บทที่ ๑ หญิงบ้าที่ถูกขับไล่
เสียงจุดประทัดไฟดังขึ้นพร้อมกับเสียงโห่ร้องดีใจของคนที่มาร่วมงานพิธีมงคลในวันนี้ ต่างจากด้านหลังของจวนที่เงียบสงบมีหญิงสาวผู้หนึ่งใบหน้าไร้ชีวิตชีวาเดินขึ้นมานั่งบนรถม้าที่จอดรออยู่ ด้วยความเจ็บปวดใจ
“คุณหนูเจ้าคะ นั่งรอก่อน หนิงเอ๋อจะไปเอาผ้าห่มมาเพิ่มเจ้าค่ะ” นางพยุงคุณหนูรองขึ้นมานั่งบนรถม้า และหายไปเพียงไม่นานกลับมาพร้อมผ้าห่มผืนหนาในมือ “ไปได้” นางหันมาสั่งคนขับรถม้าว่าให้ออกเดินทาง
“หนิงเอ๋อ…ข้า…” เสียงร้องไห้ของหวังหลี่หลินดังขึ้น ตอนนี้นางไม่ทุกข์ใจเพราะเสียเกาเหวินให้กับน้องสาวแต่อย่างใด แต่ความทุกข์ใจของนางคือสายตาของบิดาที่ดูตำหนิเกลียดชังในสิ่งที่ลูกคนนี้ได้กระทำลงไป
ไม่มีคำพูดแสนหวานเอ่ยปลอบขวัญที่หนีหายไป มีเพียงคำกล่าวว่าดุด่าให้หวังหลี่หลินสำนึกผิดที่ทำลายข้าวของทั้งจวนพังไม่มีชิ้นดี สิ่งที่นางทำนั้นมันช่างไม่สาแก่ใจ น้อยไปเสียด้วยซ้ำกลับความยุติธรรมที่ไม่มีในสายตาของบิดา
“นายท่านหวังพูดไปเพราะอารมณ์โกรธ อีกไม่กี่วันคงส่งบ่าวมารับคุณหนูกลับจวนเจ้าค่ะ” หนิงเอ๋อพูดปลอบใจ มันจะเป็นเช่นนั้นแน่หรือหวังหลี่หลินมองไม่เห็นความหวังนั้นเลย
รถม้าเคลื่อนตัวออกห่างจากเมืองหลวง เดินทางสู่หมู่บ้านตีนเขาที่เป็นบ้านเกิดของมารดาหวังหลี่หลิน การเดินทางช่างลำบากเพราะต้องฝ่าลมหนาวและหิมะที่โปรยปรายลงมา ในบางเวลารถม้าต้องหาที่หลบหนาวเป็นเวลานานหลายวัน
วันเวลาผ่านไปด้วยความทุกข์ระทมหวังหลี่หลินได้แต่บอกตนเองให้อดทนอีกไม่นานคงผ่านพ้นความยากลำบากนี้ไปได้ ในวันที่เจ็ดรถม้าหยุดนิ่งที่หน้าจวนของมารดา พ่อบ้านที่ดูแลจวนวิ่งออกมาต้อนรับคุณหนูรองด้วยความดีใจ
บรรยากาศที่อบอุ่นแสนคิดถึงนี้ทำให้หวังหลี่หลินยิ้มออกในช่วงหลายวัน มารดาที่รีบเร่งออกมาต้อนรับบุตรสาวมีสาวใช้ข้างกายพยุงจับไว้ให้ไม่ลื่นล้ม เมื่อหิมะที่เปียกบนทางเท้ามีมากมาย
“หลินเอ๋อ ลูกแม่” นางโผล่กอดบุตรสาวด้วยความคิดถึงเต็มหัวใจ “แม่คิดถึงเจ้าเหลือเกิน”
“ท่านแม่หลินเอ๋อมาหาท่านแม่แล้วเจ้าค่ะ” หญิงสาวร่ำไห้ออกมาด้วยความคิดถึง หากมารดาอยู่กับนางในวันนั้น เหตุการณ์จะเป็นเช่นวันนี้หรือไม่
“เดินทางมาไกลเจ้าคงเหนื่อยมาก แม่ให้พ่อครัวเตรียมอาหารที่ชอบเอาไว้ให้หลายอย่าง เลิกร้องไห้แล้วไปกินอาหารที่แม่ตั้งใจเตรียมเอาไว้ให้ดีหรือไม่” นางยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาของหวังหลี่หลิน
“เจ้าค่ะ” ใบหน้าสวยยังมีความเศร้าหมอง มารดาเห็นเช่นนั้นพลอยเศร้าใจไม่ต่างกัน
“หนิงเอ๋อ เจ้าเอาข้าวของไปเก็บในห้องคุณหนู แล้วค่อยตามมา” หวังหนิงเหมยหันไปบอกสาวใช้ประจำกายของลูกสาว ก่อนที่พวกนางจะเดินเข้ามาภายในจวน
จวนไม้ขนาดกลางเก่ากลางใหม่ ตั้งอยู่ที่ตีนเขาในเมืองหนานจิง ภูมิประเทศในภูมิภาคนี้มีภูเขาสลับซับซ้อน พร้อมยังอุดมสมบูรณ์ในเรื่องของการเกษตร จวนแห่งนี้เป็นของตระกูลโจวตกทอดมาสู่รุ่นลูกอย่างหวังหนิงเหมยผู้เป็นใหญ่ในจวนแห่งนี้
ตระกูลโจวเป็นตระกูลแม่ทัพสืบทอดกันมานาน จวบจนหัวหน้าตระกูลโจวแม่ทัพโจวสิ้นบุญวาสนาสิ้นชีพในสนามรบพร้อมทั้งทางตระกูลไม่มีบุตรชายมีเพียงบุตรสาวสองคน “โจวฟางหรง” ผู้เป็นบุตรสาวคนโตบัดนี้นางอยู่ในวังหลวงเป็นพระชายาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ส่วน “โจวหนิงเหมย” บัดนี้เปลี่ยนไปใช้แส้ตามสามี “หวังหนิงเหมย” ได้แต่งงานกับเสนาบดีกรมโยธาในตอนนี้
โจวฟางหรงหรือพระชายาเอกขององค์ฮ่องเต้ มีบุตรชายสองคน องค์ชายสามและองค์ชายสี่ องค์ชายสามใช้แซ่ตามองค์ฮ่องเต้ส่วนองค์ชายสี่ฮ่องเต้ทรงตรัสไม่อยากให้ตระกูลโจวไร้ผู้สืบทอดทรงประทานให้องค์ชายสี่ใช้แซ่โจวมาตั้งแต่กำเนิด
“ดื่มน้ำขิง ร่างกายของลูกจะได้อุ่นขึ้น” หวังหนิงเหมยให้สาวใช้นำน้ำขิงอุ่นๆ มาให้กับบุตรสาว
“ท่านแม่ ข้ารู้ว่าท่านอยากถามเรื่องของข้า…” หวังหลี่หลินก้มหน้า
“เมื่ออยากเล่าเจ้าค่อยเล่า พ่อของเจ้าส่งม้าเร็วมาบอกแม่หลายวัน แม่ที่ได้รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นช่างเจ็บปวดใจยิ่งนัก หากแม่อยู่กับเจ้าในวันนั้น คงไม่ทำให้เจ้าขวัญหายไปเช่นนี้”
“ข้าคิดเสมอเจ้าค่ะ หากท่านแม่และพี่ใหญ่อยู่กับข้า ข้าคงไม่ต้องทนรับความอยุติธรรมเช่นนี้”
“หลินเอ๋อ พ่อของเจ้าคงขาดสติไปชั่วขณะ แม่รองของเจ้าคงไม่ยอมปล่อยเรื่องของลูกสาวไปง่ายเช่นนี้ เกาเหวินผู้นั้นมีชื่อเสียงหากได้มาเป็นลูกเขยมีหรือที่นางจะไม่ยินดี”
“ช่างนายอับอายยิ่งนัก นางแย่งสามีของข้าไปยังไม่เจ็บใจเท่าคำพูดของท่านพ่อเจ้าค่ะ ท่านแม่…ข้าจะอยู่กับท่านที่นี่ ชีวิตนี้ข้าจะไม่แต่งงาน”
“อย่าพูดเช่นนั้น บุญวาสนาของชายและหญิงนั้น เหมือนกับด้ายแดงที่ผูกสองคนเอาไว้ด้วยกัน ด้ายแดงของเจ้าอาจไม่ได้ผูกลงไปที่ชายผู้นั้น เรื่องร้ายผ่านพ้นไปแล้วอย่าคิดมากให้ใจนั้นได้หม่นหมอง” หวังหนิงเหมยลูบมือลงที่ศีรษะของบุตรสาว
ความรักของมารดานั้นยิ่งใหญ่ นางฟูมฟักลูกชายและลูกสาวเป็นอย่างดีตลอดหลายปีที่ผ่านมา ต่อให้หวังหวงลู่จะไม่ได้รักนางเหมือนที่รักภรรยารอง เช่นนั้นนางก็ยังทำหน้าที่ของฮูหยินใหญ่สืบมา
ลูกชายคนโต “หวังหลี่เว่ย” ในตอนนี้ออกทัพจับศึกอยู่ชายแดนทางใต้นานถึงสองปี ได้รับข่าวคราวไม่เคยขาด ส่วนลูกสาว “หวังหลี่หลิน” นางทั้งสวยและสติปัญญาดีไปที่ใดมีแต่คนรักชอบ
“หวังลู่เสียน” นางเป็นลูกของภรรยารองของจวนหวัง ใบหน้าสวยงามอ่อนช้อยทุกระเบียบนิ้ว สติปัญญาของนางสู้พี่สาวต่างมารดาไม่ติดแม้เพียงเสี้ยวหนึ่ง แต่นางกลับรู้กลวิธีนำความงามออกมาใช้ ไม่ว่าชายใดได้เห็นจำต้องเหลียวหลังมองไม่วางตา
“อีกไม่กี่วัน ท่านป้าของลูกจะเดินทางมาที่นี่ ถึงเวลาครบรอบวันตายของท่านตากับท่านยายแล้ว”
“ข้าอยากเจอท่านตาสักครั้ง ข้าได้ยินเรื่องเล่าจากท่านแม่ ท่านตาตอนยังหนุ่มนั้น คงหล่อเหลามากแน่เจ้าค่ะ” หวังหลี่หลินยิ้มแป้นเมื่อนึกถึงใบหน้าในรูปวาดที่อยู่ในห้องหนังสือของท่านแม่ ถึงไม่เคยพบเจอกันแค่มองภาพวาดก็เหมือนกับท่านตากำลังมองนางอยู่ทุกครั้งที่ได้จ้องมองคนในภาพวาด
“ท่านตาของลูก เป็นบุรุษรูปงาม ท่านยายก็เช่นกันสวยงดงามเหมือนกับลูกไม่มีผิด” นางยิ้มให้กับบุตรสาว เมื่อนึกย้อนวันวานที่นางอยู่พร้อมหน้ากับครอบครัว
ถึงบิดาจะไปออกรบเนิ่นนานกว่าจะกลับมาหาครอบครัวสักครั้ง แต่ทุกครั้งที่ท่านพ่อกลับมาที่จวนท่านจะคอยดูแลเอาใจใส่ครอบครัว พวกเขาทั้งสี่คนมักชวนกันออกไปตกปลาที่แม่น้ำตีนเขาอยู่เสมอ ปลาที่หามาได้นั้นท่านแม่จะเป็นคนเตรียมอาหารให้ทาน
ตอนนี้ความสุขเหล่านั้นเหลือทิ้งเอาไว้เพียงความทรงจำให้คิดถึง เมื่อวันครบรอบวันตายของบิดาและมารดามาถึง สิ่งที่ลูกหลานทำให้ได้มีเพียงนำสิ่งของไปกราบไว้และรำลึกถึงอยู่ทุกลมหายใจ
หุบเขาแห่งหนานจิงมีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่บนยอดเขา วัดหนานจิงที่มองเห็นจากจวนด้วยสายตายังคงตั้งตระหง่านเพียงมองยังรู้สึกได้ถึงความสงบใจ วัดแห่งนี้หวังหนิงเหมยขึ้นไปกราบไว้ขอพรเป็นประจำ
“สุขภาพของท่านแม่ตอนนี้เป็นเช่นไรหรือเจ้าคะ”
“ช่วงนี้อากาศหนาวเย็น มีไข้บ้างเล็กน้อย เพียงอยู่แต่ห้องก็ไม่เป็นอันใด แม่กลับมาจากวัดเมื่อวานไปขอพรให้ลูกกับพี่ชาย ตอนนี้พี่ของเจ้าคงทำศึกหนักอยู่ที่หน้าด่าน” น้ำเสียงของมารดาช่างบ่งบอกถึงความคิดถึงบุตรชายที่อยู่ห่างแสนไกล
“ท่านป้าจะเดินทางมาที่นี่ ลูกจะขอให้ท่านป้าพาพี่ใหญ่กลับจวนดีไหมเจ้าคะ”
“แม่ไม่อยากให้เจ้าไปรบกวนท่านป้าของเจ้าเลย ตอนนี้ท่านป้าของเจ้าคงมีเรื่องให้ขบคิดมากแล้ว”
“มีเรื่องอะไรกัน?” เสียงเรียกดังมาจากประตูห้องนอน สองแม่ลูกหันมองไปยังผู้มาเยือนโดยมิได้นัดหมายหรือบอกกล่าวก่อนล่วงหน้า รอยยิ้มของหญิงสาวทั้งสองเผยให้เห็นถึงความดีใจ
“ท่านพี่!!”
“ท่านป้า!!”
“น้องพี่ หลานของป้า” โจวฟางหรงเดินเข้ามาสวมกอดน้องสาวและหลานสาวที่นางรักสุดหัวใจ “เป็นเช่นไร สบายดีกันหรือไม่”
“ท่านมาได้เช่นไร กำหนดเดินทางอีกหลายวันมิใช่หรือเจ้าคะ” หวังหนิงเหมยเอ่ยถามด้วยความดีใจ
“ข้าได้ยินข่าวของหลินเอ๋อ จึงรีบเร่งเดินทางมาที่นี่” พระชายาฟางหรงหันมองไปยังหลานสาวที่นั่งอยู่บนเตียง ใบหน้าสวยดูอิดโรยเหมือนกำลังล้มป่วย “เจ้าไม่สบายหรือ” นางลูบมือลงบนศีรษะของหวังหลี่หลินด้วยความห่วงใย
“เจ้าค่ะ หลานเพียงต้องลมหนาว พักผ่อนอีกไม่กี่วันก็หายเจ้าค่ะ” หญิงสาวตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม
“ไม่ต้องห่วง เรื่องที่พ่อของเจ้าไม่ให้กลับจวน ป้าจะพาแม่และเจ้ากลับเข้าเมืองเอง ข้าจะทวงความเป็นธรรมคืนให้กับเจ้าหลินเอ๋อ” พระชายาฟางหรงเอ่ยปลอบใจหลานสาว ก่อนที่หวังหลี่หลินจะยิ้มกว้าง เพราะนางมองเห็นแสงสว่างอยู่ตรงหน้าแล้ว
เมื่อครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าอีกครั้ง เมื่อถึงวัน “จ๊อขี่” ที่เป็นวันครบรอบวันตายของท่านแม่ทัพโจวและภรรยา ข้าวของต่างถูกจัดวางที่หน้าหลุมศพบนภูเขา ที่เป็นสุสานของบรรพบุรุษ
เมื่อพระชายาขึ้นรับตำแหน่งฮ่องเต้จึงได้รับสั่งให้สร้างสุสานแห่งนี้ขึ้นมา เพื่อเป็นการสรรเสริญเกียรติยศให้แก่แม่ทัพโจวและตระกูลโจวเช่นเดียวกัน
หิมะสีขาวโปรยปรายลงมาปกคลุมไปทุกหย่อมหญ้าให้มีเพียงสีเดียว ความหนาวเย็นไม่ได้ทำให้ร่างของผู้คนที่ยืนอยู่หน้าสุสานเปลี่ยนใจกลับที่พักอาศัยแต่อย่างใด เมื่อกราบไว้สุสานเสร็จสิ้น เหลือเพียงหญิงสาวสองคนเท่านั้นที่ยืนมองป้ายชื่อของแม่ทัพโจวและภรรยา
‘เมื่อเหมันต์ผ่านพ้น พ่อจะพาพวกเจ้าไปตกปลาที่แม่น้ำตีนเขา’
คำพูดของแม่ทัพโจวดังแว่วอยู่ในความทรงจำของบุตรสาวทั้งสอง สิ้นแล้วความสุขที่เคยผ่านมาเหลือเพียงกาลเวลาในอดีตเท่านั้นให้ได้หวนคิดถึง…