บท
ตั้งค่า

บทที่ 7 ส่งคนไปสืบ

เมื่อเฉินเจียวเจียวเดินกลับมาจนเกือบถึงบริเวณที่คนของตนรออยู่นางก็หันไปมองสาวใช้ที่รู้วรยุทธ์ของนางด้วยสีหน้าดุดัน สาวใช้นางนั้นรีบคุกเข่าและขอรับโทษในทันที

“ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ บ่าวไม่สามารถปกป้องคุณหนูให้ดีหากคุณหนูจะลงโทษบ่าวก็พร้อมจะยอมรับโทษเจ้าค่ะ” เมื่อสาวใช้ผู้นั้นเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็ทอดถอนใจออกมาพลางเอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“ตงจื้อ เรื่องในวันนี้ห้ามเจ้าบอกผู้ใด ไม่ว่าจะเป็นตงผิง ตงชิงหรือว่าพี่สาวน้องสาวคนอื่นๆ ของเจ้า หากผู้อื่นรู้เรื่องนี้ข้าไม่มีทางยอมปล่อยเจ้าไปแน่” เมื่อเจ้านายเอ่ยเช่นนี้ตงจื้อผู้เป็นสาวใช้ก็รีบรับคำในทันที

“บ่าวไม่มีทางเอ่ยกับผู้ใดแน่นอนเจ้าค่ะ” ตงจื้อเอ่ยด้วยน้ำเสียงนอบน้อม

“ส่วนเรื่องลงโทษเจ้านั้นคงไม่จำเป็น เรื่องนี้เป็นข้าที่ขาดความระมัดระวังเองแต่ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้เจ้าเองก็มีส่วนผิด มีคนอยู่ใกล้ข้าถึงเพียงนั้นแต่เจ้ากลับไม่รู้เรื่อง หากเป็นยอดฝีมือคนอื่นก็ว่าไปแต่คนที่จับข้าผู้นั้นไม่น่าจะมีฝีมือเหนือกว่าเจ้าไปได้” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้ตงจื้อก็อ้าปากตั้งใจว่าจะเอ่ยวาจาคัดค้านว่าคนที่จับคุณหนูของนางนั้นมีฝีมือดีกว่าคนที่จับตัวนางเอาไว้เสียอีก แต่เจ้านายของนางกลับไม่คิดจะหยุดรอฟังเลยสักนิด

“ข้ามีเรื่องให้เจ้าทำเพื่อไถ่โทษ เจ้าคงเห็นแล้วว่าคุณหนูรองจวนสกุลหลินลักลอบนัดพบกับโซ่วอ๋องที่นี่ ข้าแค่อยากรู้ว่านางที่เป็นคุณหนูสกุลใหญ่ผู้หนึ่งต่อให้เป็นบุตรสาวที่เกิดจากอนุแต่เป็นเพราะเหตุใดนางจึงสามารถออกมาเดินเล่นที่วัดต้าฝูแห่งนี้ได้โดยที่ไม่มีสาวใช้ติดตาม” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้ตงจื้อที่คอยรับใช้เฉินเจียวเจียวมานานหลายปีก็รีบตกปากรับคำในทันที

“เรื่องนี้บ่าวจะไปสืบให้เองเจ้าค่ะ” เมื่อตงจื้อรับปากเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็พยักหน้า สาวใช้ผู้นี้เป็นคนที่บิดาส่งมาคอยรับใช้นางได้หลายปีแล้ว ตงจื้อมีวิชาตัวเบาที่ล้ำเลิศและมีฝีมือทางด้านการต่อสู้ไม่อ่อนด้อยไปกว่าบุรุษหลายคนในกองทัพ เฉินเซียวเห็นแล้วว่าสาวใช้ผู้นี้น่าจะคอยดูแลเฉินเจียวเจียวในยามที่ไม่มีผู้คุ้มกันได้จึงได้ส่งตงจื้อมาให้คอยรับใช้นาง

“เรื่องนี้เจ้าลงมือคนเดียวอาจจะล่าช้า หาคนที่ไว้ใจได้อีกสักสองคนมาคอยช่วยเจ้า ทางที่ดีระมัดระวังองครักษ์ลับของโซ่วอ๋องให้ดีข้าไม่แน่ใจว่าเขาจะส่งคนคอยคุ้มกันหลินชิงเหมยหรือไม่” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้ตงจื้อก็รีบรับคำในทันที พอดีกับที่บรรดาสาวใช้และผู้คุ้มกันของเฉินเจียวเจียวไม่อาจจะทนรอนางไหวรีบพากันเดินมายังทิศทางที่นางยืนอยู่ เฉินเจียวเจียวจึงได้ส่งสัญญาณให้ตงจื้อลุกขึ้น

“คุณหนูเหตุใดจึงได้หายไปนานนักเล่าเจ้าค่ะ” ตงผิงเอ่ยพลางรีบเดินตรงมาหานาง

“ข้าก็แค่คิดว่าเห็นคนรู้จัก แต่เมื่อติดตามไปแล้วบังเอิญคลาดกันก็เลยเสียเวลาหานานไปหน่อย” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้ทั้งตงผิงและตงชิงก็ต่างส่ายหน้า

“บ่าวคิดว่าพวกเราควรจะรีบกลับไปสมทบกับฮูหยินใหญ่ดีกว่านะเจ้าคะ ยามนี้ฮูหยินน่าจะขอพรเสร็จแล้ว” เมื่อตงชิงเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย

“เช่นนั้นพวกเราก็รีบไปกันเถิด” เฉินเจียวเจียวเอ่ยพลางรีบพาคนของนางเดินไปยังทิศทางของวิหารที่เฉียวซื่อขอพร เมื่อไปถึงก็พบว่าเฉียวซื่อกำลังจะส่งคนไปตามหาเฉินเจียวเจียวอยู่พอดี

“เจ้ามาแล้วหรือข้ากำลังจะส่งคนไปตามเจ้าอยู่พอดี มื้อกลางวันนี้พวกเราฝากท้องที่โรงเจของที่นี่เถิด ข้าได้ยินมาว่าอาหารเจของที่นี่มีรสชาติไม่เลวเลย” เฉียวซื่อเอ่ยพลางเดินมาหาเฉินเจียวเจียวด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม

“เช่นนั้นก็พวกเราก็รีบไปกันเถิดเจ้าค่ะ ข้าเองก็เริ่มจะหิวแล้ว” เฉินเจียวเจียวเอ่ยพลางเดินไปกอดแขนของมารดาเลี้ยงแล้วจับจูงนางไปยังโรงของวัด

อาหารเจของโรงเจภายในวัดแม้ว่าจะมีรสอ่อนและจืดชืดแต่เฉินเจียวเจียวกลับกินได้มากกว่าปกติ อาจจะเป็นเพราะวันนี้พบกับเรื่องที่ทำให้ประหลาดใจมากจนเกินไปนางจึงต้องการอาหารมาเยียวยาจิตใจของตนเอง องค์รัชทายาทมาทำอันใดอีกนี่อีกทั้งตอนที่เขาจับตัวนางเอาไว้นางได้กลิ่นคาวเลือดอันเข้มข้นอยู่บนตัวเขา นางจึงคาดเดาเอาว่าเขาน่าจะได้รับบาดเจ็บเพียงแต่เขาจะบาดเจ็บได้อย่างไร แล้วยังมีกลิ่นอายความดุดันที่กระจายอยู่รอบทิศอีก นางเดาว่าจะต้องมีคนเร้นกายอยู่บริเวณนั้นอีกหลายคนเป็นแน่

‘เขามาดักรอเพื่อจะจับผิดหลี่ไท่หยางหรือก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ไม่ว่าอย่างไรหลี่ไท่หยางไม่น่าจะมีความสามารถจนสามารถดึงดูดความสนใจจากองค์รัชทายาทได้’ เฉินเจียวเจียวได้เอาแต่ครุ่นคิดจนมองไม่เห็นว่ายามนี้ในโรงเจของวัดมีคนคู่หนึ่งกำลังเดินเข้ามาด้วยกันด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม แต่เฉียวซื่อกลับตาไวทันเห็นคนทั้งคู่เข้าเสียก่อน

“นั่นมิใช่โซ่วอ๋องหรอกหรือ” เมื่อเฉียวซื่อเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวจึงได้หลุดจากภวังค์แล้วหันไปมองยังทิศทางเดียวกันกับมารดาเลี้ยง

เป็นโซ่วอ๋องหลี่ไท่หยางที่กำลังเดินนำหน้าหลินชิงเหมยเข้าโรงเจมา เพียงแต่ยามนี้หลินชิงเหมยสวมหมวกที่มีผ้าโปร่งทิ้งตัวลงมาเพื่อปิดบังใบหน้าอยู่ทำให้ผู้อื่นเห็นใบหน้าของนางได้ไม่ชัด แต่เฉินเจียวเจียวกลับจำใบหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าของนางได้อย่างแม่นยำ นางรีบวางตะเกียบลงในทันทีแล้วหันไปเอ่ยกับมารดาเลี้ยงเสียงเบา

“เป็นโซ่วอ๋องเจ้าค่ะ ส่วนสตรีที่ตามเขามาด้วยช่างดูคุ้นตาของข้าเหลือเกินเจ้าค่ะ” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้เฉียวซื่อก็พลันหรี่ตาลงแล้วหันไปเอ่ยกับมามาข้างกายของตนในทันที

“เจ้าไปสืบดูว่าสตรีที่ติดตามท่านอ๋องมาคือผู้ใด” เมื่อเฉียวซื่อเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็ลอบยิ้มออกมาพลางหันไปสบสายตากับตงจื้อ คนของนางยังไม่ทันได้ลงมือก็มีคนช่วยจัดการ แม้ว่าคนของเฉียวซื่อจะไม่มีวรยุทธ์แต่ความละเอียดลออกลับน่าจะมีมากกว่าคนของนางอย่างแน่นอน ที่สำคัญหากเฉียวซื่อลงมือสืบมาได้ว่าสตรีผู้นั้นคือหลินชิงเหมยไม่รู้ว่าเฉียวซื่อจะจัดการกับเรื่องนี้เช่นไร

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel