ห้า ไปดูตัว
ลู่เอินกลับมาจากการออกไปข้างพร้อมบ่าวส่วนตัวอย่างลี่มี่ นางปล่อยให้ลี่มี่ไปจัดการเอาของต่างๆไปเก็บ ส่วนนางกลับเรือนเหมยฮวาในหัวกำลังคิดว่าหากบุรุษผู้นั้นยังไม่ไปนางควรจะทำอย่างไรต่อไป ใช้ข้ออ้างไหนมาขู่เขาดี...
“คุณหนูเจ้าคะ รีบกลับเรือนเร็วเถอะเจ้าค่ะ ตอนนี้ฮูหยินประมุขรอที่เรือนท่าทางเหมือนกำลังโกรธอันใดอยู่ด้วยเจ้าค่ะ”
ท่าทางสดใสร่าเริงของคุณหนูคนเดียวในตระกูลชะงักทันใด “แม่นมบอกว่าท่านแม่รออยู่ในเรือนเลยหรือ?”
ผ้าห่มเปื้อนเลือด หรือไม่ว่าจะถังน้ำ ผ้าชุบน้ำและยาใดใดล้วนวางแผ่ในห้องนอน ไม่แน่ว่าคนออกไปแล้วแต่ของเหล่านั้นใครจะเอาออกไปกันเล่า!
“ใช่เจ้าค่ะ ฮูหยินเข้าไปรอข้างในเลย”
ลู่เอินรีบวิ่งเร็วปรี่ไปที่เรือนของตนเองทันใด ประตูเรือนเปิดอ้าอยู่ ไหนจะบ่าวรับใช้ของมารดาที่ยืนรอข้างนอกบางคนอีกล่ะ นี่ก็ยืนยันได้เลยว่ามารดากำลังนั่งรออยู่ข้างใน
“มาแล้วเหตุใดยืนนิ่งอยู่ข้างนอกไม่เข้ามา”
ลู่เอินสะดุ้งเล็กน้อย นางเพียงกำลังรวบรวมความกล้าอยู่เท่านั้น เหตุใดมารดาถึงรู้ว่านางมาถึงแล้วได้กัน
...หูตาของมารดาช่างน่ากลัวนัก
“ท่านแม่เหตุใดมาหาลูกถึงเรือนได้กันเจ้าคะ?”
สิ่งที่ลู่เอินทำหลังจากก้าวเท้าเข้ามาในห้องนอนตนคือกวาดสายตามองหาสิ่งที่ตนกลัวเมื่อครู่นี้ ทว่านอกจากจะไม่บุรุษผู้นั้นแล้ว ของต่างๆที่เมื่อเช้ายังอยู่ก็ยังไม่มีอีกด้วย
...เป็นไปได้ว่าคุณชายอี้จะจัดเก็บให้นางทั้งหมดแล้ว
“ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้ามาหาไม่ได้เลยหรือ ในห้องเจ้าปกปิดสิ่งใดไว้อย่างนั้นหรือ?”
กู้ซูเยี่ยนหมายถึงเรื่องที่บุตรสาวของตนแอบทำสุราข้ามวันข้ามคืน ทว่าเจ้าของห้องกลับคิดไปถึงเรื่องที่ตนพาบุรุษเข้าห้องไปแล้ว
“ไม่ ไม่ใช่เจ้าค่ะ ไม่มีอันใดปกปิดเลย เพียงลูกโตขึ้นแล้วก็มีอายบ้างเจ้าค่ะ แหะแหะ”
เพื่อล้มล้างข้อสงสัยทั้งหมดตอนนี้ชั่วคราว คุณหนูตัวน้อยก็เดินเข้ามากอดเอวมารดาอย่างไว นางหลบสีหน้าซีดขาวของตนไว้โดยการมุดใบหน้าเข้าสู่อ้อมอกซูเยี่ยน “ว่าแต่ท่านแม่มีเรื่องอันใดกับลูกหรือเจ้าคะ?”
“วันพรุ่งนี้เจ้าทำตัวให้ว่างล่ะ แม่นัดคุณชายกัวไว้ที่โรงน้ำชาฟางเฟย ลองไปคุยดูหากไม่ติดขัดอันใดคุณชายผู้นี้ก็ดี...”
ลู่เอินผละตนออกมามองหน้ามารดาที่มองตนด้วยสายตาอ่อนโยน ก่อนพยักหน้ารับคำอย่างเต็มใจ
ลู่เอินไม่กำหนดว่าตนจะต้องแต่งงานออกไปกับบุรุษที่ตนรักเท่านั้น นางเชื่อว่าการแต่งในครอบครัวที่ดีและบุรุษที่ดีสำคัญกว่า จะรักกันหรือไม่ อยู่ด้วยกันนานไปก็รักได้เอง อย่างเช่นมารดาและบิดาของนางนี่อย่างไร
บิดามีมารดาเป็นฮูหยินคนเดียว เชื่อฟังมารดามาก ครอบครัวรักใคร่ ทำให้ลู่เอินไว้ใจให้มารดาช่วยเลือกและตัดสินใจเรื่องบุรุษให้
นางอายุสิบเจ็ดแล้วยังไม่แต่งออกไปเสียทีต้องลำบากมารดาให้ช่วยหาบุรุษดีดีแต่งด้วยมาหลายครั้ง ครั้งนี้ก็ได้แต่หวังว่าจะเป็นอนาคตที่ดีให้นางได้ก็แล้วกัน...
กู้ซูเยี่ยนกลับไปแล้ว ลู่เอินรีบสำรวจห้องของตนเองทุกซอกทุกมุมเผื่อว่ามีสิ่งใดหลงเหลือเกี่ยวกับบุรุษผู้นั้นอีกหรือไม่ นอกจากพู่หยกอันหนึ่งที่น่าจะเป็นของคุณชายอี้ผู้นั้นแล้วก็ไม่มีอื่นใดอีกเลย
แม้กระทั่งถุงเงินก็ไม่มี...
นางบอกว่าไม่รับสิ่งตอบแทนเป็นของไม่มีมูลค่าเหตุใดถึงไม่เข้าใจกันนะ รู้อย่างนี้กำหนดชัดเจนว่ารับเป็นเงินหนึ่งร้อยตำลึงเลยดีกว่า
เฮ้อ...
เข้ายามเว่ย (13.00 – 14.59 น.) ของวันต่อมา ลู่เอินออกมาจากจวนพร้อมลี่มี่ เพื่อมาพบกับคุณชายกัวตามที่มารดานัดไว้ให้
โรงน้ำชาฟางเฟยถือเป็นแหล่งรวมของคนชนชั้นพ่อค้าแม่ค้าธรรมดาจนถึงเหล่าคุณชายคุณหนู เพราะน้ำชามีหลายราคาและสิ่งขึ้นชื่อของโรงน้ำชาแห่งนี้ก็คือ ตรงกลางลานชั้นหนึ่งมีโต๊ะหนึ่งตัวเก้าอี้หนึ่งตัวไว้ให้นักเล่านิทานมาประจำตำแหน่งตามกำหนดเวลา
เรื่องที่จะเล่าในแต่ละครั้งก็มีทั้งเรื่องที่แต่งเอง เรื่องจริง รวมถึงเรื่องจริงพร้อมบิดเบือนเพื่อให้สนุกและเข้ากับยุคสมัยมากขึ้น
ด้วยความที่ชั้นหนึ่งมีคนนั่งจองที่กันเต็มแล้ว พอลู่เอินมาถึงจึงต้องขึ้นไปชั้นสอง แต่ยังดีที่ที่นั่งริมระเบียงอันเปิดสู่ลานข้างล่างและสามารถฟังนักเล่านิทานได้พอดียังว่างอยู่ นางจึงรีบจับจองอย่างไม่คิดให้มากความ
“ขอชาขึ้นชื่อมาสองที่”
แน่นอนว่าค่าน้ำชาวันนี้มารดาให้เงินมาสนับสนุนแล้ว นางไม่ต้องควักเงินใช้ส่วนตัวที่แทบเอาไปลงทุนทำสุราจนแทบไม่เหลือมาใช้
รอเพียงไม่เกินเค่อคุณชายกัวก็มาถึง
เขาเป็นบุรุษหล่อเหลาคนหนึ่ง ใบหน้าเกลี้ยงเกลาแต่ไม่ขาวซีดอย่างเช่นบัณฑิตในเมืองหลวง แต่ผิวไม่คล้ำแดดขนาดบุรุษไปออกทัพ พอสวมชุดสีกรมที่มีลูกเล่นเป็นลายปักเมฆาก็ดูเข้ากันดี เห็นมารดาบอกว่าเขารับราชการตำแหน่งรองเสนาบดีกรมตุลาการ เตรียมรับสืบทอดประมุขตระกูลกัวและตำแหน่งเสนาบดีจากบิดา
หน้าตาผ่าน
หน้าที่การงานก็ผ่าน
ส่วนตระกูลนั้นเท่าที่มารดาบอกมาเห็นว่าสายรองแยกออกไปแล้ว ในตระกูลกัวมีบุตรชายคนเดียว และบุตรีหนึ่งคนจากอนุ ดูไม่น่ามีปัญหาเรื่องแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นอันใด
...ที่เหลือก็แค่ลองศึกษานิสัยว่าจะผ่านหรือไม่เท่านั้นเอง
“คุณหนูไป๋มารอนานหรือไม่ ขออภัยที่ให้รอด้วย”
ลู่เอินส่ายหน้าไม่ถือสา
“เพิ่งมาถึงเจ้าค่ะ เชิญคุณชายกัวนั่งลงก่อน พอดีวันนี้ห้องส่วนตัวเต็ม ข้าเลยจองโต๊ะตรงนี้แทนเจ้าค่ะ หวังว่าท่านจะไม่ถือสา”
คุณชาย คุณหนูตระกูลขุนนางส่วนใหญ่ถือว่าต้องนั่งในห้องส่วนตัวเท่านั้น ซึ่งละเว้นลู่เอินไว้คนหนึ่ง หากคุณชายกัวติดเรื่องนี้ นิสัยเรื่องการใช้ชีวิตก็คงต่างจากนางไปอย่างหนึ่งแล้ว
“ข้าไม่ติดอันใดอยู่แล้ว แล้วแต่คุณหนูไป๋เถิด ว่าแต่ท่านสั่งอันใดไปหรือยัง?”
“สั่งชาไปเจ้าค่ะ”
กัวหรู่เผยพยักหน้ารับคำนางแล้วก็กวักมือเรียกเสี่ยวเอ้อมาสั่งขนมขึ้นชื่อไปอีกเล็กน้อย “น้องสาวข้าชอบขนมชนิดนี้มาก อยากให้คุณหนูไป๋ได้ลองชิมดู”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ ว่า...”
บทสนทนาของพวกนางนั้นลื่นไหลไปอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ว่าชากลิ่นหอมกรุ่น หรือ ขนมรสหวานละมุนลิ้นก็ล้วนไม่สามารถหยุดยั้งบทสนทนานี้ได้ ในระหว่างนี้เองเบื้องล่างที่ลานเล่านิทานก็มีบุรุษร่างเล็กในชุดสีดำล้วนมาประจำตำแหน่งและส่งเสียงเรียกความสนใจทุกคนไปได้อย่างเชี่ยวชาญ
“เอาล่ะ วันนี้ข้ามีเรื่องเล่าจากแดนสวรรค์มาคุยให้ทุกคนฟัง เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปีใดก็มิอาจรู้ได้...”
