บทที่ 3
วังหลวง
หม่าเฟิงหลันในตอนนี้มีสีหน้าไม่ดีนัก หลังจากนางจบการประชุมในท้องพระโรงนางก็เดินหน้าเศร้าออกมาไม่พูดคุยกับผู้ใดราวกับมีเรื่องมากมายในใจ เหล่าขุนนางที่มักเห็นการถกเถียงขององค์รัชทายาทและแม่ทัพหม่าในท้องพระโรงยังรู้สึกแปลกใจที่วันนี้ แม่ทัพหม่าผู้ไม่เกรงกลัวต่ออำนาจขององครัชทายาทสงบปากไม่เอ่ยอะไรเลยตลอดการประชุม
องค์รัชทายาทมองแผ่นหลังของสตรีที่คุ้นเคย แม้จะรู้สึกแปลกใจที่สตรีตรงหน้าไม่เอ่ยอะไรคัดค้านเค้าในที่ประชุมเช่นทุกที น่าแปลกใจจนกลัวว่าสตรีปากกล้าตรงหน้ากำลังวางแผนการบางอย่างอยู่หรือไม่
"แม่ทัพหม่า เหตุใดถึงทำหน้าเศร้าเช่นนั้นเล่าหรือว่าเจ้ายังหาบุรุษมาแต่งงานด้วยไม่ได้"
"เพคะ"
"เช่นนั้นหรือ เจ้ายอมรับแล้วสินะว่าเจ้าโกหกเรื่องมีบุรุษมาสู่ขอมากมาย"
"เพคะ"
องค์รัชทายาทที่หวังว่าสตรีตรงหน้าจะถกเถียงกับตนด้วยวาจาเผ็ดร้อนเช่นทุกทีก็ชะงักเขาขมวดคิ้วมองคนตรงหน้าด้วยความสงสัย เหตุใดวันนี้สตรีประหลาดเช่นนางแปลกไปเช่นนี้
"แม่ทัพหม่า เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า"
หม่าเฟิงหลันมองไปที่องค์รัชทายาทที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยแววตารู้สึกผิดและกังวลพลางนึกขอโทษเขาอยู่ในใจ
'ขอโทษนะ เมื่อคืนข้าขืนใจบุตรชายของเจ้า'
หากจะให้พูดเช่นนี้ออกไปก็รู้สึกละอายจึงทำได้เพียงคิดอยู่ในใจไม่กล้าที่จะพูดออกไป นางไม่รู้เลยว่าควรทำเช่นไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดี ไม่แน่ว่าอาจจะต้องไปขอคำปรึกษาจากลู่หนานผิงก่อน
"เมื่อคืนเจ้าดื่มสุรามากเกินไปหรือ"
"พะ...พระองค์ระ...รู้ได้ยังไงเพคะ"
"ตกใจอะไร สีหน้าของเจ้าไม่ดีนักราวกับคนเมาที่พึ่งฟื้นตัว"
"ปะ...เป็นเช่นนั้นเพคะ"
น้ำเสียงลังเลของหม่าเฟิงหลันทำให้องค์รัชทายาทที่ได้ฟังขมวดคิ้วทันที เขามองคนตรงหน้าด้วยความสนใจเพราะไม่บ่อยนักที่จะเห็นคู่อริของตนมีสีหน้าลังเลเช่นนี้
"มะ...หม่อมฉันขอตัวก่อนนะเพคะ"
หม่าเฟิงหลันกล่าวลาก่อนจะเดินออกมา นางคิดว่าหากยืนอยู่ตรงนั้นนานกว่านี้ไม่แน่ว่านางอาจตัดสินใจสารภาพไปจริง ๆ หม่าเฟิงหลันจึงตัดสินใจเดินทางออกจากวังไปที่จวนตระกูลลู่เพื่อปรึกษาสหายรักกับเรื่องที่เกิดขึ้นทันที
แต่ใครจะรู้ว่าการเล่าเรื่องทุกอย่างต่อหน้าคนที่รู้จักมันจะยากเย็นเช่นนี้ หม่าเฟิงหลันในตอนนี้นั่งอยู่ที่ศาลาริมน้ำเบื้องหน้าของนางคือลู่หนานผิงที่กำลังรอฟังเรื่องราวของนางอยู่
"เฟิงหลัน ข้าไม่เคยเห็นเจ้ามีท่าทางลังเลเช่นนี้เลย"
"หนานผิงข้าเพียงแค่....."
"เล่ามาเถอะ ต่อให้เจ้าทำผิดแค่ไหนข้าก็จะช่วยเจ้าแก้ปัญหาเอง"
"คือว่าข้า...ข้า...เมื่อคืนข้า..."
"เจ้าทำไม???"
"ท่านแม่ทัพหม่าขอรับ!!!!"
ยังไม่ทันจะพูดจบประโยครองแม่ทัพเผิงที่กำลังวิ่งเข้ามาด้วยท่าทีร้อนรนในมือของเขาถือกระดาษบางอย่างไว้แน่น หม่าเฟิงหลันกลืนคำพูดที่เตรียมมาทั้งหมดลงไปในลำคอก่อนจะหันไปสนใจรองแม่ทัพเผิง
"ท่านแม่ทัพหม่าพวกมันเคลื่อนไหวแล้วขอรับ"
หม่าเฟิงหลันมองรองแม่ทัพเผิงที่มีสีหน้าไม่ดีนักเขายื่นกระดาษที่อยู่ในมือให้นางอย่างร้อนรน เมื่ออ่านใจความในกระดาษคิ้วทั้งสองของหม่าเฟิงหลันก็ขมวดเข้าหากันทันที ให้ตายสิให้นางได้พักสักหน่อยได้หรือไม่เหตุใดถึงขยันหาแต่เรื่องให้นางกัน
"เฟิงหลันมีอะไรหรือ"
"มีรายงานว่าแคว้นฉู่ที่องค์รัชทายาทปล่อยให้มีชีวิตรอดซุ่มกำลังคนอยู่ที่เมืองโจวและพวกเขามีท่าทีน่าสงสัย"
"แคว้นฉู่? แต่ที่องค์รัชทายาทปล่อยไปไม่ใช่ว่ามีเพียงชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น"
"ข้าคิดว่าพวกเขาไม่น่าไว้วางใจเลยส่งคนคอยเฝ้าดูพวกเขามาหลายเดือน พบว่าคนบางส่วนที่เจ้าปล่อยไปเป็นทหารที่ปลอมตัวเป็นชาวบ้าน"
"พวกสวะ"
หม่าเฟิงหลันไม่ได้พูดอะไร นางเคาะนิ้วลงบนโต๊ะอย่างใช้ความคิดจำได้ว่าที่แคว้นฉู่ก็ไม่พบศพของแม่ทัพแคว้นฉู่เป็นไปได้ว่าเขารอดไปได้หากเป็นพวกเจ้าเล่ห์นั่นคงไม่ใช่วางแผนทำเรื่องดีแน่ครั้งนี้คงต้องฆ่าทิ้งให้หมดปล่อยให้รอดไปอีกไม่ได้
"หนานผิงข้าขอตัวก่อน เห็นทีข้าจะไม่ใช่คนว่างงานอย่างที่เจ้าบอกแล้ว"
"เช่นนั้นให้ข้าไปด้วย"
หม่าเฟิงหลันเห็นสีหน้าร้อนรนของสหายตนก็ยกยิ้มออกมา นางจึงรินน้ำชาให้ลู่หนานผิงอย่างใจเย็น
"เจ้าไม่ต้องไปหรอก แค่พวกแมลงไม่กี่ตัวข้าคนเดียวจัดการได้เจ้านั่งดื่มน้ำชารอฟังข่าวดีอยู่ที่จวนเถอะ"
"แต่ว่า..."
"หนานผิงเจ้าในตอนนี้หาใช่แม่ทัพสงครามเหมือนเมื่อก่อนแล้วจะให้ไปต่อสู้ได้เช่นไร ร่างกายของทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลลู่อย่างเจ้านั้นมีค่าดั่งทองเชียวนะ"
"แต่ข้ารู้สึกไม่สบายใจ อย่างน้อยหากข้าไปด้วยอาจจะช่วยเหลือเจ้าได้"
"อย่างที่ข้าบอกแค่แมลงไม่กี่ตัวจะพาคนไปมากมายทำไม สู้เจ้าเตรียมสุราดีไว้ดื่มยามข้ากลับมาไม่ดีกว่าหรือ"
ลู่หนานผิงมองแผ่นหลังของหม่าเฟิงหลันพร้อมกับรองแม่ทัพเผิงที่เดินออกจากจวนไป ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกไม่สบายใจเช่นนี้แต่เมื่อนึกถึงฝีมือของสหายก็ส่ายหัวไล่ความคิดของตน
"นางเก่งถึงเพียงนั้นมีอะไรให้ต้องห่วงกัน เอาเถอะไปเตรียมสุรารสเลิศฉลองให้นางคงจะมีประโยชน์กว่า"
