บท
ตั้งค่า

หก นิทานในโรงน้ำชา

“เอาล่ะ วันนี้ข้ามีเรื่องเล่าจากแดนสวรรค์มาคุยให้ทุกคนฟัง เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปีใดก็มิรู้ เทียนจวินองค์ปัจจุบันทรงยึดมั่นในคนรักเก่าที่เติบโตมาด้วยกันมาก ทว่าก็มีอุปสรรคมากมายแทรกแซงความรักราวเป็นสายฟ้าสวรรค์ที่ต้องฟาดผ่านร่างกาย ทำให้มีเหตุให้ต้องอภิเษกกับเทพชั้นสูงอีกนางหนึ่งและแต่งตั้งให้เป็นเซียนฮองเฮาต่อมา

เส้นทางสองสามีภรรยาแห่งทรวงสวรรค์นี้ก็เหมือนดำเนินไปอย่างที่ควรจะเป็น จนเทียนจวินและเซียนฮองเฮามีพระโอรสองค์หนึ่งขึ้นมาและได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์ไท่จื่ออย่างชอบธรรม

ทว่าในระหว่างนั้นเองคนรักเก่าก็มาปรากฏกายขึ้น องค์เทียนจวินทรงยังไม่ลืมจึงแต่งตั้งนางเป็นเทียนเฟยและใช้ชีวิตกับคนที่ตนรักจริงจนให้กำเนิดองค์ชายหนึ่งคนตามมา

พี่น้องในที่นี่เอ๋ย ก็คงจะพอเดาเรื่องกันได้แล้วว่า เซียนฮองเฮาที่เคยผาสุกนี้กลับถูกแย่งความรักไปจากคนรักที่แท้จริงย่อมต้องเกิดความรู้สึกอิจฉาเป็นธรรมดาจริงหรือไม่...

เช่นนั้นเมื่อเวลาดำเนินไปนับพันปี โอรสทั้งสองพระองค์เติบโตขึ้น หนึ่งคนคือองค์ไท่จื่ออย่างชอบธรรม ส่วนอีกคนก็คือองค์ชายคนโปรดอันเกิดจากสนมคนรัก ความลำเอียงของเทียนจวินทำให้เกิดภัยพิบัติใหญ่โตขึ้น

วันหนึ่งที่โอรสทั้งสองอ่านหนังสือท่ามกลางท้องฟ้าที่มืดมิดคืนหนึ่ง องค์ไท่จื่อที่ได้มาทุกอย่างแต่กลับไม่ได้เพียงอย่างเดียวก็คือความรักจากบิดาจึงเกิดใช้โอกาสนี้จัดการทำร้ายผู้เป็นพระอนุชาทันใด

ตะเกียงไฟถูกใช้เป็นตัวการกำจัดนั่นเอง ไฟที่โหมกระหน่ำเผาห้องหนังสือแทบพังพินาศ ทว่าองค์ชายรองที่แสนมากบุญบารมีก็รอดมาได้แต่ก็ตามมาด้วยสุขภาพที่ย่ำแย่ลง เมื่อเทียน

จวินรู้เรื่องที่องค์ไท่จื่อกระทำเข้าก็สั่งปลดลงจากตำแหน่งและลงโทษสถานหนัก...”

เรื่องราวในนิทานดำเนินต่อไปก็จบลงที่ตัวเอกอย่างองค์ชายรองใช้ความดีของตนพิสูจน์กับทุกสายตาจนกลายเป็น

เทียนจวินรุ่นต่อไปได้

ทว่าลู่เอินฟังมาถึงตรงนี้แล้วเหตุใดในความคิดของนางจึงรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาดก็มิรู้ การขมวดคิ้วที่มากเกินปกติทำให้กัวหรู่เผยหลุดยิ้มและเป็นฝ่ายเอ่ยทักก่อน

“คุณหนูไป๋คงรู้สึกว่ามันช่างคุ้นเคยอย่างน่าประหลาดกระมัง”

“ใช่เจ้าค่ะ ข้านึกว่าคิดอยู่คนเดียวเสียแล้ว...”

ที่แท้กัวหรู่เผยก็คิดเห็นเช่นเดียวกัน

“ข้ากำลังคิดว่านิทานจากแดนสวรรค์เรื่องนี้มีตัวละครมาจากราชวงศ์ปัจจุบันนี่เอง นักเล่านิทานผู้นี้ก็ช่างผูกเรื่องเสียจริง สามารถเอาเรื่องของผู้สูงศักดิ์มาผูกเรื่องราวได้แต่เริ่มจนจบสมบูรณ์”

พอได้ยินเช่นนี้ลู่เอินก็ตาสว่างวาบพร้อมพยักหน้าหงึกๆอย่างเห็นด้วย พอนึกตามแล้วก็ทำให้อดกลืนน้ำลายอึกใหญ่ไปมิได้

“ไอ้เรื่องเก่งไหมก็เก่งนะ ทว่าข้ากลับมองว่านิทานที่เล่านี้เป็นเหมือนดาบที่ใช้ฆ่าคนมากกว่า”

“อืม น่าคิด หากชาวเมืองได้ฟังเรื่องนี้บ่อยๆก็เหมือนเป็นการกล่อมให้คิดไปว่าบุคคลในชีวิตจริงก็อาจเป็นเช่นในนิทานได้ใช่หรือไม่!?”

“ใช่เจ้าค่ะ”

ลู่เอินก็แค่คิดไปเรื่อยเท่านั้น อย่างไรนิทานก็คือนิทานนั่นล่ะ นักเล่านิทานคนหนึ่งคงอยากให้ผู้คนอยากรู้อยากเห็นยิ่งขึ้นจึงได้อาศัยเรื่องที่ชาวเมืองรู้สึกห่างไกลเข้าถึงยากมาผูกเรื่องให้เข้าถึงง่ายเช่นนี้เพื่อดึงดูดคนฟังนั่นล่ะ

คุยกันไปสักพักก็มีคนของกัวหรู่เผยเข้ามารายงานบอกว่าน้องสาวของเขากำลังมีเรื่องกับคุณหนูอีกตระกูลที่โรงเตี๊ยมฝั่งตรงข้ามนี้เอง ทำให้พี่ชายอย่างเขาต้องไปช่วยห้ามน้องสาว ส่วนลู่เอินก็เลยต้องแยกย้ายจากเขาตรงนี้

ทว่าด้วยความที่นางจำเป็นต้องศึกษานิสัยใจคอของคนในครอบครัวเขาด้วย นางก็อยากรู้ว่าน้องสาวเขามีนิสัยเช่นไร จึงแอบเดินตามกัวหรู่เผยไปห่างๆ ทำนองว่าไปหาอันใดกินที่โรงเตี๊ยมเช่นกันไม่ได้ตั้งใจตามเขาไปจริงๆนะ

...

“นั่นมันป้ายไม้เข้างานแสดงของคณะละครหลิ่งซือของข้าแน่นอน เจ้าอย่าได้หาพวกมาเพื่อขโมยป้ายนี้ของข้าไปหน่อยเลย”

คุณหนูสองฝ่ายยืนหันหน้าเข้าหากันแบ่งฝ่ายอย่างชัดเจน ฝีปากของคุณหนูฝ่ายตรงข้ามนั้นเหนือชั้นกว่าน้องสาวของกัวหรู่เผยยิ่งนัก แต่เป็นเช่นนั้นคุณหนูกัวก็กำป้ายไม้ที่น่าจะเป็นตัวต้นเหตุไว้แน่นอย่างคนไม่ยอมให้เช่นกัน ยิ่งพอกัวหรู่เผยเข้าไปเรื่องราวก็ยิ่งใหญ่โตเข้าไปอีก คนในโรงเตี๊ยมมองมาแล้วย่อมเข้าข้างฝ่ายที่พูดมากกว่าและมีพวกน้อยอย่างคุณหนูปากเก่งคนนั้นแน่

“ป้ายเข้างานอันใดหรือ ข้าจะให้คนไปซื้อใหม่ให้เดี๋ยวนี้”

กัวหรู่เผยเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบแสดงออกถึงเจตนาดี

“เหอะ หากซื้อใหม่ได้ ข้า คุณหนูรองตระกูลฉีย่อมซื้อได้เองอยู่แล้ว มิต้องเสียเวลามาจับขโมยเช่นนี้หรอก ตั๋วเข้างานนี่ขายหมดตั้งแต่วันแรกแล้ว มีเงินอย่างเดียวซื้อไม่ได้หรอกต้องมีความสามารถด้วย บิดาของข้าให้คนไปต่อแถวซื้อมาอย่างยากลำบาก เหตุใดต้องมาให้พวกเจ้าชิงไปเช่นนี้เล่า!”

กัวหรู่เผยหันมองน้องสาวก็พบว่าได้รับการยืนยันเช่นนั้น ทำให้เขาพอนึกออกว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนน้องสาวมายืมคนของเขาเพื่อไปซื้อของบางอย่างจริง ของสิ่งนั้นก็น่าจะเป็นตั๋วไม้เข้างานชิ้นนี้แหละ

“ข้าเพียงนำตั๋วมาให้ให้สหายที่ซื้อไม่ได้ดูเท่านั้น อยู่ดีดีคุณหนูรองฉีก็ชี้หน้าหาว่าข้าไปขโมยของนางมาเจ้าค่ะ ตั๋วไม้นี่อยู่ในมือข้าแท้ๆ...”

“ข้ามากินมื้อกลางวันที่นี่แล้วทำตั๋วไม้หายจึงกลับมาดู หากไม่ใช่ตั๋วไม้อันนี้แล้วจะเป็นตั๋วไม้ชิ้นไหนล่ะ ไม่แน่คุณหนูกัวอาจบังเอิญเห็นตั๋วไม้นี้และเก็บไปเป็นของตน พอเจอสหายก็รีบอวดก็เป็นได้! เจ้ามีอันใดมาพิสูจน์หรือไม่ว่าตั๋วไม้ในมือเป็นของเจ้ามิใช่ของข้าที่ทำหายไป”

ลู่เอินที่นั่งฟังอยู่ห่างๆไม่สามารถอดทนฟังต่อไปได้แล้วจริงๆ คุณหนูฉีช่างหน้าไม่อายเกินไปแล้ว...

“แล้วคุณหนูฉีมีสิ่งใดมาพิสูจน์หรือไม่ว่าตั๋วไม้ในมือของคุณหนูกัวคือของของเจ้า! หลักฐานที่นอกจากการคาดเดาไปคนเดียวของเจ้าน่ะ”

ลู่เอินตามด้วยลี่มี่เดินผ่านคุณหนูปากเก่ง ฉีหมิงเสีย และบ่าวส่วนตัวของนางไปยืนตรงกลางระหว่างคู่กรณีทั้งสอง

“เอ่อ เรื่องนั้น เจ้าคือผู้ใดน่ะ?”

“ข้าเพียงผ่านมาได้ยินบทสนทนาแล้วก็สงสัยเท่านั้น คุณหนูรองฉีตอบคำถามข้าได้หรือยัง หรือว่าก็ไม่มีหลักฐานเช่นกัน”

ลู่เอินตั้งใจไม่แสดงตัวว่านางรู้จักกับกัวหรู่เผยเพราะไม่อยากให้คนที่มามุงดูรู้สึกเอนเอียงไปมากกว่านี้ นางเข้ามาช่วยในฐานะคนกลางย่อมให้ผลดีกว่า

อีกอย่างนางก็มิได้ตั้งใจจะเข้าข้างฝ่ายตระกูลกัวอยู่แล้ว ตั๋วเป็นของใครก็ต้องมีหลักฐานแน่นอนเพียงแค่ต้องสืบเสาะดูหน่อยเท่านั้น

ฉีหมิงเสียชะงักและคิดย้อนหลังไปชั่วครู่ก็หยักยิ้มพร้อมเอ่ยตอบอย่างมั่นใจทันที

“แน่นอนว่ามี ก่อนหน้าที่ข้าจะออกจากโรงเตี๊ยมนี้ ข้านั่งตรงโต๊ะนี้ก่อน ในตอนที่นั่งลงนั้นบ่าวของข้าบังเอิญทำตั๋วไม้นี่ตกตอนกำลังปรนนิบัติข้า และก็มีเสี่ยวเอ้อผู้หนึ่งเก็บมาส่งให้ เจ้าลองไปถามเสี่ยวเอ้อผู้นั้นดูก็รู้แล้ว”

เป็นอย่างที่ว่าจริงๆ อีกทั้งโต๊ะที่นางนั่งก็คือตัวเดียวกับที่คุณหนูกัวมานั่งต่ออีกต่างหาก เป็นใครได้ฟังก็ย่อมคิดว่ามีความเป็นไปได้ที่ตั๋วไม้นี้จะเป็นของฉีหมิงเสีย

คุณหนูกัวแม้นไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าตนมีตั๋วนี้อยู่ก่อนแล้วนอกจากคนในตระกูลของตนที่มีน้ำหนักน้อยกว่าหลักฐานของคุณหนูรองฉีที่เป็นคนภายนอกยืนยันให้ และต่างฝ่ายต่างไม่ยอมสละตั๋วไม้นี่ให้ใครเสียด้วย

เรื่องราวเริ่มจากตั๋วไม้ของการแสดงหนึ่งนี้คิดอย่างไรก็หาข้อสรุปได้ยากแล้ว...

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel