บทที่ ๓ บุรุษรูปงาม
“คุณหนู กลับเถอะเจ้าค่ะร่างกายของท่านยังไม่แข็งแรงออกมาตากลมหนาวเช่นนี้จะทำให้ล้มป่วยนะเจ้าคะ” สาวใช้หนิงเอ๋อเอ่ยออกมาด้วยความเป็นห่วงสองเท้ายังคงย่ำเดินตามหลังของหวังหลี่หลิน
“เงียบก่อน ข้าสัญญาว่าจับกระต่ายตัวนั้นได้ข้าจะกลับ” สายตาของนางจ้องมองกระต่ายป่าน้อยตัวอ้วนปุกปุยตรงหน้าด้วยสายตาเป็นประกาย
นานเพียงใดแล้วนะที่นางไม่ได้ไล่จับกระต่ายป่าเช่นนี้ ร่างกายที่อ่อนแอตอนนี้กำลังหายเป็นปกติแล้ว อยู่แต่ในจวนมาหลายวันทำให้หวังหลี่หลินอึดอัดอยากออกมาเปิดหูเปิดตาข้างนอกบ้าง หลังจากที่กราบไว้สุสานเสร็จจึงขอมารดาขึ้นมาไหว้พระขอพรกับสาวใช้เพียงสองคน
“ถ้าคุณหนูอยากได้กระต่ายเดี๋ยวข้าจะไปซื้อให้ที่ตลาดเจ้าค่ะ ตรงนี้มีแต่ป่าเดี๋ยวคุณหนูเป็นอันตรายนะเจ้าคะ” สาวใช้ยังไม่เลิกล้มความตั้งใจที่จะให้หวังหลี่หลินกลับจวนในตอนนี้
“ข้ายังไม่อยากกลับ เจ้ากลับไปก่อน” นางไม่ได้สนใจคำพูดของสาวใช้ ยังคงวิ่งตามจับกระต่ายป่าด้วยความสนุกสนาน “หนิงเอ๋อช่วยข้าทีเร็วเข้า จะจับมันได้แล้ว”
เมื่อหนิงเอ๋อเห็นเป็นเช่นนั้นว่าไม่มีทางที่คุณหนูของนางจะยอมกลับบ้าน มีวิธีเดียวคงต้องยอมให้ความร่วมมือกับการไล่จับกระต่ายป่าเสียแล้ว หญิงสาวทั้งสองวิ่งอ้อมไปมาอยู่พักใหญ่ จนในที่สุด…
“ข้าจับได้แล้ว น่ารักไหมหนิงเอ๋อ” หวังหลี่หลินยิ้มแก้มปริอุทานออกมาด้วยความดีใจ
“คุณหนูระวังนะเจ้าคะ ข้างหลังเป็นธารน้ำเจ้าค่ะ”
ยังไม่ทันขาดคำ ร่างของหวังหลี่หลินได้ผลัดตกลงไปในธารน้ำด้านล่าง เสียงแตกกระจายของน้ำทำให้ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บริเวณนั้นหันมองด้วยความสนใจ ก่อนร่างของหญิงสาวจะโผล่พ้นขึ้นมาจากน้ำ
“คุณหนู!! ข้าจะลงไปช่วยเจ้าคะรอข้าก่อน” สาวใช้มีสีหน้าตกใจกระวนกระวาย
หวังหลี่หลินยืนขึ้นจากธารน้ำที่สูงเพียงช่วงเอวของนางเพียงเท่านั้น ก่อนที่จะมองเห็นชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนโขดหิน ทันใดนั้นสายตาสองคู่จึงสบประสานกันอยู่นาน ต่างฝ่ายต่างให้ความสนใจซึ่งกันและกัน
แต่ก็ไร้วี่แววว่าชายหนุ่มผู้นั้นจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือนางที่กำลังเปียกไปทั้งตัว สาวใช้ที่ปีนลงมายังด้านล่างได้รีบนำพาคุณหนูขึ้นมาจากธารน้ำในทันที หวังหลี่หลินยังคงมองไปยังชายหนุ่มผู้นั้น
ช่างนึกเจ็บใจนักที่บุรุษคนนั้นเมินเฉยต่อความเป็นความตายที่เห็นอยู่ตรงหน้า หวังหลี่หลินรู้สึกหงุดหงิดใจ ก่อนที่นางจะเดินตรงไปยังชายหนุ่มที่นั่งเงียบบนโขดหินใหญ่
“เจ้าเป็นใคร ไม่รู้หรือไงว่าลำธารที่นี่ไม่มีปลา ถ้าจะจับปลาก็ไปที่ตีนเขา” หญิงสาวเอ่ยถามพร้อมบอกกล่าวด้วยความโมโหเล็กน้อย แต่ก็ไร้เสียงตอบกลับจากเขาผู้นี้
เมื่อหญิงสาวเห็นเช่นนั้นจึงได้สะบัดใบหน้าสวย แล้วเดินกลับจวนในทันที ร่างกายที่บอบบางหนาวเหน็บเกินกว่าจะก้าวเท้าหลงจากเขา ทันใดนั้นเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มถูกคลุมมาบนร่างกายของหวังหลี่หลิน
จ้าวหนิงจิงถอดเสื้อคลุมของตนเองคลุมให้กับนาง ก่อนเฟิงหลงจะปรากฏตัวแล้วยื่นส่งเสื้อคลุมของตนเองให้กับท่านชายของเขา แต่กลับได้รับการปฏิเสธ
“ข้าไม่ต้องการเสื้อของเจ้า ถ้าไม่คิดจะช่วยตั้งแต่ครั้งแรก ก็ไม่ควรช่วยเหลือ” นางส่งคืนเสื้อคลุมให้แก่ชายหนุ่มหน้านิ่ง แต่เขากลับไม่รับคืนพร้อมยังเดินหนีห่างออกไป
“คุณหนูท่านสวมเอาไว้เถอะเจ้าค่ะ กว่าจะเดินลงเขาไปได้ อย่างน้อยๆ ท่านมีเสื้อคลุมตัวนี้ยังดีกว่าไม่มีเลยนะเจ้าคะ ลำพังเสื้อคลุมของข้าคงไม่พอกันลมหนาวได้”
“เจ้าก็เอาเสื้อคลุมคืนกลับไป”
“คุณหนูสวมใส่เอาไว้เถอะเจ้าค่ะ ข้าไม่หนาวเจ้าค่ะ” มือเล็กของสาวใช้สั่นเท่าและแดงเพราะลมหนาว หวังหลี่หลินมองเห็นเช่นนั้น จึงได้ถอดเสื้อคลุมที่หนิงเอ๋อถอดมาให้สวมใส่ส่งคืนเจ้าของตามเดิม
“ข้าต้องการเพียงเสื้อคลุมอันเดียวรีบเดินเร็วเข้า” สองเท้าของหวังหลี่หลินก้าวเดินลงจากเขา เพื่อไปขึ้นรถม้าที่จอดรออยู่ที่ตีนเขาด้านล่าง “หนิงเอ๋อ ข้าไม่ไหวแล้ว..หนาวจะตายอยู่แล้ว”
ร่างกายบางหนาวสั่นพร้อมทั้งขาทั้งสองข้างที่ไม่ยอมขยับก้าวเดิน ร่างกายที่เปียกชุ่มไปทั้งตัวในตอนนี้ ไม่ต่างจากเอาน้ำแข็งมาวางทับเอาไว้บนร่างกาย ความเหน็บชาและหนาวเย็น ทำให้สัมผัสของนางด้านชาจนไม่สามารถขยับร่างกายได้
“คุณหนู!! ท่านอดทนหน่อยเจ้าค่ะ ฮื่อๆๆๆ คุณหนูข้าจะพาท่านกลับจวน” หนิงเอ๋อร้องไห้ออกมาเสียงดัง นางพยุงร่างของหวังหลี่หลินที่ล้มพับลงไปที่พื้นขึ้นใส่หลังของนาง
แต่ไม่ทันกระทำเช่นนั้น ร่างของหวังหลี่หลินได้ถูกช่วงชิงไปด้วยมือของบุรุษชายเมื่อครู่ที่ส่งเสื้อคลุมมาให้นางได้สวมใส่ วงแขนอันแข็งแรงตวัดโอบอุ้มขึ้นแนบอกเขาออกเดินอย่างไม่รีรอลงไปยังตีนเขาด้านล่าง
หนิงเอ๋อทำได้เพียงวิ่งตามหลังของชายทั้งสองให้ทัน แต่นางไม่ทันระวังสะดุดล้ม ดีที่เฟิงหลงยืนอยู่ไม่ห่างจึงได้คว้าแขนของนางเอาไว้ได้
“ขอบคุณท่านทั้งสองมากเจ้าค่ะ” หนิงเอ๋อก้มศีรษะให้ชายทั้งสองเล็กน้อยก่อนที่จะตามขึ้นมานั่งบนรถม้า ที่ตอนนี้มีหวังหลี่หลินอยู่ด้านใน ด้วยความช่วยเหลือจากชายหนุ่มทั้งสองคน
“ท่านชายรีบกลับจวนเถิดขอรับ เสื้อผ้าของท่านเปียกเช่นนี้เดี๋ยวจะทำให้ไม่สบายนะขอรับ” เฟิงหลงออกความคิดเห็น จ้าวหนิงจิงไม่ตอบกลับคำใดแต่สิ่งที่เขามุ่งหน้าไปก็คือจวนจ้าวนั้นเอง
หวังหลี่หลินฟื้นคืนสติอีกครั้งเมื่อนอนหลับไปถึงสองยาม มารดาและป้าต่างนั่งอยู่ไม่ห่างด้วยความเป็นห่วง เมื่อมองเห็นหญิงสาวที่หลับตื่นขึ้นทำให้หญิงวัยกลางคนถึงกลับยิ้มออกด้วยความดีใจ
“หลินเอ๋อ เป็นเช่นไร”
“ท่านแม่…ข้ากลับจวนได้เช่นไรเจ้าคะ” ทันทีที่นางตื่น คำถามแรกก็ได้กล่าวออกมา “แล้วหนิงเอ๋อเป็นเช่นไรเจ้าคะ”
“นางไม่เป็นอะไร ลูกห่วงตัวเองก่อนเถอะ ร่างกายต้องลมหนาวเจ้าต้องรักษาสุขภาพให้มาก ท่านหมอให้เจ้าพักผ่อนหลายวันจนกว่าอาการจะหายเป็นปกติค่อยออกไปนอกจวน”
“อย่าทำสีหน้าเช่นนั้นใส่แม่ของเจ้า รู้ไหมว่าพวกเราเป็นห่วงหลานแค่ไหน เมื่อหายดีแล้วค่อยออกไปเที่ยวเล่น” พระชายาฟางหรงเอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวล
“เจ้าค่ะ ข้าไม่เป็นอะไรแล้วเจ้าค่ะ” นางลุกขึ้นนั่งร่างกายดูเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติและยังดูแข็งแรง ต่างจากเมื่อหลายวันก่อนที่ยังพอมีอาการเหนื่อยล้าบ้างแต่นี่กลับไม่มีอาการเหล่านั้น
“ถ้าเช่นนั้นแม่กับป้าคงไม่รบกวนเจ้าพักผ่อน เดี๋ยวแม่จะให้หนิงเอ๋อนำน้ำแกงเนื้อมาให้”
“ขอบคุณท่านแม่กับท่านป้ามากเจ้าค่ะ” หวังหลี่หลินยิ้มแก้มปริ ส่งทั้งสองเดินออกจากห้องนอน เพียงไม่นานสาวใช้ข้างกายก็เดินเข้ามาภายในห้อง
ในมือของนางถือชามขนาดใหญ่ตั้งลงบนโต๊ะกลางห้อง เสียงถ้วยชามดังตามมาอีกครั้ง หวังหลี่หลินได้แต่นั่งมองการกระทำของหนิงเอ๋ออยู่เงียบๆ
“ข้านำน้ำแกงเนื้อมาให้เจ้าค่ะ คุณหนูท่านยังไม่ได้ทานอะไร มาทานน้ำแกงสักหน่อย เดี๋ยวข้าจะไปนำยาที่ต้มเอาไว้มาให้เจ้าค่ะ” สาวใช้พูดจบจึงเดินออกจากห้องไป
หวังหลี่หลินลุกลงจากเตียงน้ำแกงเนื้อหอมชวนให้น้ำลายไหล นางไม่รอช้ารีบตักน้ำแกงเนื้อขึ้นดื่ม รสชาติที่ไม่เคยได้ลิ้มลองน้ำแกงนี้มานาน คงเป็นท่านแม่ที่ลงมือเข้าครัวเอง ยิ่งเป็นรสมือของมารดายิ่งทำให้นางอร่อยกับน้ำแกงเนื้อตรงหน้า
“ยาเจ้าค่ะ” หนิงเอ๋อวางถ้วยยาลงบนโต๊ะ “อร่อยไหมเจ้าคะ ฮูหยินใหญ่เข้าครัวเองเลยนะเจ้าคะ”
“อร่อยมาก ฝีมือท่านแม่ต้องอร่อยมากอยู่แล้ว” นางฉีกยิ้ม “ว่าแต่พวกเรากลับจวนได้เช่นไร”
“ท่านชายที่ให้เสื้อคลุมคุณหนูช่วยเอาไว้เจ้าค่ะ ท่านชายคนนั้นเหมือนพระเอกขี่ม้าขาวเข้ามาอุ้มคุณหนูเดินลงมาจากเขาจนถึงรถม้าเชียวนะเจ้าคะ” สาวใช้หนิงเอ๋อพูดจ้อ บรรยายถึงฉากตอนนั้นดั่งเป็นฉากละครรักโรแมนติกที่หวานซึ่ง ทำให้หวังหลี่หลินที่ได้ยินถึงกับสำลักน้ำแกงเนื้อออกมา
“เจ้าบอกว่าชายผู้นั้นอุ้มข้ามาจนถึงรถม้า?”
“ใช้เจ้าค่ะ ความหล่อของเขาไม่เป็นสองรองจากใครเลยเจ้าค่ะ คงเป็นท่านชายที่ผ่านทางมาแน่เลยเจ้าค่ะ”
“เจ้ารู้ได้เช่นไรว่าเขาผู้นั้นเป็นท่านชาย อาจเป็นนักพเนจรเดินทางไปเรื่อยๆ ก็เป็นได้” หวังหลี่หลินถามขึ้นด้วยความอยากรู้ เพราะน้ำเสียงของหนิงเอ๋อเชื่อสนิทว่าชายผู้นั้นเป็นชายหนุ่มที่มีฐานะ
“ข้าได้ยินผู้ชายอีกคนเรียกเจ้าค่ะ ดูผู้ชายคนนั้นถ่อมตนเองเป็นอย่างมากเวลาที่คุยกับชายผู้นั้นเจ้าค่ะ” สาวใช้บอกสิ่งที่ตนเองได้ยินมากับหู นางเดาไม่ผิดเป็นแน่ ดูจากผิวพรรณอันขาวผ่องไร้ซึ่งรอยดำนั้นแล้ว หนิงเอ๋อยิ่งมั่นใจว่าชายหนุ่มต้องเป็นคนที่มีฐานะอย่างแน่นอน
“เจ้าได้ถามเขาหรือไม่ ว่าเขาพักอยู่ที่ใด” หวังหลี่หลินถามต่อ เมื่อเขาได้ช่วยชีวิตของนางเอาไว้อย่างน้อยๆ ก็อยากไปเจอและขอบคุณเขาให้ได้เพื่อไม่ให้ติดค้างหนี้น้ำใจกัน
“ข้าลืมถามเจ้าค่ะ ข้าเอาแต่เป็นห่วงคุณหนู ข้าเลยไม่ได้สอบถามว่าพวกเขาพักอยู่ที่ใด”
“ช่างเถอะ หากมีบุญวาสนาคงได้พานพบกันอีก หนี้บุญคุณชดใช้ในอีกสิบปีก็ยังไม่สาย” หวังหลี่หลินหันมาสนใจน้ำแกงเนื้อในชามอีกครั้ง หากบุญนำพา วาสนาหนุนส่ง พวกเขาคงได้มาพบเจอกันอีกครั้ง