บทที่ 5
"พวกท่านเป็นใคร"
หญิงสาวเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่าหลังจากพึ่งฟื้นคืนสติหลังจากนอนไม่ได้สติมาหลายวัน ดวงตาคู่สวยมองหญิงวัยกลางคนที่กำลังมองมาที่นางด้วยสายตายากคาดเดา
"ฟื้นแล้วหรือ รู้หรือไม่เจ้าสลบไปนานแค่ไหน"
หญิงวัยกลางคนเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มก่อนจะเดินไปรินน้ำถือมาส่งให้คนตรงหน้า หญิงสาวยกยิ้มเป็นมิตรก่อนจะรับน้ำมาดื่ม
"ข้าอยู่ที่ไหนหรือเจ้าคะ เหตุใดข้าถึงจำสิ่งใดไม่ได้เลย"
หลังจากดื่มเสร็จแล้วหญิงสาวก่อนเอ่ยถามออกไป นางรู้สึกปวดศีรษะจนแทบระเบิดอีกทั้งในหัวของนางตอนนี้ไม่มีความทรงจำอะไรอยู่เลย
"ระ...หรูหลัน"
"หรูหลัน ชื่อข้าหรือ"
หญิงวัยกลางคนเม้มปากแน่นพลางหันไปมองผู้เป็นสามีที่กำลังยืนมองเหตุการณ์อยู่ พวกเขาสบตากันราวกับต้องการสื่อบางอย่าง ก่อนผู้เป็นสามีจะพยักหน้าเบา ๆ
"ใช่เจ้าชื่อ ซูหรูหลันข้าคือท่านแม่ของเจ้าส่วนที่ยืนอยู่ตรงนั้นคือบิดาของเจ้า"
ซูหรูหลันที่ได้ฟังเช่นนั้นก็พยักหน้ารับรู้ ก่อนผู้เป็นมารดาจะเอ่ยเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับนางปรากฏว่านางเป็นหญิงสาวชาวบ้านที่ต้องการดึงดันจะแต่งงานกับบุรุษที่นางรัก แต่มารดาและบิดาของนางนั้นขัดขวาง ซูหรูหลันจึงเสียใจตัดสินใจกระโดดน้ำฆ่าตัวตายทำให้หัวกระแทกกับก้อนหิน โชคดีที่มีคนพบเห็นและช่วยไว้ได้ทัน
"ที่เจ้าจำอะไรไม่ได้ท่านหมอได้บอกแม่ไว้แล้วว่าเพราะศีรษะของเจ้าถูกก้อนหินกระแทกอย่างแรงจึงทำให้ความจำเสื่อม"
"........"
สตรีผู้เป็นมารดาเอ่ยออกมาทั้งน้ำตาก่อนจะยกมือลูบที่ใบหน้าของบุตรสาวน้ำตาคลอ ซูหรูหลันมองท่าทางเช่นนั้นของผู้เป็นมารดาก็รู้สึกสงสารและผิดหวังในตัวเองที่ในอดีตเป็นสตรีที่ดื้อด้านเช่นนี้
"ในเมื่อเจ้ารักในตัวของคุณชายเวินถึงเพียงนั้น ข้าและบิดาของเจ้าก็จะไม่ขัดขว้างเจ้าอีกแล้ว"
"ท่านแม่ข้าไม่ดื้อรั้นอีกแล้ว ข้าไม่แต่งแล้วก็ได้เจ้าค่ะ"
"ไม่ได้!!!"
ซูหรูหลันสะดุ้งตัวด้วยความตกใจ เมื่อบุรุษผู้เป็นบิดาตวาดนางเสียงแข็งราวกับคำพูดของนางเมื่อครู่ทำให้เขาไม่พอใจ
"ไม่ใช่ว่าไม่อยากให้ข้าแต่งงานหรือเจ้าคะ"
ผู้เป็นมารดาหันไปมองสามีด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะหันมามองซูหรูหลันที่ตอนนี้แววตาเต็มไปด้วยคำถามและความสับสน ริมฝีปากบางยกยิ้มก่อนจะจับมือของซูหรูหลัน
"หรูหลันเด็กดีพ่อของเจ้าคงกังวลว่าเจ้าจะเสียใจจึงได้พูดเช่นนั้น อีกอย่างในตอนที่เจ้าสลบไปพ่อกับแม่ก็ได้รับสินสอดมาแล้วเหลือเพียงรอเจ้าหายดีและส่งตัวไปเมืองฉินเท่านั้น"
".........."
"รู้หรือไม่แม่ต้องหว่านล้อมพ่อเจ้ามาเพียงใดกว่าเขาจะยินยอมให้เจ้าแต่งงานกับบุรุษที่เจ้ารัก เด็กดีเจ้าเองก็เลยวัยออกเรือนมานานแล้วถึงอย่างไรคุณชายเวินก็เป็นคนที่เจ้ารอมาตลอด"
"........."
"การที่สตรีได้แต่งกับบุรุษที่รักย่อมเป็นเรื่องดีในชีวิต แม่หวังเพียงให้เจ้าได้มีที่พึ่งพิงยามแม่และพ่อของเจ้าไม่อยู่แล้ว"
ซูหรูหลันมองผู้เป็นมารดาที่เอ่ยคำพูดออกมาน้ำตาคลอ น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความจริงใจความสงสัยที่เคยมีในใจตอนนี้ได้เลือนหายไปหมดสิ้น นางจับมือของมารดาก่อนจะพยักหน้ารับเบา ๆ ในใจเชื่อว่าสิ่งที่คนตรงหน้าพูดมาย่อมเต็มไปด้วยความหวังดีกับนาง
"หรูหลันเด็กดี เช่นนั้นเจ้านอนพักอีกหน่อยเถอะแม่และพ่อของเจ้าจะออกไปข้างนอกสักหน่อย"
"เจ้าค่ะ"
"เจ้าเองก็อย่าออกไปด้านนอกเล่า ตอนนี้มีข่าวสตรีถูกลักพาตัวอยู่ในเมืองแม่เป็นห่วงไม่อยากให้เจ้าเป็นหนึ่งในนั้น"
"เจ้าค่ะ หรูหลันจะไม่ออกไปไหนตามคำสั่งท่านแม่"
ซูหรูหลันพูดออกมาด้วยรอยยิ้มมองมารดาและบิดาที่เดินออกไปจากห้อง ทันทีที่ประตูปิดลงดวงตาคู่สวยก็กวาดสายตามองไปรอบ ๆ เพราะนางความจำเสื่อมหรือถึงได้รู้สึกไม่คุ้นเคยสถานที่ภายในห้องนี้เลยสักนิด
"คุณชายเวินหรือ เป็นคนเช่นไรถึงทำให้ข้ารักปักใจถึงขนาดยอมตายเพื่อเขาได้"
เวลาล่วงเลยมาหลายวันด้านซิวหมิงหรือองค์ชายสองที่ได้รับข่าวว่าหม่าเฟิงหลันผู้เป็นสตรีที่เขารักมีอันตรายไม่รู้เป็นตายก็รีบควบอาชาคู่ใจออกจากเมืองหลวงมาที่เมืองโจวด้วยใจที่ร้อนรน เขาใช้เวลาเพียงสิบวันเท่านั้นในการเดินทาง
"แม่ทัพหม่าอยู่ที่ใด"
ซิวหมิงเอ่ยถามรองแม่ทัพเผิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยน้ำเสียงเย็นจนน่าขนลุก บรรยากาศรอบตัวของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยจิตสังหารเมื่อเห็นว่าคนที่อยู่ตรงหน้ายังปิดปากเงียบมือหน้าก็ชักกระบี่คู่ใจออกมาจ่อที่ลำคอรองแม่ทัพเผิง
"ข้าถามว่านางอยู่ที่ใด!!!"
"ตอนนี้พวกเรายังไม่พบตัวของท่านแม่ทัพพ่ะย่ะค่ะ"
ซิวหมิงที่ได้ฟังคำตอบก็กำกระบี่ในมือแน่น มือของเขาสั่นเทาด้วยความโกรธอยากจะสังหารกองทหารที่อยู่ตรงหน้าให้สิ้นโทษฐานที่ปกป้องนางไม่ได้ แต่ก็รู้ดีว่าถ้าทำเช่นนั้นหากหม่าเฟิงหลันกลับมาคงเกลียดเขาไปตลอดชีวิตของนาง
เพราะสำหรับนางทหารไร้ประโยชน์ที่อยู่ตรงหน้าเขาล้วนคือครอบครัว
"เพิ่มกำลังออกตามหาให้ทั่วเมือง ตรวจสอบรถม้าและคนที่เดินทางเข้าออกเมืองโจวให้ละเอียด"
"พ่ะย่ะค่ะ"
ซิวหมิงเก็บกระบี่เข้าไปในฝักแววตาของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยความกังวลเมื่อนึกถึงใบหน้าของสตรีที่เขารัก
สาเหตุที่ซิวหมิงสั่งให้ตรวจสอบรถม้าและคนที่เข้าออกหน้าประตูเมืองโจวนั่นก็เพราะในใจของเขาตอนนี้เกิดความกลัวขึ้นมาว่าหากการที่หม่าเฟิงหลันหายตัวไปคือความตรงการของนางที่ต้องการหนีจากเขาเล่า
ไม่ข้าไม่มีทางยอมถึงอย่างไรก็ต้องตามหานางให้เจอ
หลังจากคำสั่งของซิวหมิงผู้เป็นองค์ชายสองการตรวจตราในเมืองโจวก็เข้มงวดขึ้น รถม้าหรือผู้คนที่ต้องการออกจากเมืองต้องถูกตรวจตราโดยละเอียด
"พวกเจ้าจะเดินทางไปที่ใดเหตุใดขนของมากมายเพียงนี้"
"เรียนใต้เท้าบุตรสาวข้าจะแต่งไปเมืองฉินเจ้าค่ะ เดี๋ยวต้องเดินทางอีกหลายวันท่านช่วยเห็นใจปล่อยพวกเราไปได้หรือไม่เจ้าคะ"
หญิงวัยกลางคนพูดออกมาด้วยรอยยิ้มก่อนจะยัดถุงเงินใส่ในมือของทหารคุมประตูเมืองด้วยรอยยิ้ม ซิวหมิงที่เห็นเหตุการณ์รู้สึกสงสัยจึงลงจากอาชาเดินตรงไปที่รถม้าตรงหน้า
"รองแม่ทัพเผิง"
"พ่ะย่ะค่ะ"
"ค้นรถม้าโดยละเอียด"
"พ่ะย่ะค่ะ"
หญิงวัยกลางคนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ร้องห้ามทั้งน้ำตาแต่ก็ไม่เป็นผลทหารที่ได้รับคำสั่งเริ่มตรวจค้นรถม้า ซิวหมิงที่เห็นคนบนรถม้าไม่ได้ลงมาเขาจึงเปิดม่านหน้าต่างบนรถม้าพบสตรีสวมชุดเจ้าสาวสีแดงสวมผ้าคลุมหน้านั่งตัวสั่นอยู่
"แม่นางขอเชิญท่านลงมาจากรถม้าด้วยข้าจำเป็นต้องขึ้นไปตรวจรถม้าด้านใน"
ซิวหมิงพูดออกมาเสียงเย็นแม้จะรู้ว่านั่นเป็นสิ่งไร้มารยาทแต่เขารู้สึกว่าบนรถม้านี่มีสิ่งน่าสงสัย ราวกับไม่อาจปล่อยให้รถม้าคันนี้ออกไปนอกเมืองได้
ซูหรูหลันที่นั่งอยู่บนรถม้าได้ยินคำสั่งก็กุมมือของนางแน่นพยายามข่มความกลัวและกังวลในใจ ก่อนจะก้าวเท้าเดินลงจากรถม้าเพราะตอนนี้นางสวมผ้าคลุมหน้าอยู่จึงมองไม่เห็นว่าด้านนอกเกิดอะไรขึ้นบ้าง รับรู้เพียงว่ามีคนของทางการกำลังตรวจค้นรถม้าของนางอยู่
"หรูหลันเจ้าไม่ต้องกลัวแม่อยู่นี่"
ผู้เป็นมารดาเอ่ยออกมาไม่เต็มเสียงนักมือของนางสั่นเทาราวกับหวาดกลัวบางอย่างแต่ก็ยังพยายามฝืนยิ้มออกมา
เวลาผ่านไปการตรวจค้นก็จบลงและไม่พบสิ่งผิดปกติบนรถม้าแต่อย่างใด ซิวหมิงขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจสัญชาตญาณของเขาแม่นยำมาตลอดไม่มีทางผิดพลาด พลางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก่อนจะหยุดสายตาที่สตรีที่สวมชุดเจ้าสาวสีแดงที่ยืนอยู่ไม่ไกล
ร่างสูงก้าวเท้าเดินลงจากรถม้าก่อนจะก้าวเดินตรงเข้าไปหาเจ้าสาวที่ยืนอยู่ เขาหยุดฝีเท้าลงตรงหน้าของนางก่อนมือหนาจะเอื้อมมือไปด้านหน้าหมายจะจับผ้าคลุมหน้า
"นี่ท่านจะทำอะไร!!!"
หญิงวัยกลางคนเอ่ยออกมาด้วยความตกใจก่อนจะรีบดึงเจ้าสาวผู้เป็นบุตรสาวของนางมาซ่อนไว้ด้านหลังทันที
"ผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวมีความสำคัญอย่างไรท่านไม่รู้หรือ มีเพียงเจ้าบ่าวที่สามารถเปิดได้"
"ข้าเพียงสงสัยบางอย่างเท่านั้น ขอให้แม่นางเปิดผ้าคลุมหน้าให้ข้าดูสักครู่"
"ไม่ได้ข้าไม่ยินยอม!!!"
รองแม่ทัพเผิงที่มองเหตุการณ์อยู่ก็รู้สึกว่าครั้งนี้องค์ชายสองทำเกินไปจริง ๆ เขาจึงก้าวเท้าเดินเข้าไปหมายจะห้าม
"องค์ชายกระหม่อมว่าพวกเราเสียมารยาทต่อนางมามากแล้ว อย่าทำให้วันดีดีของนางเป็นวันที่โชคร้ายเลยพ่ะย่ะค่ะ"
"เจ้ากล้าสั่งสอนข้า? หากสตรีที่ยืนอยู่ตรงนั้นคือแม่ทัพหม่าเล่า"
"......."
ซูหรูหลันในตอนนี้กำลังรู้สึกแปลกใจเพราะนางได้กลิ่นหอมที่นางรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาดแม้มันจะเป็นกลิ่นจาง ๆ แต่นางก็รู้สึกว่าคุ้นเคย แต่เป็นเพราะคำสั่งของมารดาที่สั่งกับนางก่อนก่อนขึ้นรถม้าว่าห้ามเอ่ยวาจาใดทำให้ซูหรูหลันเลือกที่จะเงียบและเก็บความสงสัยไว้ในใจ
"เช่นนั้นหากข้าให้ท่านเปิดผ้าคลุมหน้าบุตรสาวข้า ท่านจะยินยอมแต่งกับนางแทนเจ้าบ่าวหรือไม่เล่า"
ซูหรูหลันชะงักทันทีเมื่อได้ฟังคำพูดของผู้เป็นมารดา ให้ข้าแต่งกับผู้อื่นหรือไม่ใช่ท่านแม่เคยบอกว่าอยากให้ข้าแต่งกับคนที่รักหรือ
"ว่าอย่างไรเล่าท่านเป็นองค์ชายใช่หรือไม่เช่นนั้นแค่พูดว่าจะรับผิดชอบบุตรสาวข้าแต่งนางเป็นชายา ข้าก็จะยินยอมให้ท่านเป็นคนเปิดผ้าคลุมหน้า"
ซิวหมิงที่เห็นคนตรงหน้าแววตาเต็มไปด้วยความละโมบและเจ้าเล่ห์ก็กำมือแน่น เขาเชื่อมั่นในสัญชาตญาณของเขาแต่อีกใจก็รู้สึกลังเลเพราะหากไม่ใช่หม่าเฟิงหลันเขาต้องแต่งสตรีผู้นี้เขาตำหนัก ซึ่งเขาไม่มีทางยินยอมคนผู้เดียวที่เขาจะแต่งเข้าตำหนักคือหม่าเฟิงหลันเท่านั้น
"ปล่อยพวกนางไป"
"พ่ะย่ะค่ะ!!"
ซิวหมิงยืนมองรถม้าเคลื่อนตัวออกไปจากประตูเมืองด้วยความรู้สึกไม่ดีนัก มือหนากำเข้าหากันแน่นเขาไม่ชอบความรู้สึกเช่นนี้เลยรู้สึกเหมือนกำลังทำบางอย่างหลุดมือไป..
