สาม วิชาไก่ ไฟบิน
ลู่เอินมองเห็นพี่ชายและบุรุษสวมหน้ากากวิ่งขึ้นบันไดไป ส่วนซวี่เซิงไม่รู้ถูกเรียกมาแต่เมื่อใด เขาวิ่งมาคุ้มกันลู่เอินอย่างไว ส่วนนางก็ทำได้แต่มองตามพวกเขาวิ่งขึ้นไปคลี่คลายสถานการณ์ตึงเครียดชั้นสอง
ลู่เอินมองแล้วเหมือนว่าเป้าหมายของลู่เหลียนก็คือมาซุ่มจับคนกระมัง จากตอนแรกบุรุษชุดดำจับนางโลมเป็นตัวประกันตอนนี้เปลี่ยนเป็นจับคุณชายตัวผอมคนหนึ่งเป็นตัวประกันแทนแล้ว ในขณะที่เป้าหมายกำลังขู่จะฆ่าตัวประกันพร้อมถอยจากกลุ่มคนที่น่าจะเป็นพวกเดียวกับพี่ชายที่แฝงกายชั้นสองอยู่สองคนนั้นก็เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น เขาพาร่างคุณชายผอมบางคนนั้นกระโดดจากระเบียงชั้นสองลงมาชั้นหนึ่งโดยไม่โหนอันใดเลย!
ด้วยความที่ตัวประกันไม่ทันตั้งตัวก็ไม่สามารถทำอันใดได้ คนส่วนใหญ่ของฝ่ายพี่ชายย่อมต้องพยายามช่วยผู้บริสุทธิ์ ส่วนคนร้ายที่ตั้งใจให้เป็นเช่นนี้ก็ผละตัวจากมา เท้าสัมผัสพื้นอย่างปลอดภัยก็เตรียมวิ่งออกจากหอนางโลมไปยังประตูทางออกทันที
คนร้ายมีวรยุทธ์สูงส่งพอตัว ถูกทำให้ตกใจด้วยเปลวไฟหนึ่งที่ไม่รู้เกิดมาจากไหน จากนั้นก็ตามมาอีกหลายเปลวไฟ ฝีเท้าชะงักหลบเปลวไฟนั่นอยู่หลายครา รู้ตัวอีกทีบุรุษสวมหน้ากากก็พุ่งมาโจมตีและจัดการควบคุมเขาไว้ได้แล้ว
“เอินเอ๋อร์ เจ้าไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่!?”
ลู่เหลียนวิ่งลงจากบันไดได้ก็มาหาน้องก่อนเลย นอกจากรอยไหม้ปลายแขนเสื้อเล็กน้อยแล้วก็ไม่มีอันใดผิดไปจากเดิม
เมื่อครู่ลู่เอินที่ยืนอยู่ชั้นล่างเห็นคนที่พี่ชายตามจับกำลังจะกระโดดลงมาสมองก็สั่งการให้นางอยู่ไม่เฉยทันที หันมองไปเห็นเห็นบนโต๊ะมีน่องไก่วางไว้ก็หยิบมาราดสุราที่นางพกติดตัวไว้ จากนั้นก็จุดไฟแล้วเหวี่ยงไปทางคนผู้นั้นทันที นางอาศัยน่องไก่ผสมสุรารสแรงนี่ล่ะจัดการถ่วงเวลาจนบุรุษสวมหน้ากากวิ่งมาจัดการทัน
เมื่อครู่มองภาพบุรุษชุดดำต่อสู้กับน่องไก่แล้วตลกชะมัด
“น้องไม่เป็นอันใดเจ้าค่ะ ท่านพี่เถอะมาตามจับคนไยไม่บอกว่าดีดีกัน ให้ข้าเข้าใจผิดตั้งนาน”
ลู่หลินมองน้องสาวตนทำหน้าเบ้งอนไปแล้วก็เอื้อมไปยีหัวอย่างเอ็นดู
“เรื่องนี้พี่ผิดเองที่ไม่บอกเจ้า...”
“งานราชงานใช่ว่าจะบอกใครก็ได้หรืออย่างไร แม้คนในครอบครัวก็มิมีข้อยกเว้น”
คนพูดเดินเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วยหลังจากสั่งลูกน้องตนเองให้จัดการเรียบร้อยแล้ว สายตาต้อนรับจากสตรีเจ้าของน่องไก่ติดไฟเมื่อครู่ส่งมาอย่างกับเขาคือคู่อริอย่างไรอย่างนั้น
“บางทีคนในครอบครัวคุยกันอยู่ก็หาใช่ใครมาแทรกได้เช่นกันนั่นแหละ จริงไหมเจ้าค่ะท่านพี่”
ลู่หลินไม่ชอบหน้าบุรุษผู้นี้อย่างไรไม่รู้ ด้วยความที่นางมีนิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมา พอเจอหน้าคนที่แม้กระทั่งหน้าตาก็ปิดบังไว้เช่นนี้จึงรู้สึกไม่ชอบแต่แรกเห็นกระมัง
ยิ่งพอได้คุยกันยิ่งรับรู้ได้ว่านางไม่ควรจะไปสนทนาเข้าไปใหญ่
“อ่อ เอินเอ๋อร์เจ้าอย่าได้เสียมารยาทสิ นี่สหายพี่เอง เป็น...”
“เรียกข้าว่า หลีอี้ เถอะ ยินดีที่ได้พบกับคุณหนูไป๋ด้วย ใครจะคิดเล่าว่าคุณหนูตระกูลไป๋จะมีวิชาประหลาดเช่นนั้น แต่ก็ต้องขอบใจท่านด้วย หากไม่ได้วิชาไก่ไฟเมื่อครู่ก็คงมิสามารถจับสายลับผู้นั้นได้ง่ายดายเช่นนี้”
ลู่เอินขมวดคิ้วมุ่น นางรู้สึกฟังแล้วไม่ยินดีประหลาด ราวกับว่าในคำชมนี่มีจุดประสงค์อยากหยอกเย้านางเสียมากกว่า
“ถือว่าเป็นการไถ่โทษที่ข้ามาขัดขวางการทำงานของพี่เหลียนก็แล้วกันเจ้าค่ะ ส่วนวิชาไก่ไฟบินนั้นข้าไว้จัดการกับคนปากไม่ว่างชอบหาเรื่องผู้อื่นโดยเฉพาะเจ้าค่ะ หากคุณชายอี้อยากเห็นอีกรอบก็บอกได้ทันที”
นางจะจัดไก่ไฟนี่ไปบินเข้าปากเขาเผื่อว่าจะเตือนสติอันใดได้บ้าง หากนางไม่รู้สึกไปเอง เขาเหมือนไม่ชอบใจนางเช่นกันกระมัง
“ยินดียิ่งขอรับ ไว้เจอกันคราหน้าคงได้คุยกันมากกว่านี้”
...ใครจะไปอยากเจอเขากันล่ะ!
“เจ้าค่ะ ไว้เจอกันชาติหน้าก็คงดี”
“เจอกันชาตินี้ไม่พอยังอยากเจอกันชาติหน้าอีกหรือ คุณหนูไป๋คงดีใจที่ได้พบข้ามากกระมัง”
ลู่เหลียนมองสองคนสลับกันตอบโต้ไปมาจนมึนหัวไปหมดแล้ว ในที่สุดก็ตัดสินใจห้ามศึกจนได้
“คุณชายอี้มิใช่ต้องไปคุมตัวสายลับผู้นั้นต่อหรือ เชิญเถอะ ส่วนเอินเอ๋อร์เดี๋ยวเจ้ากลับจวนพร้อมพี่ก็แล้วกัน ลาล่ะ”
ไม่รออันใดลู่เหลียนลากน้องสาวที่ทำท่าราวแมวขู่สหายใหม่ของเขาให้จากมาทันที นิสัยของหลีอี้นั้นเขายังไม่แน่ชัดแต่สำหรับน้องสาวที่นิสัยไม่ยอมใครอันสืบทอดมาจากมารดานั้นเขาเข้าใจชัดเจนเลยล่ะ
หากน้องสาวผู้ไม่ยอมคนปะทะกับสหายใหม่ที่ดูไม่ยอมใครเช่นกัน มีหวังเรื่องราวใหญ่โตแน่
วันต่อมา...
ลู่เอินตื่นสายเล็กน้อยแต่ก็ยังพอทันไปกินมื้อเช้าร่วมกับบิดามารดาและพี่ชาย ด้วยความที่ตอนนี้ยังเพิ่งปลายคิมหันตฤดูอากาศไม่ร้อนมากเท่าช่วงกลางฤดูแต่ก็ถือว่าต้องพกพัดติดกายไว้อยู่ ในช่วงกลางวันที่ดวงอาทิตย์ยังไม่ตกดินนางจึงเน้นนอนพักรอจนแสงแดดหายหมดก็เข้าหมกตัวที่เรือนเทียนเมิ่งเพื่อผสมวัตถุดิบทำสุรา ลืมดอกไม้หวนนึกแต่แมกไม้ ที่เถ้าแก่โรงสุราสั่งเพิ่ม ผสมเสร็จก็ปาเข้าไปยามห้าย (21.00 – 22.59 น.) แล้ว
ลู่เอินเดินยืดแขนยืดขาออกมาจากเรือนมุ่งตรงไปชำระล้างคราบเหงื่อไคลก่อนเลย แต่งกายด้วยชุดนอนตัวบางเหมาะสำหรับหน้าร้อนเสร็จก็ต้องมานั่งรอให้ผมแห้งอีก ด้วยความที่บ่าวไปนอนหมดแล้วและลู่เอินก็เช็ดผมไม่เป็น นางจึงอาศัยนั่งหน้าต่างให้ลมร้อนพัดโกรก ขณะนี้ก็หยิบหนังสือเกี่ยวกับสมุนไพรขึ้นมาอ่านไปพลาง
ขณะลู่เอินก้มหน้าอ่านหนังสืออยู่ดีดีก็รู้สึกได้ว่ามีลมวูบใหญ่พัดมาพอเงยหน้ามองก็พบว่าตนเองกำลังถูกสิ่งของมีคมสีเงินวาววับจ่อมาที่คอเสียแล้ว
นางรู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบที่สัมผัสผิวคอพร้อมลมหายใจอุ่นเป่ารดแถวข้างหู
“ห้ามส่งเสียงร้องมิเช่นนั้นข้าบั่นคอขาดแน่!”
