เก้า เหตุใดเขาตามนางมาถึงจวน
เสร็จการตัดสินผู้คนก็แยกย้ายกลับจวนแล้ว ด้วยความที่ขามานางมาพร้อมกัวหรู่เผยขากลับก็ต้องเป็นเช่นนั้นด้วย แม้ว่านางจะบอกว่าตนกลับรถม้าโดยสารเองได้ก็ตาม
“หรือไม่ท่านก็ให้ข้ายืมเพียงรถม้าส่วนตัว ส่วนท่านนั่งกับน้องสาวไปก็ได้นะเจ้าคะ”
ลู่เอินรู้สึกไม่สบายใจเท่าไรที่เขาจะไปส่งนาง มันเหมือนแย่งพี่ชายของกัวเย่หรงมาอย่างไรมิรู้
“เอ่อ เอาตามที่คุณหนูไป๋ต้องการก็ได้ ดะ...”
“คุณหนูไป๋กำลังจะกลับจวนไป๋ใช่หรือไม่ ข้าไปทางนั้นเช่นกัน มิสู้ให้เจ้าขึ้นไปด้วยกันเล่า”
ที่ปรึกษาอี้เดินออกมาจากศาลกลางพอดี นี่ถือเป็นทางออกที่ไม่มีใครเสียเปรียบใคร อีกทั้งลู่เอินก็มีเรื่องต้องคุยกับบุรุษสวมหน้ากากคนนี้ด้วย
“เช่นนั้นเดี๋ยวข้ากลับจวนกับที่ปรึกษาอี้แล้วกันเจ้าค่ะ คุณชายกัวและน้องสาวกลับกันดีดีนะเจ้าคะ ข้าลาล่ะ”
ลู่เอินเดินตามคุณชายอี้ขึ้นรถม้าของเขาอย่างเรียบร้อย พอรถม้าออกตัวก็แบมือต่อหน้าเขาโดยพลัน
“ค่าตอบแทนที่ข้าช่วยท่านเมื่อวันที่แล้ว รอท่านส่งมานานแล้วตอนนี้รับเป็นเงินเท่านั้น ขั้นต่ำร้อยตำลึงทอง”
ลู่เอินจ้องตาส่งแรงกดดันให้ทะลุหน้ากากที่เขาสวม นางคิดว่าหากรอช้ากว่านี้แม้สักตำลึงเดียวก็อาจไม่ได้
ส่วนคนถูกทวงก็มองตอบนิ่งในใจรู้สึกขบขันที่คิดไปว่านางอยากกลับกับเขาจึงขึ้นรถมาด้วยอย่างว่าง่าย ที่ไหนได้มีจุดประสงค์อื่นนี่เอง
“วันนี้มิได้พกเงินมา ไว้ออกไปร้านฝากเงินแล้วจะถอนออกมาให้ก็แล้วกัน ตอนนี้ติดไว้ก่อน”
“ได้แต่อย่างน้อยวันนี้ก็ต้องจ่ายมัดจำค่ายาที่ท่านทาไปวันนั้น อ้อ แล้วก็พู่นี่ท่านน่าจะทำตกไว้ ข้าไว้คืนท่านหลังได้เงินครบแล้วเท่านั้น”
ลู่เอินมิคิดสัญญาปากเปล่าอีกต่อไปแล้ว เรื่องเงินนั้นเรื่องใหญ่ เพราะเงินก้อนนี้นางสามารถเอามาลงทุนทดลองผลิตสุรารสใหม่ได้เลยโดยที่ไม่เสียดายเงินที่ลงทุนซื้อวัตถุดิบ
ที่ปรึกษาอี้เหลือบมองพู่ที่เขาตั้งใจทิ้งไว้ให้นางมิใช่เผลอทำตกนิ่ง ในหัวคิดว่านอกจากความคิดเรื่องเงินแล้วในสมองของนางมีอะไรอยู่บ้าง เขาตั้งใจทิ้งของสำคัญที่นางสามารถเอาไปแลกเงินเท่าไรก็ได้ไว้นางกลับไม่สนใจเลยสักนิด
แต่ก็สร้างความจรรโลงใจให้เขาดียิ่งจึงไม่คิดเอาเปรียบนางมากกว่านี้
“ข้าพกมาเท่านี้ ส่วนพู่นั่นไว้ค่อยคืนอย่างคุณหนูไป๋ว่านั่นล่ะ”
ลู่เอินรับถุงปักสีดำมาไว้ในมือ ลองวัดน้ำหนักแล้วมีอย่างต่ำสิบกว่าก้อน ไม่ว่าเป็นตำลึงเงินหรือตำลึงทองก็ถือว่าพอได้สำหรับเงินมัดจำ ตลอดทางก่อนถึงจวนจึงไม่กวนอันใดผู้ร่วมทางอีก เลยจนกระกระทั่งรถม้าจอดที่หน้าจวนตระกูลไป๋เรียบร้อยแล้ว
“ขอบคุณท่านที่ปรึกษาอี้ที่มาส่งข้าอย่างปลอดภัยเจ้าค่ะ ข้าลา”
ลู่เอินกระโดดลงรถม้าและก็รีบเดินเข้าไปข้างในจวนทันที ตอนนี้ใกล้เวลามื้อเย็นแล้ว มารดาคงตั้งสำรับรอ อีกทั้งท้องน้อยๆนี้ก็เริ่มส่งเสียงประท้วง ก่อนถึงเวลาอาหาร ลู่เอินขอใช้เวลานี้กลับเรือนเหมยฮวาไปล้างเนื้อล้างตัวเปลี่ยนชุดให้ร่างกายที่อ่อนล้าคลายลงหน่อย
ขณะที่จิตใจผ่องใสเตรียมพร้อมรับอาหารอร่อยแล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น นางเดินมาถึงห้องอาหารกลางควรที่จะพบเพียงบิดา มารดาและพี่ชายกลับมีแขกคนสำคัญที่ลู่เอินเพิ่งแยกจากมานั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วย
“เอินเอ๋อร์มาพอดีเลย ตั้งสำรับได้” กู้ซูเยี่ยนเอ่ยสั่งบ่าวที่รออยู่ก่อนจากนั้นหันมาจัดแจงให้บุตรสาวตนเองนั่งประจำที่ที่เลื่อนจากตำแหน่งเดิมเล็กน้อย
“ที่ปรึกษาอี้จะมาพักอยู่ที่จวนเราชั่วคราวนับแต่วันนี้ เห็นว่าพอรู้จักกันอยู่บ้างแล้วก็ดีจะได้ไม่อึดอัดใจภายหลัง”
ลู่เอินนิ่งค้างไปแล้ว เหตุใดตอนที่นางนั่งรถมากับเขาไม่เห็นบอกอันใดเลย อีกทั้งจวนไป๋ใช่คือที่พักให้ใครก็ได้ตั้งแต่เมื่อใด ไยมารดาถึงรับเขามาพักด้วยง่ายดายเพียงนี้
“คุณหนูไป๋เป็นคนน้ำใจงามสมที่ลู่เหลียนกล่าวไว้กระมัง”
คนชมน้องสาวมาแต่ไหนแต่ไรอย่างลู่เหลียนก็ยิ้มแฉ่งปลื้มใจ ส่วนนางที่ถูกเขาปรามาสว่าหากไม่ยินดีที่เขาพักด้วยก็จะกลายเป็นคนจิตใจหยาบช้ารู้สึกเหมือนจวนไป๋เริ่มอยู่ไม่สุขแล้วอย่างไรมิรู้
...ซึ่งต้นเหตุก็มาจากคนตรงหน้านี่ล่ะ
“เจ้าค่ะ ที่ปรึกษาอี้ก็คงเป็นบุรุษที่นิสัยมิต่างจากหน้าตากระมังเจ้าคะ”
ลู่เอินคือคนที่ได้เห็นแผลเป็นบนหน้าที่เขาสวมหน้ากากปกปิดไว้ก็กำลังจะบอกว่านิสัยเขาเสียไม่ต่างจากใบหน้านั่นเอง แต่รอยยิ้มที่ตั้งใจยิ้มเต็มหน้า หากคนอื่นมองมาก็คิดว่านางกำลังชมแทน
“เอาล่ะ ไว้กินให้อิ่มก่อนค่อยสนทนาก็ยังมิสาย เชิญที่ปรึกษาอี้ลงมือกินอาหารเถอะเจ้าค่ะ ต้องการอันใดเพิ่มก็บอกได้อย่างไม่ต้องเกรงใจ...”
ท่าทีคอยเอาใจของมารดาผู้เข้มงวดนี้ทำให้ลู่เอินอยากรู้มากเสียแล้วว่าเขาใช้สิ่งใดมาโน้มน้าวมารดาของนาง!
หลังจบมื้ออาหารลู่เอินก็ลากพี่ชายตัวดีมาถามทันทีอย่างร้อนใจ
“อ้อ ข้าเคยบอกเรื่องที่ปรึกษาอี้กับท่านแม่ไปน่ะ ว่าเขาเคยช่วยข้าไว้จากโจรดักปล้นตอนขากลับเข้าเมือง เมื่อเดือนที่แล้ว เมื่อวานนี้เขาขอมาพักด้วยชั่วคราวมารดาก็รีบตกลงทันที เอินเอ๋อร์ไม่ชอบหรือ?”
ลู่เอินส่ายหน้าทันควัน นางก็ไม่ใช่ไม่ชอบเขาแต่แค่แปลกใจเท่านั้น แต่พอรู้เหตุผลก็เข้าใจได้ มารดาของนางเป็นคนนิสัยเปิดเผย แยกบุญคุณความแค้นชัดเจน ไม่แปลกที่ต้อนรับผู้มีพระคุณกับบุตรชายตนเองเช่นนี้ ทว่านางรู้เช่นนี้แล้วก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี เขาเป็นถึงที่ปรึกษาพิเศษขององครักษ์เสื้อแพร เงินรายเดือนไม่น้อยก็น่าจะหาบ้านในเมืองหลวงได้ไม่ยาก เหตุใดต้องมาขอพักอาศัยจวนผู้อื่นด้วยกัน
เรื่องนี้คิดเท่าไรก็คิดหาเหตุผลไม่ออกนอกเสียจากคอยเฝ้าระวังคนผู้นั้นอยู่ห่างๆไปก่อน
เวลาล่วงเลยจากวันแรกที่ที่ปรึกษาสวมหน้ากากผู้นั้นมาพักด้วยก็มิได้มีความผิดปกติอันใด ช่วงกลางวันส่วนใหญ่ก็ออกไปทำงานกับพี่ชาย ช่วงกลางคืนก็นอนพัก นางที่วันๆอยู่ห้องส่วนกลางคืนมักเข้าเรือนเหมยฮวาเข้ามาหาสูตรสุราใหม่ไม่มีช่วงเวลาเจอเขาเลย ยกเว้นวันนี้ที่เหมือนสวรรค์ลิขิตให้นางเจอความจริง!
ตอนนี้เข้ายามโฉ่ว (01.00 – 02.59 น.)แล้วแต่ลู่เอินเพิ่งเสร็จจากการหมักเหล้าสูตรใหม่จึงพึ่งเดินออกจากเรือนเทียนเมิ่งและนางก็เห็นหลังไวไวของบุรุษสวมหน้ากากเข้า เขาเดินมุ่งหน้าไปยังทิศเรือนหลักของจวนอันเป็นที่พักของประมุขตระกูลไป๋กลางค่ำกลางคืนเช่นนี้ช่างชวนให้สงสัยยิ่ง
ลู่เอินสลัดความง่วงทิ้งและตามเขาไปทันที
ที่ปรึกษาขององครักษ์เสื้อแพรเหตุใดต้องเดินหลบเหล่าองครักษ์จวนและแอบเข้าไปยังห้องหนังสือของบิดากัน...
