บท
ตั้งค่า

บทที่ ๒ สตรีผู้นี้คือใคร

“ท่านซ่างซูเสิ่ง” เสียงของพระชายาฟางหรงเอ่ยขึ้นด้วยความแปลกใจ คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอกับบุรุษหนุ่มรูปงามที่ทำงานอยู่ข้างกายขององค์ฮ่องเต้ เหตุไฉนถึงได้มาปรากฏกายอยู่ที่แห่งนี้

“ถวายบังคมพระชายาพะยะค่ะ” ชายหนุ่มโค้งคำนับด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน “กระหม่อมเดินทางผ่านบ้านเกิด แวะเวียนมากราบไหว้สุสานของบิดามารดาเพียงเท่านั้นพะยะค่ะ”

“ข้าลืมนึกไป ว่าท่านเกิดที่นี่ ถ้ามีเวลาว่างไปดื่มชาแก้หนาวที่จวนของข้าหน่อยเถอะท่านซ่างซูเสิ่ง”

“ต้องขออภัยด้วยพะยะค่ะ กระหม่อมมีงานราชการเร่งด่วน คงต้องเป็นครั้งหน้าที่จะได้ดื่มชากับพรชายาพะยะค่ะ”

“เช่นนั้นสินะ ข้าคงได้ดื่มชาร่วมกับท่าน”

“น้อมส่งพระชายาพะยะค่ะ” สิ้นเสียงของบุรุษหนุ่มรูปงามพระชายาฟางหรงจึงเดินตรงมาที่รถม้า ที่จอดรออยู่ด้านหน้าของสุสาน

‘จ้าวหนิงจิง’ ซ่างซูเสิ่งคือตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายบริหาร เป็นตำแหน่งบริหารสูงสุด มีอำนาจควบคุมหกกรมโดยตรง มีอำนาจเหนือกว่าผู้ใดในราชสำนักอยู่ภายใต้องค์ฮ่องเต้เพียงเท่านั้น

ชายหนุ่มรูปงามในหน้านิ่งเฉยไม่แสดงอารมณ์หรือสีหน้าใดออกมา ไม่ว่าจะมีความสุขหรือความทุกข์เขาก็ยังคงสีหน้าเช่นนี้ตามเดิม ดวงตาคมเหมือนใบหลิวจ้องมองไปด้านหน้า

ขายกายของจ้าวหนิงจิงมีบุรุษชุดดำและหญิงสาวชุดดำสองคนเดินเว้นระยะไม่ห่างมากนัก “เฟิงหลง” และ “หมี่เหยี่ย” คนสนิทของจ้าวหนิงจิง ทั้งสองถูกพ่อของเขารับเลี้ยงตั้งแต่เด็ก จนกลายมาเป็นคนรับใช้ข้างกายที่รู้ใจของจ้าวหนิงจิง

ธูปดอกใหญ่ถูกปักวางเอาไว้ที่หน้าหลุมศพของผู้ให้กำเนิดทั้งสอง ชายหนุ่มยืนมองป้ายหลุมศพเพียงครู่ เขาไม่เอ่ยคำใดออกมาก่อนหันหลังกลับและเดินจากมา

ความเศร้าโศกเลือนหายไปตามกาลเวลา แต่ความคิดถึงนั้นยังคงอยู่ในใจเสมอ บิดาของเขาเป็นเพื่อนรักขององค์ฮ่องเต้ เมื่อบิดาจากไปตำแหน่งซ่างซูเสิ่งจึงตกทอดมายังลูกชายเพียงคนเดียว

ความสามารถของจ้าวหนิงจิงไม่เป็นสองรองใคร ความเฉลียวฉลาดที่มีมาตั้งแต่เด็กทำให้บิดามารดารู้สึกภาคภูมิใจ ภายใต้ใบหน้าเรียบนิ่งของชายหนุ่มยังคงเป็นที่เกรงขาม เพราะเขาได้รับฉายา ‘หมาป่าเดียวดาย’

ในช่วงอายุ 15 ปี ของจ้าวหนิงจิง องค์ฮ่องเต้มีรับสั่งให้เขาไปทำคดีสำคัญที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ในเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ตกอยู่ในมือของกลุ่มโจร จ้าวหนิงจิงได้ทำการปราบกลุ่มโจรป่าด้วยทหารเพียงยี่สิบนาย เขาจึงได้ฉายาหมาป่าเดียวดายตามชื่อของกลุ่มโจรป่านั้น

คำพูดเล่าขานถึงสีหน้าตอนสังหารพวกโจรป่า ดวงตาคมดุดันดั่งมีเปลวเพลิงมือที่ตวัดดาบไม่ลังเลแม้เสี้ยววินาที เสียงฝีเท้าม้ามั่นคงไม่มีล่าถอย ถึงโจรป่าจะมีกำลังคนมากกว่าหลายเท่ากลับไม่คณามือของจ้าวหนิงจิงแม้เพียงนิด

รถม้าของจวนจ้าววิ่งจอดเทียบที่จวนเก่ากลางใหม่ จวนไม้สีจางไปตามกาลเวลาประตูไม้ใหญ่ปิดสนิท เฟิงหลงเคาะเพียงสองครั้งไม่นานประตูใหญ่บานนั้นก็เปิดออกกว้าง

“ท่านชายกลับมาแล้วหรือขอรับ” เสียงของพ่อบ้านที่แก่ชราเอ่ยออกมาด้วยความดีใจ

“ข้ากลับมาแล้ว”

“ท่านชายแวะไปที่สุสานหรือยังขอรับ”

“ท่านชายไปมาแล้ว มีของที่ท่านชายนำมาด้วย ท่านเอาของพวกนั้นไปแจกจ่ายตามสมควร” เฟิงหลงหันมาพูดคุยกับชายชราด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ช่างแตกต่างจากคนเป็นนายที่เดินหน้านิ่งตรงไปยังเรือนพักของตนเอง

“ขอบคุณท่านชายขอรับ” เสียงพ่อบ้านดังไล่หลังตามมา

จ้าวหนิงจิงเดินตรงมาที่เรือนนอนของตนเอง ทุกอย่างภายในจวนยังคงเหมือนเดิมไม่ผิดจากเมื่อก่อน สายตาพลันมองไปยังต้นดอกโบตั๋น ที่อยู่ตรงกลางสวนด้านหน้าเรือนของบิดามารดา ชิงช้าไม้ที่เคยนั่งก็ยังคงอยู่เช่นเดิม

“ข้าจะพักที่นี่อีกสามวัน” จ้าวหนิงจิงพูดพร้อมกับเปิดประตูห้องนอนแล้วปิดลงด้วยความเงียบ

ห้องนอนที่กว้างใหญ่ช่างดูวังเวงและหดหู่ใจ เมื่อมาเยือนที่จวนบ้านเกิดหนใดภาพวันวานยังคอยวนเวียนเข้ามาสะกิดบาดแผลภายในใจ ครอบครัวที่อบอุ่นได้จากไปเพราะเหตุการณ์ไม่คาดคิด

รถม้าที่นายท่านจ้าวเดินทางไปเยี่ยมเยือนญาติสนิทที่อยู่ทางเหนือพร้อมกับภรรยาได้ผลัดตกลงจากเขาทำให้ทั้งสองจากไป เหลือเอาไว้เพียงลูกชายที่กำลังร่ำเรียนอยู่ในพระราชวังกับองค์รัชทายาท

หลังเหตุการณ์นั้นจ้าวหนิงจิงก็มีสีหน้าเย็นชาเขาอาจกำลังแสดงสีหน้านั้นเพื่อปกปิดความเจ็บปวดทุกข์ระทมที่ได้รับ องค์ฮ่องเต้นึกสงสารจึงรับเอาไว้เป็นบุตรบุญธรรม สั่งสอนทุกอย่างไม่ต่างจากพระโอรส

ความเก่งที่ไร้ผู้เทียบเคียงแม้เพียงองค์รัชทายาทเองก็ยังคงห่างชั้น สติปัญญาไม่เฉียบแหลมเช่นจ้าวหนิงจิง เพราะเช่นนั้นองค์ฮ่องเต้และรัชทายาทจึงให้ความสำคัญและไว้วางใจให้รับผิดชอบงานในราชสำนัก

ร่างกายชายกำยำสวมใส่เสื้อผ้าเรียบง่ายสีน้ำเงินเข้ม กระโดดออกจากทางหน้าต่างของห้องนอน ความรวดเร็วของฝีเท้าที่ไต่ไปตามกำแพงสูงของจวนเจ้าเงียบและเบาเหมือนกับฝีเท้าแมว

จ้าวหนิงจิงปรายตามองด้านหลังที่มีบ่าวรับใช้คนสนิทติดตามมาไม่ยอมห่าง ไม่ว่าเขาจะทำอะไรหรือออกไปที่แห่งใด ไม่เคยรอดพ้นสายตาของเฟิงหลงและหมี่เหยี่ยสักครั้ง แต่ครั้งนี้กลับมีเพียงบ่าวชายเท่านั้นที่ตามติดออกมา

เมื่อเดินทางออกมาจากหมู่บ้านชายหนุ่มเดินเท้าขึ้นมาบนภูเขาที่เป็นวัดอารามที่ตั้งอยู่ยอดเขา สองเท้าค่อยๆ ก้าวเดินขึ้นบันไดหินทีละก้าวอย่างใจเย็น รอบกายเงียบสงบ ตอนนี้หิมะหยุดตกไปนานแล้ว เหลือเพียงสายลมหนาวที่พัดมากระทบร่างกาย

แต่หาได้ทำให้จ้าวหนิงจิงที่ร่างกายแข็งแรงนั้นเหน็บหนาว เมื่อก้าวพ้นบันไดขั้นสุดท้ายขึ้นมาได้ ล้านหินกว้างเต็มไปด้วยหิมะสีขาวทั่วทั้งเขาไม่เหลือสีเขียวของใบไม้อีกต่อไป

ศาลาใหญ่ด้านหน้ามีพระพุทธรูปขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านหันหน้าออกมานอกศาลา เพียงมองจากภายนอกก็รับรู้ได้ถึงความสงบใจและศรัทธา เบาะรองทรงกลมถูกวางเอาไว้ให้ผู้คนที่ขึ้นมากราบไว้ขอพรได้รองนั่ง

จ้าวหนิงจิงย่อตัวลงนั่งบนเบาะก่อนที่เขาจะพนมมือและขอพรตามใจที่ปรารถนา ทันใดนั้นเสียงของใครบางคนก็ดังขึ้น ทำให้ชายหนุ่มที่นั่งอยู่หันมองด้วยความสนใจ

เสียงของ “มู่อวี๋” ดังเข้ามาในโซนประสาท เสียงเคาะที่ดังจากไม้ยังคงดังขึ้นไม่ยอมหยุด ช่างดึงดูดความสนใจของจ้าวหนิงจิงเสียเหลือเกิน ยิ่งฟังยิ่งทำให้เขาอยากเห็นคนที่เคาะมู่อวี๋ เพราะทำนองของเสียงนั้น ช่างต่างไปจากที่เคยได้ยิน

“คุณหนูเจ้าคะ เคาะให้มันดีๆ หน่อยเถอะเจ้าค่ะ”

“เงียบเถอะน่า หนิงเอ๋อ ข้ากำลังสวดมนต์ของพรอยู่” ที่มือข้างหนึ่งกำลังจับลูกประคำเลื่อนไหลไปที่ละเม็ด อีกมือก็ออกจังหวะเคาะไม่เป็นจังหวะ นางตั้งใจเป็นอย่างมากในการสวดมนต์ของพรในครั้งนี้

ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนเมื่อสวดมนต์ขอพรเสร็จสิ้นแล้ว ใบหน้าหล่อเหลาชะเง้อมองไปยังหญิงสาวที่อยู่ด้านหลังของเสาต้นใหญ่ แต่ไม่ทันที่จะได้มองเห็นเจ้าอาวาสที่อาศัยอยู่ที่วัดจึงได้เข้ามาทักทาย

“ท่านชายจ้าว”

“พระอาจารย์สบายดีหรือไม่ขอรับ” จ้าวหนิงจิงโค้งศีรษะลงเล็กน้อย

“อาตมาดีใจที่ท่านชายมาเยือนที่วัด ถึงวันนั้นแล้วสินะ”

“ขอรับ ข้ามากราบไว้สุสานของบิดามารดา จึงแวะมาสวดมนต์ขอพร”

“เช่นนั้นอาตมาก็ไม่รบกวนแล้ว”

“ขอรับ” จ้าวหนิงจิงโค้งคารวะอีกครั้งก่อนที่เจ้าอาวาสจะเดินจากไป เขารีบหันมองไปยังหญิงสาวที่นั่งขอพรเมื่อครู่ แต่ตอนนี้กลับมองไม่เห็นหญิงสาวคนนั้นแล้ว

“ท่านชายขอรับ จะกลับจวนตอนนี้เลยหรือไม่ขอรับ” เฟิงหลงเอ่ยถาม

“ยัง” เขาตอบกลับเพียงเท่านั้น แล้วเดินออกมาจากศาลาใหญ่ เดินเท้าลัดเลาะไปตามทางเดินเท้าเล็กๆ ก่อนที่จะหยุดลงที่ลำน้ำสายเล็กกำลังไหลผ่านไปยังตีนเขา ถึงแม้อากาศจะหนาวแต่สายน้ำแห่งนี้ก็ยังไม่แข็งตัวเป็นก้อนน้ำแข็ง

จ้าวหนิงจิงหันมองหาต้นไผ่ขนาดเหมาะมือเพื่อทำเป็นเบ็ดตกปลา เมื่อหาทำเลเหมาะแล้วจึงนั่งลงที่โขดหินข้างลำน้ำ หย่อนเบ็ดที่พึ่งทำเสร็จลงไปในน้ำแล้วหยิบสุราที่พกติดตัวออกมายกดื่มเพียงลำพัง

เฟิงหลงเร้นกายหายไปในความหนาวเขาเพียงหาที่เหมาะเพื่อเฝ้าระวังภัยให้กับท่านชาย ในเวลาเช่นนี้ควรเป็นเวลาส่วนตัวของจ้าวหนิงจิง และในทุกๆ ปีเขามักจะทำเช่นนี้หลังจากที่ขอพรเสร็จ

สายลมพัดกระทบเข้ากับต้นไม้ แต่ชายที่นั่งอยู่บนโขดหินหาได้สนใจสิ่งรอบข้างไม่ สีหน้ายังคงเรียบนิ่งไม่แสดงออกถึงอารมณ์ใดๆ มีเพียงสุราในขวดเท่านั้นที่เขานั้นใส่ใจ
ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel