว่าคนร้ายจะเป็นใครกันเล่า

“เถ้าแก่ วันที่เกิดเรื่องตั๋วหายนั้น ผู้ตายมีเหตุผลอื่นนอกจากที่เขาอยู่ดีดีก็ปวดท้องหนักอีกหรือไม่”

สิ่งที่รู้ตอนนี้ยังไม่มากพอให้หาตัวคนร้าย

“อืม ไม่น่ามีแล้วนะ ก่อนหน้าเขาน่าจะปวดเพียงเล็กน้อยจึงขอทำงานอยู่ต่อ แต่พอเวลาผ่านไปเขาดันทำอาหารหล่นจนเสียหาย ข้าก็ไม่โกรธอันใดเท่าไร เพราะเขาก็ยังพยายามทำงานต่อให้ได้ อีกทั้งช่วงกลางวันคนก็เยอะเสียด้วย แต่สุดท้ายไม่ไหวจริงๆ เป็นเขาที่มาขอลากลับไปพักเองในที่สุด”

“เขาทำงานต่อทั้งที่ชุดเลอะน่ะหรือ?” ที่ปรึกษาอี้เอ่ยถามเสียงเรียบอย่างไม่พยายามกดดันใคร ซึ่งก็เป็นสิ่งเดียวกับที่ลู่เอินสงสัยเช่นเดียวกัน

“ไม่นะ เขายืมชุดสหายเปลี่ยนกระมังข้าเองก็ไม่ได้ถามเสียด้วย แต่รู้ว่าเขามีชุดทำงานเพียงชุดเดียว”

ลู่เอินฟังแล้วนึกถึงรายงานในบันทึกของเจ้าหน้าที่อันขัดกันจุดหนึ่ง หากเขายืมชุดคนอื่นเปลี่ยนแล้วเหตุใดที่อ่างซักผ้าหลังบ้านถึงได้มีชุดทำงานเพียงชุดเดียวกันเล่า...

“สอบถามเสี่ยวเอ้อหน่อย วันนั้นเขายืมชุดใครหรือ?”

“...” เหล่าเสี่ยวเอ้อหน้าซีดไปตามๆกันเมื่อถูกนางเอ่ยถาม พวกเขาก้มมองเหล่เกี่ยงกันไปมา ก่อนจะมีคนหนึ่งเอ่ยตอบ

“ยืมชุดข้าเอง แต่ก็คืนก่อนที่เขากลับบ้านน่ะขอรับ เพราะข้าก็มีเพียงสองชุดหากเขาไม่คืนก็มิมีใส่ทำงานในวันต่อไปเช่นกัน”

ลู่เอินเดินเข้ามาหากลุ่มเสี่ยวเอ้อแล้ว เป็นโชคดีที่นางเดินเข้ามาแถวนี้เพราะตอนนี้นางเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้วล่ะ!

“เสี่ยวเอ้อผู้นี้คือผู้ร้ายที่ฆ่าผู้ตายแน่นอน แล้วก็คือคนที่เอาตั๋วไม้นั้นไปขายที่โรงประมูลด้วยเป็นกัน!!!”

ลู่เอินหันกลับมาเผชิญหน้าทุกคนก่อนเอ่ยเสียงดังก้องกังวาน ท่ามกลางสีหน้าฉงน คนที่ถูกกล่าวหาว่าคือผู้ร้ายตัวจริงก็รีบตะโกนขึ้นอย่างไม่พอใจทันที

“เหตุใดกล่าวหาข้ากัน เพียงข้าคือผู้ให้ยืมชุดก็เป็นคนฆ่าอาถงแล้วอย่างนั้น ท่านมั่วแล้วกระมัง...”

ลู่เอินพอเดาเรื่องได้และคิดว่าเขาคือคนร้ายแต่พอมาคิดอีกทีก็ยังไม่หลักฐานมายืนยันไม่ครบจริงนั่นล่ะ นางจึงสับสนว่าควรเอ่ยออกไปเลยหรือไม่ แต่ในระหว่างนี้ก็ได้ที่ปรึกษาอี้เอ่ยแทรกเสียก่อน

“มิใช่เพียงเหตุผลนั้นหรอก เจ้าคงไม่รู้สินะว่าน้ำหอมกลิ่นนั้นมีคุณสมบัติพิเศษไม่แพ้ตั๋วไม้ที่ดูดซับกลิ่นและความชื้นได้ดี น้ำหอมนั้นถูกเจ้าของร้านน้ำหอมกล่าวอ้างว่าใช้ทาผิวแล้วกลิ่นจะติดทนนานมากกว่าหนึ่งวัน แม้อาบน้ำก็มิหลุด...”

พูดยังมิทันขาดคำ เสี่ยวเอ้ที่ถูกกล่าวหาก็ยกมือของตนข้างขวาขึ้นมาดมเสียแล้ว ทั้งที่ไม่มีใครทำเช่นนั้นเลยด้วยซ้ำ นอกจากบ่าวของฉีหมิงเสียและเจ้าของโรงประมูลอีกคน

ลู่เอินมองเห็นการกระทำที่เกิดขึ้นก็ถึงเข้าใจในสิ่งที่ที่ปรึกษาอี้เอ่ย และก็อดชื่นชมในกลหลักแหลมนี่ในใจไปด้วย

“หึ เป็นอย่างไรมีกลิ่นติดมือหรือไม่?”

“ไม่มีเสียหน่อย”

“อ้าวหรือ แต่อย่างไรเจ้าก็คือคนร้ายอยู่ดี เพราะเรื่องเมื่อครู่นั้นที่ปรึกษาอี้คงจำน้ำหอมผิดตัวน่ะ ตัวนี้มิได้ติดผิวกายดีเพียงนั้น แต่ติดวัสดุอื่นดีแทน ใช่ไหมเจ้าคะ?”

“เออ จริงด้วยสิ ข้าจำผิดไปชื่อน้ำหอมมันคล้ายกันไปหมดน่ะ” สีหน้าหลอกคนอย่างน่าไม่อายทำเอาคนอื่นที่ตั้งใจฟังบิดเบี้ยวไปตามๆกัน

“ระเรื่องนั้น ข้าก็มิใช่คนทำน่ะสิ!”

“แต่ว่าเมื่อครู่เหตุใดเจ้าต้องยกมือตนเองขึ้นดมด้วย เจ้าเคยจับตั๋วไม้นั้นหรืออย่างไร?”

ทุกคนล้วนเข้าใจท่าทางรื่นเริงผิดปกติของลู่เอินและที่ปรึกษาอี้แล้ว ที่แท้พวกเขาก็ตั้งใจพูดเรื่องนั้นเพื่อให้คนร้ายเผยตัวนี่เอง

“มะไม่ใช่นะ ขะ...”

“ให้ทายนะ ชุดที่เสี่ยวเอ้อถงยืมไปวันนั้นก็คงเป็นตัวที่เจ้าสวมอยู่กระมัง ชุดนี้ที่ช่องใส่ของกางเกงมีกลิ่นน้ำหอมเดียวกันกับที่ติดตั๋วไม้อยู่ เมื่อวานนี้หลังจากที่คุณหนูรองฉีจากไปแล้วเจ้าคงไปเก็บโต๊ะแล้วก็เจอตั๋วไม้นี่ และเก็บไป เพื่อให้ไม่หายไประหว่างทำงานเจ้าก็คงนำไปซุกไว้ที่ช่องใส่ของอีกชุดของเจ้า พอเวลาผ่านไปเรื่องตั๋วไม้ก็ค่อยๆหายไปจากความจำเจ้า จนถึงเหตุการณ์ที่เสี่ยวเอ้อถงทำของหกเลอะชุดทำงานตนด้วยแล้วไปขอยืมชุดทำงานของเจ้าก็ให้ยืมไป นึกได้อีกทีว่าในชุดนั้นมีตั๋วไม้ซ่อนไว้อยู่ก็สายไปแล้ว เพราะอาถงขอตัวกลับไปพักที่บ้าน

ด้วยความที่กลัวอาถงรู้จึงรีบไปบ้านอาถงเพื่อขโมยตั๋วกลับคืน ซึ่งอาจเป็นช่วงที่เขากำลังจะซักชุดอยู่พอดี สังเกตุได้จากประมาณน้ำที่ดูใส่มากกว่าที่จะซักแค่เพียงชุดเดียว ในขณะที่จะเอาตั๋วที่ขโมยกลับมาได้นั้นก็ถูกพบได้เสียก่อน อาถงอาจต่อว่าเจ้าที่ขโมยของผู้อื่นมาแล้วเกิดการต่อสู้และพลั้งมือทำอาถงตาย เจ้าจึงคิดปิดบังด้วยการทำให้บ้านคล้ายมีโจรมาปล้น และก็รีบเอาตั๋วไม้ไปขายที่โรงประมูลอย่างเร็ว...

หลักฐานชี้ชัดเพียงนี้เจ้ามีอันใดแก้ตัวหรือไม่?!”

คนร้ายอ้าปากพะงาบ ๆ ทรุดกายลงอย่างหมดแรงแล้ว เขาจำยอมด้วยหลักฐานและมิคิดโต้แย้งอันใด

“เช่นนั้นท่านเจ้าของโรงประมูลก็คงสามารถคืนตั๋วไม้นั่นให้คุณหนูรองฉีได้แล้วกระมัง เรามีทั้งตัวคนยืนยันว่าใช่เพียงนี้”

กัวหรู่เผยเอ่ยเสียงแข็งไป คนที่ถูกหักหน้าอย่างเจ้าของโรงประมูลจึงต้องจำยอมส่งตั๋วไม้ให้ทางการไป เขาหันไปคารวะฝ่ายตระกูลฉีพร้อมเจรจาขอส่งของกำนัลให้แทนการขออภัย หรือตามจริงก็เพื่อปิดปากไม่ให้ปล่อยข่าวว่าโรงประมูลจงใจรับของโจรมาขายนั่นเอง

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel