บท
ตั้งค่า

บทที่ 12 แยกบ้านสมใจ

ย้อนกลับไปก่อนหน้า

“ไคเฉิงข้าขอท่านอย่างหนึ่งได้หรือไม่” ก่อนจะไปบ้านใหญ่หญิงสาวรั้งสามีไว้พูดตกลงให้เข้าใจ ก่อนจะเข้าไปเผชิญหน้ากับเรื่องไม่คาดฝัน

“ได้สิ เจ้าอยากได้อะไรหรือ”

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ท่านแค่เล่นตามน้ำไปก็พอ ส่วนเรื่องแยกบ้านข้าไม่บังคับท่าน จะอยู่กับท่านแม่ต่อ หรือไปกับข้ากับลูกก็แล้วแต่ใจท่าน”

“เจ้าจะทำอะไร” เขาไม่ได้ห่วงว่าหนิงหลันจะทำร้ายใคร แต่เขาห่วงว่านางจะเป็นฝ่ายถูกรุมเสียมากกว่า

“ข้าแค่เล่นงิ้วให้ดูนิดหน่อยน่ะ ให้เรื่องทุกอย่างมันง่ายขึ้น”

“ได้ข้าจะทำตามเจ้า แต่อย่าทำเกินไปนักเล่า”

“ได้ ๆ ข้ารับปาก”

หลังจากนั้นเรื่องทุกอย่างได้ดำเนินไปเร็วมาก ทั้งยังบานปลายไปจนถึงขั้นตัดขาดและไล่ออกจากบ้าน ไคเฉิงไม่คาดคิดว่าละครฉากหนึ่งที่ภรรยาพูดถึงจะเป็นการแยกบ้านได้อย่างแนบเนียน โดยที่นางไม่ต้องเอ่ยปากขอ เพราะรู้ดีว่าหากเดินเข้าไปพูดตรง ๆ ไม่มีทางที่มารดาจะเห็นดีเห็นงามด้วยกับพวกเขา

เมื่อกลับมาถึงเรือนตนเองสองสามีภรรยาช่วยกันเก็บข้าวของ จะเรียกให้ถูกก็เพียงแค่เก็บอาภรณ์เก่า ๆ ไม่กี่ชุด ของใช้ลูกอีกนิดหน่อยนอกนั้นก็ไม่มีอะไรมีค่าให้นำติดตัวไป

“ไคเฉิง ไม่ต้องไปช่วยมันเก็บของ มันอยากไปก็ปล่อยมันไปคนเดียว” นางรั่วซิวเท้าสะเอวอยู่หน้าประตูบ้าน เรื่องอะไรนางจะปล่อยให้หนิงหลันเอาข้าวของมีค่าออกไป จะไปก็ต้องไปแต่ตัว

“ของมีค่าห้ามนำติดตัวไปสักชิ้นเชียวนะ ตอนมาก็มาแต่ตัวออกไปก็ควรออกไปแต่ตัว จริงไหมเจ้าคะท่านแม่” ได้ทีถังหลิวรีบเหยียบย่ำผู้พ่ายแพ้ ต่อไปบ้านนี้จะได้สงบขึ้นเสียที

นางรั่วซิวพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของถังหลิว ทว่าสิ่งที่ทำให้นางต้องตกใจในเวลาต่อมา นั่นคือบุตรชายที่ตนคิดว่าอยู่ในโอวาทมาตลอด สะพายห่อผ้าเดินตามหลังเมียต้อย ๆ

“ไคเฉิงนั่นเจ้าจะไปไหน แม่บอกแล้วไม่ใช่หรือไม่ต้องไปช่วยมัน”

“ข้าจะไปกับหนิงหลัน ต่อจากนี้ขอให้ท่านแม่รักษาสุขภาพด้วยขอรับ ขออภัยที่ลูกเป็นคนเนรคุณ” ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ใช่ลูกแท้ ๆ เป็นเพียงเด็กที่มารดาเก็บมาเลี้ยง ครั้นจะให้ตนทิ้งลูกในไส้เหมือนที่พ่อแม่ทำกับเขาคงไม่ได้ อย่างไรเสียมารดาอยู่ที่นี่ก็ยังมีถังหลิวและตงหานคอยดูแล ขาดเขาไปสักคนคงไม่เป็นไรกระมัง

“อะไรนะ นี่แกเห็นคนอื่นดีกว่าแม่ตัวเองหรือ”

เสียงดังโวยวายของนางรั่วซิวดังมากพอให้ชาวบ้านละแวกนั้นได้ยินอย่างชัดเจน ทำให้เพื่อนบ้านและคนผ่านไปมาพากันยืนมุงดูด้วยความสนใจ แต่ละคนต่างยกนิ้วให้กับการตัดสินใจของไคเฉิงด้วยกันทั้งนั้น ด้วยรู้ดีว่าที่ผ่านมานางรั่วซิวเป็นคนเช่นไร หลุดพ้นไปได้เสียก็ดี

“หยุดนะ พวกเจ้ายังไปไหนไม่ได้ ถ้าจะไปต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูข้ามาก่อน ไม่เช่นนั้นข้าจะแจ้งผู้นำหมู่บ้านให้มาจัดการพวกเจ้า”

สิ่งที่นางรั่วซิวกล่าวมาไม่ผิดไปสักนิด การที่บิดามารดาผู้แก่เฒ่าเรียกร้องค่าเลี้ยงดูจากบุตรหลานนั่นไม่ผิด หากว่าบุตรหลานคนนั้นทำผิดต่อผู้มีพระคุณให้ต้องตกระกำลำบาก

นางรั่วซิวมั่นใจว่าคนทั้งสองอย่างไรก็ไม่กล้าลงไม้ลงมือทำร้ายตน นางจึงใช้ตัวเองขวางทางพวกเขาไว้ไม่ให้ไปไหนได้ รอจนกว่าผู้นำหมู่บ้านจะมาถึง แล้วจัดการเรื่องทุกอย่างอย่างเป็นธรรม ถ้าไม่มีเงินมาจ่ายก็ต้องคอยรับใช้ตนจนกว่าจะตายกันไปข้าง

แม้จะมีคนไม่อยากยุ่งเกี่ยวและไม่ชอบนางรั่วซิวครึ่งค่อนหมู่บ้าน ทว่าคนที่ไม่ชอบหนิงหลันก็มีมากเช่นเดียวกัน เห็นด้วยกับการเรียกร้องค่าเลี้ยงดู จึงมีบางคนอาสาไปแจ้งผู้นำหมู่บ้านให้นางรั่วซิว เพื่อหวังว่าจะได้เห็นความสนุกต่อจากนี้

ผู้นำหมู่บ้านมาถึงก็ต้องพบกับเรื่องชวนปวดหัว สิ่งที่หนิงหลันพูดไว้ไม่มีผิด ทว่าตัวเขานั้นมีตำแหน่งหน้าที่ค้ำคอ ไม่สามารถเข้าข้างคนใดคนหนึ่งได้ จึงได้แต่ไกล่เกลี่ยให้ได้บทสรุปที่ดีทั้งสองฝ่าย

“ตาเฒ่าเหลียงข้าต้องการเรียกค่าเลี้ยงดูสิบตำลึง”

หลังจากนางรั่วซิวพูดจำนวนเงินจบ เสียงฮือฮาจากชาวบ้านดังขึ้นเรื่อย ๆ เงินจำนวนนี้ชาวบ้านชนชั้นล่างเช่นพวกเขาจะมีปัญญาที่ไหนหาได้ขนาดนั้น ทำงานทั้งชีวิตก็ไม่รู้จะมีเงินถึงตำลึงหรือไม่ ช่างขูดเลือดขูดเนื้อกันเสียจริง

“ไอหยา สิบตำลึงมันมากเกินไปหรือไม่ เจ้าลองคิดดูใหม่อีกทีเถอะ” แม้แต่ผู้นำหมูบ้านก็ยังไม่เห็นด้วยกับเงินจำนวนนี้

“เช่นนั้นข้าลดให้เหลือห้าตำลึง น้อยกว่านี้ไม่ได้ ข้าไม่ยอม” เมื่อทนแรงกดดันและคำนินทาของชาวบ้านรอบข้างไม่ไหว นางรั่วซิวจึงลดค่าเลี้ยงดูลงกึ่งหนึ่ง กระนั้นจำนวนเงินกลับยังสูงลิบเกินปัญญาชาวบ้านธรรมดาจะหาได้

“ข้าว่ามันก็ยังเยอะเกินไปอยู่หนา ว่าอย่างไร พวกเจ้าจะยอมหรือไม่” ผู้นำเหลียงถามความสมัครใจของอีกฝ่าย ส่วนตัวเขานั้นคิดว่าจำนวนเงินที่นางรั่วซิวเรียกร้องมันมากเกินไป อย่างไรก็เป็นแม่ลูกไม่สงสารไคเฉิงบ้างหรืออย่างไร ที่ผ่านมาเขาทำงานหนักเพื่อครอบครัวมาตลอด แค่แยกบ้านต้องทำกันถึงขั้นนี้เชียวหรือ

“หนึ่งตำลึง มากกว่านั้นข้าไม่จ่ายเจ้าค่ะ” เดิมทีแม่สามีไม่ควรจะได้รับสิ่งใดด้วยซ้ำ เห็นแก่ไคเฉิงถึงได้ยอมจ่าย ถึงอย่างไรทางนั้นเป็นคนชุบเลี้ยงมา ถือเสียว่าเงินหนึ่งตำลึงทำเพื่อเขาก็แล้วกัน

“เฮอะ! ทั้งกินทั้งอยู่ใช้ของในบ้านข้ามาเท่าไร หนึ่งตำลึงมันจะไปพออะไร” นางรั่วซิวตวาดลั่น ไม่พอใจเมื่อหนิงหลันยอมจ่ายแค่หนึ่งตำลึง

“แต่ที่ผ่านมาก็มีแต่สามีข้าหาเลี้ยงพวกท่านไม่ใช่หรือ ไม่มีเขาพวกท่านก็อดตาย ที่ขาเขาพิการก็เพราะทำงานหาเงินมาจุนเจือครอบครัว เท่านี้ก็มากเกินพอแล้ว ท่านไม่สมควรจะได้อะไรด้วยซ้ำ”

ทุกคำพูดของหนิงหลันไม่ผิดเลยแม้แต่คำเดียว หากไม่ได้ไคเฉิงทุ่มเททำงานหนัก สกุลรั่วไม่อยู่สุขสบายจนถึงทุกวันนี้

“ผู้นำเหลียงท่านต้องเห็นใจข้านะ ข้าจะไปทำงานอะไรได้ แก่ปูนนี้แล้วจะมีที่ไหนรับ ถ้าลูกชายข้าแยกบ้านตามหญิงชั่วนี่ไป ยายแก่อย่างข้าใครจะดูแล คงได้นอนแก่ตายอยู่บ้านตามลำพัง” นางรั่วซิวร้องห่มร้องไห้อย่างน่าสงสาร เพื่อให้ทุกคนเห็นใจและคล้อยตามในสิ่งที่ตนพูด

“ท่านก็ยังมีตงหานกับภรรยาเขาไม่ใช่หรือมิได้ตัวคนเดียวเสียเมื่อไร” ทันทีที่แม่สามีพูดจบหนิงหลันมีหรือจะปล่อยให้อีกฝ่ายพร่ำพรรณนาให้มากความ พวกเขาลืมไปแล้วหรือไม่ยังมีบุตรชายอีกคน ไม่ใช่มีเพียงไคเฉิงคนเดียวเสียเมื่อไรกัน

“แต่ตงหานของข้าเขา... เขา เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขาสักหน่อย ข้าพูดถึงเรื่องค่าเลี้ยงดูส่วนที่ไคเฉิงต้องจ่ายให้ข้าต่างหาก” เมื่อพูดถึงบุตรชายสุดที่รักทำเอานางรั่วซิวพูดไม่ออก แต่เพื่อเงินจำนวนมากที่กำลังจะได้มา จึงได้แต่หน้าด้านยืนยันคำเดิม

“จะไม่เกี่ยวได้อย่างไรนั่นก็บุตรของท่าน หนึ่งตำลึง ไม่เอาก็เชิญไปแจ้งทางการเถิด”

“ว่าอย่างไร หนึ่งตำลึงก็มากแล้วนะ ถ้าประหยัดกินประหยัดใช้อยู่ได้หลายปีเชียว”

“ไม่ยอม ข้าจะแจ้งทางการ ตาเฒ่าเหลียงช่วยเขียนคำร้องให้ข้าที”

“เขียนก็เขียน ข้าจะร้องเรียนนางเช่นกันเจ้าค่ะท่านลุง เรื่องทำร้ายร่างกายและยังพยายามฆ่าเจ้าค่ะ” หนิงหลันชี้ไปที่ร่องรอยการถูกทำร้ายให้ทุกคนได้เห็น รอยนิ้วมือทั้งห้ายังคงเด่นชัด อีกทั้งบางส่วนในร่างกายมีรอยเขียวช้ำมากมาย นั่นนับเป็นหลักฐานมัดตัวแม่สามีได้อย่างดี

“นั่นเป็นเพราะข้าสั่งสอนสะใภ้ชั่ว ไม่รู้จักบุญคุณต่างหาก”

“ท่านตัดข้าสองคนออกจากตระกูลไปแล้วไม่นับเป็นคนในครอบครัว ท่านลุงเหลียงข้าขอแจ้งคำร้องเรียกร้องค่าปลอบขวัญยี่สิบตำลึง เจ้าค่ะ”

จากที่จะได้เงินสิบตำลึงมาใช้ในบั้นปลายยามแก่ กลับกลายเป็นว่าตนเองจะต้องเสียเงินยี่สิบตำลึงมากกว่าเดิมหนึ่งเท่าตัว นางรั่วซิวถึงกับเป็นลมล้มพับลงไปกองกับพื้นทันที ทว่ามีเพียงผู้นำเหลียงเท่านั้นรีบเข้าไปช่วยประคอง ส่วนถังหลิวนั่นหายไปตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบได้ ปล่อยให้แม่สามีจัดการเพียงคนเดียว

“เอ้า ไหวหรือไม่ยายแก่ ตกลงจะยังเขียนคำร้องอยู่ไหม ข้าจะได้ให้คนไปเอาที่บ้านมาให้เจ้าลงชื่อ”

แต่กว่าเจ้าตัวจะหายจากอาการหน้ามืด และลุกตอบคำถามได้ก็ใช้เวลากว่าหนึ่งก้านธูป (15 นาที) สุดท้ายแล้วนางรั่วซิวต้องกัดฟันยอมความ เพื่อไม่ให้เรื่องราวบานปลายจึงยอมรับเงินหนึ่งตำลึง

ข้อกล่าวหาที่ตนถูกร้องเรียนกลับ หากเทียบกับเรื่องที่ตนจะร้องเรียนแล้วนั้น ความผิดและโทษทัณฑ์ช่างต่างกันลิบลับ นอกจากเสียค่าปรับแล้วอาจจะต้องถูกคุมขังนานนับเดือน

เมื่อคิดให้ดีแล้วตนไม่ควรจะเสี่ยง เรื่องราวความวุ่นวายจึงจบลงด้วยการจ่ายเงินค่าเลี้ยงดูหนึ่งตำลึง พร้อมกับการลงนามแยกบ้านลาขาดไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ ต่อกันอีกนับแต่วันนี้เป็นต้นไป

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel